http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-01-05

เมล็ดข้าวในกองแกลบ, ลืมตาละเมอฝัน โดย วิษณุ โชลิตกุล

.

เป็นจดหมายในช่วงต้นปีของ 2554

เมล็ดข้าวในกองแกลบ
โดย วิษณุ โชลิตกุล คอลัมน์ กลับสู่อนาคต
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 07 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1586 หน้า 45


huayik @gmail.com
ถึง huaklom, hualiam, hoalaem, huakuay, chihuahua, huato


จากขอบหลุมดำ

อย่าประหลาดใจว่า อี-เมลของฉันนี้ทำไมถึงไม่ส่งให้หัวทื่อ เพราะฉันคิดว่าสภาพของเขายามนี้คงไม่อยู่ในสภาพจะรับฟังได้

ทันทีที่ทราบเรื่องจากหัวกลมและหัวเหลี่ยม ฉันบอกกับสามีและลูกให้ไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงกันเอง เพราะต้องปลีกตัวไปเยี่ยมเพื่อนคนนี้ที่โรงพยาบาล อย่างไรเสีย เพื่อนสนิทยามนี้ก็มีเหลือไม่มากแล้ว

ฉันไปถึงก็พบว่าหัวทื่อกำลังหลับอยู่บนเตียง มีสายน้ำเกลือและเลือดโยงอยู่ หัวแหลมนั่งเฝ้าอยู่ที่นั่นด้วย ทักทายกันเสร็จก็นั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลารอในห้อง จนกระทั่งหัวทื่อลืมตาตื่นขึ้นมา

พอเห็นฉันกับหัวแหลมเท่านั้นแหละ เกิดเรื่องทันที เขาโบกไม้โบกมือส่งเสียงขับไล่พวกเราเป็นพัลวัน ด้วยอาการน่าสยดสยอง ร้องตะโกนด้วยเสียงแหบแห้งเป็นห้วงๆ ว่า "ไป...ไป...กลัวแล้ว...ยอมแล้ว...อย่าทำเลย...เราไม่รู้ ไม่เห็นอะไรเลย ไปซี...ไป๊...ไป๊..."

เรายังไม่ทันหายตะลึง หัวทื่อก็พยายามทึ้งสายน้ำเกลือและเลือดออก จากนั้นพยายามดิ้นกลิ้งจนหล่นโครมจากเตียง จนเฝือกที่ขาหลุด ยิ่งฉันกับหัวแหลมพยายามเข้าไปยึดตัว เขากลับดิ้นรนร้องคลั่งหนักขึ้น

ฉันต้องกดปุ่มเรียกพยาบาลเข้ามาช่วย แต่เขายังคลั่งไม่ยอมหยุด ท้ายสุด ฉันกับหัวแหลมต้องล่าถอยกลับออกมา อาการของเขาดูไปแล้วเห็นชัดว่าเขาถูกกระทำร้ายทางด้านจิตใจอย่างสาหัสสากรรจ์ทีเดียว

ยามกระชั้นชิดชวนสยองอย่างนี้ ฉันไม่มีข้อมูลมากเพียงพอที่จะล่วงรู้เลยว่าสิ่งที่เขาถูกกระทำอย่างลี้ลับในกัมพูชานั้น จะถอดรหัสออกมาได้อย่างไร การพยายามถอดรหัสปรากฏการณ์ที่ไม่มีข้อมูลอะไรเลย มันเลวร้ายทั้งในแง่เหนื่อยยากทางกาย และสูญเปล่าทางปัญญา ยิ่งกว่าการร่อนหาเม็ดข้าวในกองแกลบหลายเท่านัก

ไม่กล้าตั้งคำถามเสียด้วยซ้ำว่า มุสา กับ หลอกลวง เป็นอย่างเดียวกันหรือไม่



โดยปกติแล้ว ฉันเฉยชาเสมอต่อพฤติกรรมโกหกพกลมในชีวิตมาตลอด ถือว่า หากไม่ใช่การหลอกลวงแล้ว คนเรามันก็มุสากันเป็นกิจวัตรอยู่ตั้งแต่เกิด ไม่อย่างนั้นจะแต่งตัวให้สวยงาม ให้หล่อหรือดูสบายใจกันทุกวันไปทำไม แล้วฉันก็เชื่ออย่างที่ เลอ คาร์เร่ บอกว่าคนในบางอาชีพอย่างสายลับและผู้สื่อข่าวก็ต้องทำหน้าที่โกหกเพื่อค้นหาสัจจะมาเปิดเผยและพิสูจน์ ในขณะที่การประพฤติถูกทำนองคลองธรรมเข้มงวด เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่ขาดแคลนและราคาแพงเกินจะแบกไหว

นิทเช่ยังเคยบอกเลยว่า ผู้มีวิสัยทัศน์พึงโกหกตนเอง แต่คนลวงโลกเลือกโกหกคนอื่น แต่ตอนนี้ ข้อมูลที่มาพร้อมกับ วิกิลีกส์ กับ รายงานประจำปี 2553 ของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย ทำให้ฉันต้องกลับมาใคร่ครวญใหม่กับวาทกรรมของหัวกลมกับหัวเหลี่ยมจนได้

ฉันรู้สึกเสมอว่า คนในวีชาชีพสื่อ มีหน้าที่หลักอย่างหนึ่งของการรุกล้ำเข้าไปในเรื่องราวของ "คนอื่น" ในนามของประโยชน์สาธารณะ ดังนั้น การจำแนกแยะแยะรายละเอียดของการรุกล้ำจะต้องรอบคอบมากเป็นพิเศษเกี่ยวกับพรมแดนของ "ส่วนรวม" และ "ส่วนตัว" ที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่บนความคลุมเครือของมายาและสัจจะ ไม่ใช่ปล่อยให้ถูกครอบงำด้วยอำนาจบางอย่างที่บิดเบือนสัจจะด้วยมายา

ข้อมูลรั่วจากวิกิลีกส์ที่เปิดอ้าซ่า หากใช้ความสามารถทะลวงเข้าไปได้ ยืนยันชัดว่า พลังมืดอำมหิตที่ไม่ประสงค์จะออกนาม (ไม่ควรเอาไปปะปนกับ พลังงานมืดไร้นาม ของพวกนักดาราศาสตร์-ฟิสิกส์) ตามนิยามของ โจเซฟ แคมป์เบล อยู่เบื้องหลังการสบคบคิดปล้นชิงเสรีภาพและผลประโยชน์ของกลุ่มอำมาตย์ในการเมืองไทย ยิ่งกว่ากลุ่มจักรวรรดิในภาพยนตร์สตาร์ วอร์สเสียอีก

ข้อเท็จจริงที่ทำให้เราตาสว่าง เช่น พลเอกเคยขออนุญาตทำรัฐประหารหลายครั้ง แต่ได้รับคำสั่งห้าม ไม่ต้องทำเพราะเครื่องมืออื่นๆ ยังได้ผลดี ในหลายปีมานี้ เบื้องหลังคำสั่งทำรัฐประหาร 2549 และท่าทีบทบาทของมหาอำนาจอย่างจีนและอเมริกันเหนือการเมืองไทย เป็นเพียงน้ำจิ้มที่ทำให้ฉันตั้งตารอคำประกาศของพวกเขาที่บอกว่า ยังมีข้อมูลรั่วเรื่องเมืองไทยรออยู่อีกเป็นกระบุงโกย

แถลงการณ์อันเข้มข้นด้วยสาระของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย เรียกร้องให้สหประชาชาติยกเลิกความสัมพันธ์กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนไทย พร้อมกับวิพากษ์การเพิกเฉยของสหประชาชาติเอง ต่อความจงใจของอำนาจอำมหิตที่เลือกสังหารคนเสื้อแดงที่มาประท้วง ซึ่งแม้อาจจะเป็นภัยต่อการคงอยู่ของรัฐบาล แต่ไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้นที่เป็นภัยต่อประเทศชาติ โดยใช้อาวุธสงครามรุนแรงและสไนเปอร์ แล้วยังบอกว่า กระบวนการรื้อฟื้นรัฐทหารในรัฐไทยด้วยการจงใจผูกสถาบันระดับสูงเข้ากับความมั่นคงภายในรัฐ แม้จะคล้ายคลึงกับรัฐเผด็จการทหารยุคเก่า แต่สามานย์กว่าจากความแยบยลของรัฐผ่านจตุสดมภ์ยุคฟื้นฟูใหม่ ในการใช้เทคโนโลยีเพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้าม และโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อของรัฐและเอกชนทุกรูป

สิ่งเหล่านี้มีให้เห็นน้อยมากในสื่อไทย และที่จะมีก็ถูกคุกคามหรือมีอันเป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่ง ผลลัพธ์คือ คนส่วนใหญ่ในสังคมต้องทนเสพขยะมูลฝอยทางปัญญาผ่านสื่อที่เกินกว่า 3 ใน 4 ของข้อมูลข่าวสาร ได้ผ่านตะแกรงร่อนที่บิดเบือนให้กลายเป็นนิยายน้ำเน่าที่ฉาบเคลือบด้วยท่าทีไร้เดียงสา จนชาชินกับกับ "ฝิ่นของรัฐแด่มวลชน"

หลายปีมานี้ ฉันได้เห็นคนในวิชาชีพสื่อในฐานะส่วนหนึ่งของ "ผู้นำความเห็นของสังคม" ทุจริตต่อวิชาชีพอย่างไร้เกียรติ เข้าร่วมปฏิบัติการ "ขายส้มเน่า" หมายถึงการใช้อสมมาตรของข้อมูลข่าวสารด้วยเจตนาผูกขาดบิดเบือนเพื่อรับใช้อำนาจรัฐอย่างอสัตย์ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลของผู้รักเสรีภาพและยุติธรรมมีต้นทุนที่แพงลิ่ว ทำให้มวลชนที่สัตย์ซื่อกลายเป็นคนชายขอบที่ถูกทำลายภูมิคุ้มกันในการรับข้อมูลข่าวสารจนง่อยเปลี้ย

ฉันไม่อยากมองโลกในแง่ร้ายมากเกินถึงขั้นกล่าวประณามเหตุผลเบื้องหลังพฤติกรรมเหล่านี้ แต่เฝ้าถามตนเองซ้ำซากว่า กิจกรรมเชิงสื่อสารล้มละลายอย่างสิ้นเชิงเสียแล้วหรือ

หรือจะให้ยอมรับกันอย่างเซื่องๆ ว่า หากไม่มีการตั้งคำถาม ก็จะล่วงรู้ และพิสูจน์ได้ด้วยฌานจากภายในตนที่ไม่ต้องการเส้นแบ่งของธรรมะภายใต้เอกภาพของความหลากหลายแห่งปรมาตมัน



ครั้งใดก็ตามที่ฉันยินคำว่า กิจกรรมเชิงสื่อสาร ซึ่งบัญญัติโดย เจอร์เก้น ฮาเบอร์มาส ที่ย้ำว่า สันติภาพถาวรของสังคมที่กำลังแปรปรวนจากพลวัตที่รุนแรง ต้องตั้งบนรากฐานอันแข็งแกร่งของวัฒนธรรมแห่งความมีเหตุมีผล ความเสมอภาค และการใช้ภาษาที่เฉลี่ยความเข้าใจในเป้าหมายร่วมอย่างอารยะ แต่โลกของข้อเท็จจริงที่เราสัมผัสทุกเมื่อเชื่อวันคือ กระบวนการสมคบคิดร่วมครอบงำผูกขาดเพื่อ "กลบบาป" โดยไม่ "สารภาพบาป" ทำให้ฉันคิดถึง เลาโคอ้อน คาสซานดร้า ซีนอน รวมทั้งพลาโต้ขึ้นมาไล่เลี่ยกัน

สองพันกว่าปีก่อน นักต่อต้านประชาธิปไตยอย่างพลาโต้ สร้างมายาคติต่อสู้กับนักประชาธิปไตยอย่างพวกโซฟิสต์ว่า การโกหกของชนชั้นปกครอง ในรูปของศาสนาและพิธีกรรม แม้จะเสกปั้นขึ้นอย่างจอมปลอม คือการโกหกอันทรงเกียรติที่เป็นความดีงาม เพราะมีแต่ชนชั้นปกครองเท่านั้นที่จะแสดงออกซึ่งเจตนาดีได้ เนื่องจากแสดงเจตจำนงของรัฐ

พลาโต้สร้างทฤษฎีจิตสัมบูรณ์นิรันดรเหนือข้อเท็จจริงที่แหว่งวิ่นทางผัสสะ โดยใช้กฎเหล็ก 3 ข้อ (ประชาธิปไตยนำไปสู่การนำโดยฝูงชนไร้วินัย ประชาธิปไตยทำให้คนโง่มีอำนาจ และประชาธิปไตยนำสังคมปั่นป่วนเปิดทางทรราชครองอำนาจ) แล้วได้รับการสนองตอบทำนองลูกคู่จากธูซีดิดีส นักประวัติศาสตร์จอมบิดเบือนที่สร้างมายาคติว่า สาเหตุหลักของความล่มสลายของเอเธนส์หลังสงครามโพลีนีเชียนคือ ประชาธิปไตย ในขณะที่ตัวแปรแห่งชัยชนะของสปาร์ต้าคือเผด็จการอันทรงพลัง

พลาโต้ โต้ไปไกลถึงขั้นสรุปว่า มุสาวาท ต่างกับ การหลอกลวง คนบางคนหลอกลวงได้โดยไม่ต้องโกหก และคนบางคนโกหก แต่ไม่ถือเป็นคนหลอกลวง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ฉันก็คงต้องเผาตำราตรรกศาสตร์ทิ้ง หากเชื่อโดยไม่ตั้งคำถามต่อบัญญัติของคัมภีร์อุปนิษัทที่ว่า "ชายผู้ซึ่งสวมกอดภรรยาสุดที่รักของเขา จะไม่รับรู้ว่าสิ่งใดเป็นภายในหรือภายนอก เมื่ออยู่ในวงแขนของวิญญาณอันชาญฉลาด บ่งบอกถึงเส้นแบ่งของความรับรู้ของเขา มันสมบูรณ์อย่างที่สุด"

ความล้มเหลวของกิจกรรมเชิงสื่อสารเพราะโกหกอันทรงเกียรติ มันเป็นปมสำคัญยิ่งกว่านิทานเรื่องตลกน่ารักของชาวไทยใหญ่เรื่อง กวามอุบอ่ำเข้ากั๋น (พูดไม่เข้ากัน) ที่ทำให้เจ้าอาวาสต้องลาสิกขา หรือ ตลกคนเดินทางรัสเซียเรื่องพูดจริงแต่เจตนาบิดเบือน "คุณจะไปที่นั่น แต่ผมรู้ว่าคุณต้องการให้ผมเข้าใจว่าคุณจะไปที่อื่น" อย่างแน่นอน

แล้วก็คงไม่แปร่งปร่าแบบคำพูด "แทงกั๊ก" ของเจ้าอาวาสแถวถิ่นเลี้ยงโคขุนโพนยางคำ ที่สกลนคร ซึ่งฉันเห็นในโฆษณาเว็บขายเนื้อโปรโมตเกษตรกรไม่กี่วันก่อนว่า "การกินเนื้อไม่บาป แต่ถ้าไม่กินได้จะยิ่งได้บุญ แต่ว่ากันตามจริงแล้วกินเนื้อวัว บาปน้อยกว่าเนื้อไก่ เพราะไก่กินปลาป่นที่ทำจากปลาสดในทะเลนับแสนนับล้านชีวิต"

ถ้าหากสังคมเราก้าวข้ามมายาคติของพลาโต้และธูซิดีดีสไปไม่ได้ เราจะสามารถไขรหัสที่ไม่ได้ง่ายๆ แบบข้อความคาดการณ์ของโกลด์บาคในเรื่องผลบวกเลขคู่ที่มากกว่าสองได้อย่างไรกัน เพราะมันเรียกร้องทั้งรหัสลับแบบกุญแจส่วนตัวกับกุญแจสาธารณะรวมกัน



หากสังเกตให้ดี เส้นแบ่งระหว่างสัจจะกับมุสา แม้มีอยู่จริง แต่บางครั้งต้องใช้เวลาสำหรับพิสูจน์ทำนองเดียวกับความพยายามที่จะพิสูจน์สมการยกกำลังสามของแฟร์มาต์ที่ใช้เวลานานหลายร้อยปี

ครูสอนคณิตศาสตร์ที่หลงรักตรรกะของตัวเลขอย่างฉัน เคยพร่ำสอนกับลูกศิษย์เสมอว่า สรรพสิ่งและข้อมูลข่าวสารทุกอย่างในจักรวาลล้วนต้องการพิสูจน์ แม้การอยู่สังคมไทยที่รังเกียจการพิสูจน์ แต่ชื่นชอบศรัทธาบอดไบ้ จะทำให้ฉันกลายเป็นคนแปลกแยก แต่คนอย่างฉันก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเลิกแปลกแยกไปแล้วยามนี้

อย่างที่รู้กัน แม้โจทย์คณิตศาสตร์ทางสังคมจำนวนมากไม่เชื่อมต่อกับการใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป แต่การปฏิวัติทางปัญญาของมนุษย์ย้ำว่า สิ่งที่ดูไม่เกี่ยวกันนี่แหละ สามารถเป็นกุญแจไขรหัสแห่งอนาคตได้ เพื่อนำเราไปสู่พื้นที่สาธารณะที่ดีกว่าปัจจุบัน พ้นไปจากความคลุมเครืออันศักดิ์สิทธิ์ที่หัวแหลมเคยพูดถึง

พฤติกรรมของสื่อไทยที่มีส่วนร่วมสมคบคิดกับเผด็จการครอบสังคม กระทำทั้งขายส้มเน่า และฉีดยาพิษให้มวลชน ล้วนเกิดขึ้นภายใต้บริบทในห้วงเวลาและสถานการณ์ชั่วขณะ เป็นแค่ "เครื่องมือ" มิใช่ต้นเหตุหรือตัวการหลักของปัญหาในการปล้นชิงเสรีภาพที่เกิดขึ้น ฉันเชื่อว่า วันใดที่ใครคนใดในพวกเขาบางส่วนเริ่มตระหนักถึงประโยคเด็ดของ นัสซิม ทาเล็บ ที่ว่า "ประวัติศาสตร์ไม่ได้คลาน แต่ก้าวกระโดด" จะเข้าใจดีว่า ปลายทางของมนุษย์ถ้ำอย่างพวกเขานั้น ไม่พ้นชะตากรรม "ฆ่าคนเดินสาร" (ปฏิบัติทำลายความน่าเชื่อถือของผู้นำข้อมูลข่าวสารมาเผยแพร่) เมื่อมีข่าวร้ายเกิดขึ้นกับกลุ่มโจรปล้นเสรีภาพ

ความหลงผิดของชาวสื่อที่ดำรงอยู่ หลอกให้ตัวเองและผู้อื่น โดยหวังลมๆ แล้งว่าจะมีโอกาสที่จะค้นพบบทพิสูจน์อันสวยงามได้โดยใช้เพียงความรู้แค่หางอึ่ง เป็นแค่จินตนาการสร้างโลกจากความงามที่ไม่มีอยู่จริง เสมือนกฎว่าด้วยกฎสี่เหลี่ยมทองคำ และ โมดูลาร์ แมน ของ เลอ คอร์บูซิเย่ร์ นั่นแหละ หากผ่านการพิสูจน์ด้วยประสบการณ์ตรงมากขึ้น ก็สามารถสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ถ่ายทอดให้ผู้คนอื่น แบบเดียวกับเซรุ่มพิษงู หรือฝีดาษ

ไอน์สไตน์ที่เคยกระทำผิดใหญ่หลวง กับสมมติฐานเรื่องเรื่องจักรวาลคงที่ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของเขา เมื่อกล้ารับผิด และพร้อมจะเปลี่ยนแปลง เขาก็สามารถสร้างทฤษฎีสัมพัทธภาพที่สมบูรณ์แบบภายใต้สมมติฐานจักรวาลขยายตัวใหม่ได้ แม้ว่า ทฤษฎีความขัดแย้งคู่ซ้อน หรือ ทวิน พาราด็อกซ์ ของเขาว่าด้วย "ถ้ามีฝาแฝดที่เหมือนกันทุกอย่าง แต่คนหนึ่งขึ้นไปเติบโตในอวกาศ ส่วนอีกคนอยู่บนพื้นโลก เมื่อคนในอวกาศกลับมา เขาจะมีอายุน้อยกว่าคนบนโลก" ยังไม่มีข้อพิสูจน์ก็ตามที

ฉันเองขอเลือกจะเป็นคนเฝ้ามองพฤติกรรมชาวสื่อไทย ด้วยความหวังแบบเดียวกับ แอนดรูวส์ ไวลส์ ที่ทุ่มเทชีวิตกับการพิสูจน์ทฤษฎีสมการของแฟร์มาต์จนสำเร็จ มากกว่าจะเลือกเอามุมมองแบบดีสโตเปียของ เอช จี เวลส์ ที่มองชะตากรรมมนุษย์สวนทางกับเทคโนโลยีแบบนักเดินทางข้ามเวลา

เฉกเช่นการรอคอยค้นหาความจริงจากกรณีที่เกิดขึ้นกับหัวทื่อเพื่อนของพวกเรา ไม่ว่าสังคมที่ฉันและพวกเราอาศัยจะเต็มไปด้วยปัญญาอ่อนและวิปลาสเพียงใด

หัวหยิก กุญแจซอล



++
เป็นจดหมายที่ฉบับถัดมา ได้เป็นฉบับสุดท้ายของการเขียนชุดนี้

ลืมตาละเมอฝัน
โดย วิษณุ โชลิตกุล huato @gmail.com คอลัมน์ กลับสู่อนาคต
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 02 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1620 หน้า 46


hualiam@gmail.com เขียนว่า :

ถึง huaklom, hoalaem, huakuay, huato, chihuahua, huayik


ไม่อยากจะเขียนเมล์นี้เลย เป็นความยากลำบากอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นความรู้สึกเดียวกับเมื่อครั้งสามีที่รักของชั้นจากโลกไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน

หัวทื่อตายเสียแล้ว

ตะกี้นี้เอง หรืออย่างมากก็ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

ชั้นพยายามโทรศัพท์หาหัวกลม ให้ช่วยบอกเพื่อนๆ ด้วย แต่เขาย้ำว่าชั้นควรต้องเขียน เพราะชั้นเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุด และใกล้ชิดกับหัวทื่อมากที่สุด และได้เห็นความตายกับตัวเอง

เขาบอกว่าให้เขียนไปเถอะ อะไรก็ได้ ระบายมันออกมา ดีกว่าจะเก็บความรู้สึกเอาไว้กับตัวเอง ตามกฎของค่าเฉลี่ย เขาพูดถูก ชั้นอาจจะไม่เชื่อเขาทุกเรื่อง แต่กรณีนี้ชั้นไม่มีทางเลือกอื่น

คิดถึงคำพูดสุดท้ายของเพื่อนเมื่อคืนนี้ที่บอกว่า ริมฝีปากที่ปิดสนิท ย่อมไม่มีแมลงบินผ่านได้ ตอนนี้ก็อยากจะปลุกเขามาถามว่า ทำไมเพื่อนจึงจากไปง่ายๆ โดยชั้นไม่มีลางสังหรณ์อะไรเลย

รึว่า...มันเป็นชะตากรรมสำหรับตั้งปุจฉาให้กับชีวิตแก่คนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องพรรค์นี้


เพราะเหตุว่านักบัญชีอย่างชั้นถนัดคุ้นเคยกับการเขียนภายใต้กรอบที่เคร่งครัดของหมายเหตุประกอบงบการเงิน ทำนอง "มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ให้ถือปฏิบัติกับงบการเงินที่จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไป ซึ่งกิจการได้จัดทำและนำเสนอตามมาตรฐานการบัญชี" จึงอ่อนด้อยสามารถแสดงอารมณ์เศร้าที่เกิดขึ้นได้เทียมเท่ากับ เมซานี กันยาวี่ แห่งเปอร์เซีย เกี่ยวกับความรักของชิรินที่มีต่อฟาร์ฮัดที่ฆ่าตัวตายเพราะถูกหลอกลวง หรือฟูมฟายจนเป็นบ้าแบบเดียวกับมาจนูนที่คลั่งเขียนกวีเพราะถูกตัดขาดรักจากเลย์ล่า ในกวีชื่อดังของเมซานี ถึงระดับถ้อยสวยหรูทำนอง

"...ข้าเพียรจูบกำแพงบ้านของเลย์ล่าซ้ำซาก

มิใช่เพราะรักในบ้านซึ่งบดขยี้วิญญาณข้าหรอก

หากเพราะคนที่อยู่หลังกำแพง..."

ในทางกลับกัน ชั้นก็ไม่ใช่คนเตี้ยที่หลอกตัวเองว่าสูง เนื่องจากสามารถถ่มถุยน้ำลายได้ไกลกว่าใครอื่น จึงไม่กล้าที่จะสรุปในสิ่งที่ไม่มีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับอาการของโรคเดินละเมอที่เป็นเหตุให้หัวทื่อต้องข้ามแม่น้ำ 5 สายแห่งนรกภูมิ ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุ 7 ระดับ หรือวิธีบรรเทาทั้ง 4 แต่ชั้นเชื่ออย่างหนึ่งว่า ความรักไม่เพียงพอสำหรับรักษาอาการนี้ได้

จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา อาจสรุปอย่างอุเบกขาแห่งวิชาชีพ ว่าการละเมอเดินอาจมีสาเหตุมาจากความเครียด แอลกอฮอล์ กินหรือดื่มสารกาเฟอีนมากเกิน หรือรหัสพันธุกรรมบกพร่อง แต่สำหรับชั้นแล้ว กรณีของหัวทื่อ เกี่ยวข้องกับอย่างแรกสุดมากกว่าอย่างอื่น แม้ว่าในประเด็นหลังสุด อาจจะมีส่วนอยู่บ้าง

ตาของเขา(อดีตนายตำรวจใหญ่)เคยเอาปืนออกมายิงเพื่อนบ้านเสียชีวิต เพราะละเมอว่ากำลังจับโจร ป้าของเขาแทงสามีปางตายสามครั้ง เพราะละเมอว่าเขาจะทำร้ายตนเองและนอกใจ แม่ของเขาละเมอพลัดตกจากระเบียงบ้านชั้นสองเสียชีวิต และเมื่อสิบกว่าปีก่อน พี่สาวของเขาเดินละเมอหายไปในหาดที่เกาะพะงันโดยไม่เกี่ยวกับการระเริงในฟูลมูนปาร์ตี้

ชั้นเคยไปหาจิตแพทย์กับเขาหลายครั้งในสองเดือนมานี้ ขอเป็นพยานได้เลย ว่าความสับสนในจิตสำนึกของเขานั่นแหละคือตัวการสำคัญของการกำเริบของละเมอเดินที่นำไปสู่ความตาย หากไม่พูดจนเกินเลยแล้ว มันก็ทำนองเดียวกับการละเมอเดินด้วยสำนึกผิดก่อนการฆ่าตัวตายของ เลดี้ แมคเบธ ส่วนจะเป็นเพราะความล้มเหลวที่จะจัดการกับมรดกบาปที่ก่อขึ้นไปแล้ว หรือเพราะจิตสำนึกด้านดีสั่งให้กระทำ หรือ เพราะความหวาดกลัวกับแรงกดดันแห่งความกลัว มันลึกซึ้งเกินกว่าจะหยั่งถึง

ชั้นรู้อย่างสามัญเพียงแค่ว่า เมื่อใดก็ตามที่คนในฐานะปัจเจกมุ่งมั่นจะค้นหาโลกใหม่ บนต้นทุนความสูญเสียของตัวเอง การต่อสู้ภายในจิตสำนึกจนว้าวุ่นย่อมเลี่ยงไม่พ้น แล้วระบายออกมาทางจิตไร้สำนึกยามหลับใหล

จิตอำมหิตเพราะทะเยอทะยานเกินสมควรของ เลดี้ แมคเบธ ระเบิดออกมาผ่านฝันร้ายและละเมอเดิน พร่ำพูดถึงพฤติกรรมซ่อนเร้นจากอดีต และเลือดที่ล้างไม่ออกจากมือ ไม่ว่าจะด้วยน้ำหอมตำรับไหนฉันใด ซึ่งไม่มีทางสำเร็จเพราะมันเป็นเลือดแห่งจิตสำนึก

หัวทื่อก็ไม่ต่างกัน สองสัปดาห์ก่อน เขาถึงขั้นเปิดประตูรั้วบ้าน ขับรถออกไปบนถนนกลางดึก แล้วถูกจับกุมเพราะเขาสวนช่องทางจราจร จนต้องขายรถส่วนตัวทิ้งไป และวันเสาร์ที่ผ่านมา เขาเดินถือไอแพดไปในซอยเปลี่ยวแถวหมอชิต แล้วถูกคนร้ายทุบตีแย่งมันไป จนต้องย้ายมานอนที่บ้านชั้นเพื่อจะไม่คุ้นเคยจนหนีออกนอกบ้านได้ง่ายๆ แล้วทำป้ายชื่อเขาเอาไว้ที่ข้อมือไว้เผื่อมีอุบัติเหตุ ซึ่งปรากฏว่าคิดไม่ผิด เพราะครั้งนี้เพียงแค่ชั้นเผลองีบหลับไป เหตุร้ายก็เกิดขึ้น

เขาปีนรั้วบ้านเดินออกไปที่ปากซอย แล้วเดินเตร่ไปในชุดนอน ข้ามถนนแล้วถูกรถตู้ขนสินค้ายามดึกชนเอาอย่างจัง คนขับรถหนีไป ทิ้งรถและร่างของหัวทื่อจมกองเลือดที่ถนน ตอนที่ตำรวจมาตามฉันไปที่โรงพยาบาล เขาสิ้นลมไปแล้ว ไม่ทันได้สั่งเสียอะไรเลย

คำพูดจากการสนทนาครั้งสุดท้ายระหว่างเราสองคน ที่เขาตั้งคำถามซึ่งชั้นตอบไม่ได้ ว่าจะเป็นไปได้มั้ยว่า การค้นพบความจริง ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่มนุษย์ออกไปลอยตัวในอวกาศในสภาพไร้น้ำหนักโดยไม่มีเครื่องห่อหุ้มร่างกาย ต่อรังสีคลื่นสั้นและแรงดันอากาศที่ผิดแผกกับพื้นผิวโลก จึงยังไม่มีคำตอบ

ใครก็ได้ ช่วยหาคำตอบใส่โลงไปให้เขาด้วย จะได้ไหม



การสนทนาเมื่อค่ำคืนก่อนที่หัวทื่อจะจากไปเหมือนสั่งลา เขาบอกชั้นว่า พักนี้นอนไม่หลับสนิทเอาเสียเลย ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น หลับตาทีไร ได้ยินเสียงพูดทำนอง "เจ้าเป็นใคร" ระหว่างหนอนยักษ์กับอลิสในแดนมหัศจรรย์อยู่ตลอด ทั้งที่พยายามกินยาระงับประสาทตามที่หมอสั่งเสมอ หากเป็นอลิสที่สับสนเพราะร่างกายเปลี่ยนแปลงหลายครั้งในวันเดียวกันมันก็คงง่าย แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้น

หัวทื่อรำพึงอย่างระทดว่า ชีวิตของเขาในรอบปีที่ผ่านมา มีวิกฤตหลายครั้ง เสมือนกับตกอยู่กลางสายน้ำเชี่ยวกรากยามมรสุมกระหน่ำ ยากจะควบคุมชีวิตได้ ทำให้ตัดสินใจยากลำบากมากขึ้น คิดไม่ออกว่าจะมีอนาคตแบบไหนถึงเหมาะสมกับตัวเอง เพราะสภาพรอบตัวยามนี้ มันทำให้เขาสิ้นหวังว่าสังคมไทยจะไม่เกิดการฟื้นฟูทางปัญญาขึ้นมาใหม่แบบเดียวกับ 14 ตุลาคม 2516

ลำพังแรงหายใจของลม ไม่เพียงพอที่จะให้กลีบดอกเบ่งบานมาจำนรรจ์

ทัศนคติดังกล่าวชั้นไม่เห็นด้วย เพราะประวัติศาสตร์มิได้เปลี่ยนแปลงจากเหตุการณ์เดียว แต่เกิดจากการสะสมระลอกแล้วระลอกเล่า เพียงแต่อาจจะมีบางเหตุการณ์ที่เป็นแนวโน้มสำคัญเท่านั้นเอง

ความล้มเหลวของสังคมไทยยุคหลัง 14 ตุลาคม 2516 อยู่ที่ไม่สามารถรักษาแรงเหวี่ยงของการเปลี่ยนแปลงเพื่อยกระดับให้สูงขึ้นไปสู่คุณภาพใหม่ได้ แต่ปล่อยให้ความขัดแย้งนำไปสู่การหักล้างกัน ทำให้ความสำเร็จเป็นแค่ไฟไหม้ฟาง บรรลุผลแค่ครึ่งๆ กลางๆ และเป้าหมายถูกเบี่ยงเบนไป ซึ่งมิใช่เรื่องใหม่เลย หากเกิดซ้ำซาก

ลองตรองเส้นทางของเสรีนิยมทั่วโลกที่ลุ่มๆ ดอนๆ กันจะเห็นชัดเจน ความสำเร็จเพียงแค่บางส่วนของเสรีนิยมในยุโรปและอเมริกาในคริสต์ศตวรรษที่ 18-19 ทำให้นักเสรีนิยมทั้งหลายหลงระเริงถึงขั้นดูเบาพลังต่อต้านของอนุรักษนิยม จึงหันมาปฏิเสธความศรัทธาต่อพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน รวมทั้งเป้าหมายสุดท้ายที่ยังห่างไกล

ถึงขั้นทำ ซึ่งผิดพลาด 2 ประการหลัก นับแต่การปฏิเสธสิทธิโดยธรรมชาติและกฎศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิอรรถประโยชน์นิยม รวมทั้งการกอดรัดแนวคิดดาร์วินเชิงสังคมของ เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ อย่างคลั่งไคล้ เพื่อหาเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบของพัฒนาการทางสังคมภายใต้มายาคติว่า ชัยชนะของความก้าวหน้าเป็นไปเองเลี่ยงไม่พ้น

โดยลืมข้อเท็จจริงว่าชนชั้นผูกขาดอำนาจและอภิสิทธิ์ในระเบียบโลกเดิมนั้น ไม่มีวันจะปล่อยวางอำนาจและประโยชน์อย่างสมัครใจเด็ดขาด หากไม่ถูกพิชิตให้พ่ายแพ้ และชัยชนะของเสรีนิยมที่ตั้งมั่นขึ้นได้ในอดีตนั้น มาจากการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายและมุ่งมั่น

เสรีนิยมทำให้โลกตะวันตกมีเสรีภาพจากความโง่งม มีสันติภาพที่คาดหวังได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ยกระดับขึ้น แต่ที่สำคัญสุด มันนำมาซึ่งความหวังในอนาคตที่ดีกว่าปัจจุบัน ไม่จ่อมจมกับการชะงักงัน ต่างจากอนุรักษนิยมที่เป็นพวกมองโลกในระยะยาวทางร้าย และต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทำลายสถานภาพที่ดำรงอยู่ทั้งอดีตและปัจจุบันของพวกมัน โดยผ่านคำขวัญหลักคือ เสถียรภาพ และสถานภาพ

เสรีนิยม คือศัตรูแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของอดีต มองเห็นปัจจุบันเชิงลบ แต่เห็นอนาคตเชิงบวก ปฏิเสธสังคมแห่งสถานภาพ และระเบียบสังคมเก่า ในฐานะที่เป็นศัตรูแห่งเสรีภาพ

ทุนนิยมเติบโตมากับเสรีนิยมในฐานะพันธมิตรศักด์สิทธิ์ในแง่นี้ เพราะมันเกิดขึ้นในขณะที่อำนาจรัฐรวมศูนย์ เพลี่ยงพล้ำ

ผลลัพธ์ที่ตามมา กระบวนการที่ผิดฝาผิดตัวของการพยายามบรรลุเป้าหมายเสรีนิยมด้วยวิธีการของอนุรักษนิยม จึงเกิดขึ้นในนามของแนวคิดสังคมนิยมทุกปีก รวมทั้งมาร์กซ์ เลนิน หรือ เหมา เจ๋อ ตง ที่แทรกตัวเข้ามา ฟาสซิสม์ก็แปลงรูปมาเป็นประชาธิปไตยภายใต้ทุนผูกขาดที่ยอมรับการแทรกแซงจากอำนาจรัฐในรูปของแนวคิดแบบเคนเซียน ที่มีพฤติกรรมหลัก 3 ประการ คือ การอุดหนุน การสร้างเสถียรภาพ และการผูกขาดอำนาจตัดสินใจ

สองกระแสของความผิดฝาผิดตัวดังกล่าว หยิบยื่นข้อเสนอที่ปฏิเสธเสรีนิยมสารพัด นับแต่ปฏิเสธการถือครองทรัพย์สินส่วนบุคคล ปฏิเสธความรุ่งโรจน์ของทุน ปฏิเสธกลไกราคาของตลาด แผนรวบอำนาจตัดสินใจโดยรัฐ (โดยอ้างว่าเป็นระยะผ่านที่ไม่ได้กำหนดเวลา) ฯลฯ ซึ่งไม่ว่ามองจากมุมไหน ล้วนแล้วแต่เป็นการทรยศอันทรงเกียรติ เพื่อทำให้การกดขี่ดำรงอยู่ในฐานะการบงการของคนตาบอดชักจูงคนตาบอดขึ้น ในนามของเจตนาดีที่มุ่งร้าย

การผสมโรงความคิดที่ผิดเข้ากับชุดคำอธิบายที่ถูกยอมรับโดยทั่วไปเสมือนสัจธรรมของนกแก้วนกขุนทองว่า รัฐคือสถาบันสำหรับให้บริการทางสังคมที่จำเป็นเพื่อบรรลุจุดหมายทั้งมวลของมนุษยชาติ ! นับแต่การบังคับเกณฑ์ทหาร เกณฑ์แรงงาน หรือเก็บภาษี หรือ จับกุมคุมขังผู้ที่มีความเห็นแตกต่างหรือขัดแย้งเป็นการกระทำเพื่อสมาชิกที่ตกเป็นผู้ถูกกระทำเสียเอง ซึ่งทำให้การฆ่ายิวของนาซีก็เป็นความชอบธรรม เพราะพวกยิวสมยอม "ฆ่าตัวตาย" และการสังหารหมู่ที่ราชประสงค์ ก็เป็นการป้องกันอาคารและประโยชน์สาธารณะที่สมเหตุผล

ฟรานซ์ อ็อพเบนไฮเมอร์ ชี้ว่า มีสองทางที่ช่วยสะสมความมั่งคั่งเท่านั้น อย่างแรก ใช้กลไกทางเศรษฐกิจผ่านการผลิตและการแลกเปลี่ยน เพื่อเพิ่มผลิตภาพของสังคมมากขึ้น อีกวิธีหนึ่งง่ายกว่า คือการใช้กำลังทุกรูปแบบยึดเอามาจากผู้อื่นด้วยกลไกทางอำนาจ โลกมนุษย์ทุกสังคมซึ่งถูกครอบงำโดยชนชั้นนำที่งี่เง่า จึงตกอยู่ในกับดักของทางหลังนี้อย่างดิ้นไม่หลุด

อนาคตของเสรีนิยม จึงเหลือเพียงแค่อนุสาวรีย์ในตำราเรียนเท่านั้น หากปราศจากส่วนผสมที่เหมาะเจาะระหว่าง ประสบการณ์ที่ช่ำชอง และ แนวคิดใหม่ที่ก้าวข้ามปัจจุบันสู่อนาคต

ตราบใดที่นักสู้เพื่อสร้างสังคมอนาคตขาดศรัทธาอย่างแท้จริงต่อเสรีนิยม ย่อมเปิดทางให้กับนักอนุรักษนิยม พวกอภิสิทธิ์ และนักฉวยโอกาส รุมเหยียบขยี้เสรีนิยมให้จมธรณีไปอีกยาวนาน เว้นเสียแต่ว่า จะสามารถใช้สติและปัญญาลบล้างมายาคติด้วยข้อเท็จจริงสำเร็จ เพื่อชำระล้างโลกให้พิสุทธิ์ขึ้น

ชั้นยืนยันว่า โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์รวมกันเป็นสังคม ด้วยเจตนา 2 ด้านหลัก คือ ด้านเศรษฐกิจเพื่อให้พลังร่วมของสมาชิกสามารถเพิ่มพลังการผลิตและความมั่งคั่งผ่านกระบวนการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าและทรัพยากร ด้วยวิธีอารยะ มิใช่วิธีการดิบเถื่อน แต่หัวทื่อแย้งซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าความคิดดังกล่าวเป็นยูโตเปียมากเกินสมควรจะเป็นสัจจะได้

คำถามที่หัวทื่อทิ้งเอาไว้อาจจะส่งสัญญาณบางประการ บังเอิญตอนที่สนทนากันนั้น ชั้นก็บังเอิญมัวแต่ใส่ใจทุ่มเถียงเอาชนะคะคานกันตามสันดานเก่าที่แก้ไม่หาย ทำให้จนถึงยามนี้ก็เดาไม่ได้ว่า เขาต้องการสื่ออะไร

ยามนี้ เมื่อทุกข์เทวษจากการเสียชีวิตของเพื่อนเกิดขึ้น อยากจะตื่นขึ้นมาให้ตาสว่าง ก็คงจะสายเกินไปจนมองไม่เห็นแสงสว่างในความมืดแล้ว ใช่มั้ย



ยามนี้ เมฆดำดูน่ากลัว แต่ชั้นพยายามเชื่อแบบที่หัวกลมคะยั้นคะยอ ว่ามันเป็นเมฆฝนที่นำน้ำชุ่มฉ่ำมาหล่อเลี้ยงหรือสร้างผลสะเทือนให้มวลมนุษย์ดีกว่าเมฆขาวที้ไร้คุณค่ารูปธรรม แต่ให้จินตนาการที่เพริดกระเจิงได้ง่าย

ชั้นอยากจะเล่าเรื่องของหัวทื่อมากกว่านี้ แต่จนปัญญาทำมาได้แค่นี้ก่อน เรื่องเล่าทั้งหลายต้องการองค์ประกอบที่ครบถ้วน ทั้งหลักฐานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในฐานะปรากฏการณ์บริสุทธิ์ที่ยังไม่ถูกเล่ากับการเล่า ซึ่งปนเปื้อนด้วยกับดักของภาษาและอคติซึ่งเจือปนอยู่

การตายของหัวทื่อ เปรียบได้กับการทำ ช็อก เธอราปี ทำให้ตื่นจากฝัน เปรียบได้กับใช้สึนามิกวาดล้างคนชั่ว หรือวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้ธุรกิจที่ล้มเหลวหายไป โดยยอมรับว่าจะต้องสูญเสียคนดีและไร้เดียงสาไปด้วยจำนวนหนึ่ง ส่วนจะมากหรือน้อย มันก็เป็นแค่ตัวเลขเชิงปริมาณ ไม่สามารถวัดคุณภาพได้

ชั้นพยายามจะเอ่ยปากบอกว่า ยามนี้เราบอบช้ำจากการตายของเพื่อนที่แม้จะกวนปากหาเสี้ยนที่หาพิษภัยไม่ได้ แต่ก็จะทำให้เราแข็งแกร่งมากขึ้น หากเราผ่านมันไปได้ ไม่ยอมเป็นเชลยในโลกแห่งเสรีภาพ ไม่อยากเรียกมันว่าเป็นการทดสอบจิตวิญญาณ มันดูจิตนิยมมากเกินไป เอาเป็นว่า เราที่เหลืออยู่ต้องมีชีวิตต่อไป และหากคิดถึงเขาก็หมั่นฟังเพลงโปรดของ บ๊อบ ดีแลน ที่หัวทื่อขยันให้พวกเราฟังในห้วงเวลาหนึ่งครั้งยังไกลฝาโลง

...As the present now

Will later be past

The order is

Rapidly fadin"...

ช่วยบอกต่อเพื่อนคนอื่นๆ ด้วย วันเวลา และสถานที่ จะบอกให้ทราบต่อไป และแจ้งด้วยว่า ใครจะไปงานรดน้ำศพบ้าง

หัวเหลี่ยม ผมดอกเลา



.