http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-01-14

เด็กเมือง, สะสม"รอยแผลเป็น", Glee โดย ศิลา, ทราย, วิทยา

.

เด็กเมือง
โดย ศิลา โคมฉาย คอลัมน์ แตกกอ-ต่อยอด
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1639 หน้า 67


"พ่อ...หิว!" ลูกโตจนพ้นวัยรบเร้าให้พาไปเที่ยวงานวันเด็กมาหลายปี แต่ยังเป็นเด็กสำหรับพ่อแม่ที่จะเรียกหาเอาความใส่ใจ และเธอก็รู้ว่าสิ่งนี้เป็นความพึงใจเล็กๆ ของพ่อแม่ที่ลูกยังคงอยู่ในสายตา

เธอมักส่งเสียงก่อนโผล่เข้ามาด้วยท่าทางหิวซก วางกระเป๋านักเรียนลงบนโต๊ะแล้วแถเข้าหาคอมพิวเตอร์

บางทีเพราะเธอเป็นเด็กเมือง เติบโตในยุคเซเว่น-อีเลฟเว่น อันแสนสะดวกสบาย แค่ออกคำสั่ง กดปุ่มคลิก ทุกอย่างเป็นไปตามประสงค์ แม้กระทั่งกับพ่อ คนที่เริ่มวัยหนุ่มในยุคเซเว่นตี้

แน่ละ, ผมก็เคยตกอยู่ในสภาพเดียวกับลูก และอาจเป็นเด็กเล็กกว่านี้หลายปีด้วยซ้ำ แต่กระโจนเข้าครัวเองโดยไม่ต้องร้องบอกแม่หรือใครสักคำ คดข้าวใส่จานราดด้วยน้ำมันหมู เหยาะน้ำปลา โรยด้วยกากหมูนิดหน่อย คลุกให้เข้ากัน ก่อนปีนขึ้นไปกินบนต้นกระถินเก่าแก่ริมรั้ว เอาเมล็ดในฝักแก่เป็นผักแกล้ม หรืออาจเปลี่ยนบรรยากาศไปเป็นต้นมะม่วงหิมพานต์บ้าง เพื่อแนมยอดอ่อนหอมมันอมฝาด

ลูกใส่ใจในเทคโนโลยีสม่ำเสมอ ในฐานะผู้บริโภคมานานก่อนที่จะเป็นคำขวัญเด็ก ขณะผมสาละวนกับการขนของกินจากตู้เย็น อุ่นด้วยไมโครเวฟ เมื่อต้องรอ...ผมก็ใช้เวลานั้นลอบมองอากัปกิริยาของลูก นั่งนิ่งแข็ง ดวงตาจับจ้องเขม็ง นานกว่าจะเคลื่อนไหวส่วนของมือและปลายนิ้ว

ดูเหมือนแทบไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

และไม่ต้องพูดถึงการสัมผัสสัมพันธ์กับธรรมชาติ

บางทีในความเป็นเด็กเมืองใหญ่ลูกพลาดโอกาสสัมผัส และพัฒนามันให้เจริญงอกงามเพื่อเป็นเครื่องประคองชีวิต น้อยนักที่เธอจะได้มองมุมกว้างเห็นโค้งฟ้าลิบลิ่วสุดสายตา หรือเห็นเส้นขอบฟ้าที่ซ่อนความลับ ความฝันไว้ยั่วเย้าปลุกเร้าจินตนาการ เห็นทิวเทือกเขาทะมึนคงมั่น กับสีสันอันชวนตื่นตาตื่นใจ

เห็นธารน้ำใสระรี้กระซิกกับทุ่งหญ้าไพศาล

หูคุ้นชินแต่เสียงอึกทึก เสียงสังเคราะห์ปรุงแต่ง แทบไม่เคยฟังสายลมกระซิบ เสียงเบียดเอียดออดของลำไผ่ กระทั่งไม่ได้ยินเสียงจากภายใน...

จมูกสูดสูบแต่ควันฝุ่นขยะอับหืนวันแล้ววันเล่า จนระบบทางเดินหายใจย่ำแย่

ไม่เคยแอบลิ้มรสหวานซ่อนลึกในโคนท่อดอกเข็ม

เธอเป็นเด็กเมืองที่ต้องอยู่กับจังหวะเร่งร้อนรวดเร็ว พาตัวเองไปข้างหน้า และใจต้องอยู่ในตำแหน่งนำหน้าใครๆ เสมอ

ลูกไม่เคยมีโอกาสเหมือนผม ที่เมื่อยามน้ำท่วมหนักปีนขึ้นไปนั่งบนรั้วไม้ไผ่กันวัวควายให้แดดฝนกระหน่ำ เหวี่ยงเบ็ดตกปลาหลงระเริงน้ำหลาก


ผมเฝ้ามองลูก รู้สึกหมือนชีวิตเธอกำลังเคลื่อนไปบนสายพานการผลิต หลังจากได้อ่านบทสัมภาษณ์ของหนุ่มน้อยรุ่นราวคราวเดียวกัน นักขี่ม้าผาดโผนแห่งปากช่อง ในนิตยสารขวัญเรือนในช่วงปลายปี

โจหนุ่มวัยสิบห้ากับการขี่ม้าแบบโรมันไรดิ้ง

ควบขับแบบยืนบังคับบนหลังม้าที่วิ่งเกาะกลุ่มเรียงกัน 6 ตัว เล่นผาดโผนให้กระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง นอกจากทรงตัวได้มั่น เจ้าหนูยังต้องมีสติแม่นยำในการแยกกำกับบังเหียน 6 เส้น หากพลาดม้าแตกแถวอาจถูกกระชากพลัดตกตีนม้าย่ำใส่เจ็บหนัก

หนุ่มน้อยเริ่มหัดขี่ม้ามาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เพราะพ่อเป็นเจ้าของคอกม้าซึ่งเริ่มต้นมาจากศูนย์ ไม่มีม้าเป็นของตัวเอง หากหลงใหลในชีวิตคาวบอย มักร่วมกับเพื่อนๆ รวมทั้งแม่ของโจ จัดเทศกาลคาวบอยไนต์มาตั้งแต่เขาจำความได้ มันซึมซาบกระทั่งชื่นชมในวิถีของลูกผู้ชาย อย่างที่ปรากฏในหนังลูกทุ่งตะวันตก

ต้องว่ากันอย่างยุติธรรม เปิดเผยซึ่งๆ หน้า ไม่รังแกผู้หญิง

โจเลือกฝึกฝนการขี่ม้าผาดโผน เพื่อการแสดงโชว์ ขณะเพื่อนหลายคนขับม้าเหล็กออกไปซิ่งบนถนน โดยไม่รู้จุดหมายของชีวิต อีกหลายคนหมกมุ่นอยู่ในสังคมเกมออนไลน์ เน้นต่อสู้ฟาดฟันแบบไม่เลือกฝ่าย บางคนถลำล้ำไปถึงเรื่องเพศ

หนุ่มน้อยเลือกเอาชีวิตกลางแจ้งบนทุ่งหญ้าป่าเขา เรียนรู้การเป็นลูกผู้ชาย การฝึกฝนที่เสี่ยงต่อการเจ็บตัว อยู่กับม้าที่รัก กระทั่งสัมผัสความรู้สึกต่อกันได้

"ม้าเป็นสัตว์ที่จริงใจ เราต้องเข้าใจอารมณ์ของเขา เวลาได้กอดเขา ได้อยู่ใกล้ๆ รู้ว่าเขารักเรา มักมีความห่วงใยระหว่างคนกับม้า แล้วม้าแต่ละตัวนิสัยจะไม่เหมือนกัน เขาเป็นสัตว์อ่อนไหว แค่นกบินผ่านหรือลมพัด ม้าก็สะดุ้งแล้ว"

เจ้าหนุ่มน้อยสัมผัสได้ละเอียด ลึก และแสนอ่อนโยน



"พ่อ อีก 7-8 ปี กรุงเทพฯ จะจมใต้ทะเลแล้วใช่ไหม?" ลูกหันมาถามเมื่อของกินพร้อม ข่าวคราวพวกนั้นเคลื่อนไหววะว่อนไปในสังคมออนไลน์ของเธอ หรืออาจเพราะเราเพิ่งผ่านวิกฤตมหาอุทกภัยมาหมาดๆ หรือไม่ก็เป็นภัยพิบัติจากคลื่นยักษ์ที่กำลังถล่มชายฝั่งภาคใต้โครมครืน กระตุ้นความสนใจของเธอ

คำถามฟังคล้ายไม่ได้ต้องการคำตอบ เราต่างพอรู้ๆ กันอยู่ เพราะมีการแถลงเปิดเผยผลการศึกษา วิเคราะห์ การคาดการณ์ปัญหานี้อยู่เสมอเป็นระยะๆ สรุปสาเหตุหลักๆ ไว้ชัดเจน คือกรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนดินเลนและน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นเรื่อยๆ

องค์การสหประชาชาติวิเคราะห์ว่า จากสภาวะโลกร้อน ภายใน 10-15 ปี น้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น 1-1.5 เมตร จะทำให้แผ่นดินทรุดตัวลง ที่ปรากฏแล้วเขตบางกะปิทรุดตัวลงมากที่สุดถึง 100 เซนติเมตร

"น่ากลัวนะพ่อนะ..." เธอเหมือนกำลังสัมผัสสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะควรกับวัย

ผมมองลูกอย่างพรั่นไหว ได้แต่เฝ้าคิด...ในวันเด็กนอกจากมอบหมายหน้าที่ให้เด็กผ่านคำขวัญ ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งปวงควรเกิดสำนึกดีงาม เร่งรีบลงมือทำเพื่อเด็กกันด้วยเถิด



++

สะสม "รอยแผลเป็น"
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1639 หน้า 80


ยังไม่ทันไร ฉันก็เริ่มคิดถึงปีใหม่ปีหน้าซะแล้ว ด้วยว่าอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไร

ถ้าเศร้า ก็จะได้เศร้าทีเดียวรวบยอดไปเลย ไม่ต้องมาเศร้าลงรายละเอียดไปทีละเดือนอีก

จริงๆ ปีที่ผ่านมานั้นก็นับว่าเป็นปีที่ดี ฉันรอดพ้นจากการนั่งดูหนังอยู่กับบ้านคนเดียวมาได้อย่างหวุดหวิด

เพราะเห็นโปรแกรมที่วางมาแต่ละเรื่อง แต่ละโปรแกรมนั้นล้วนแล้วแต่ประหารใจฉันเป็นการส่วนตัวทั้งสิ้น

เรื่องของคนที่รักกัน แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน, เรื่องของความรักที่ไม่สมหวัง, เรื่องของความทรงจำสะเทือนใจ

คนวางโปรแกรมจะคิดบ้างไหม ว่าพวกต้องนั่งดูหนังผ่านเที่ยงคืนอยู่กับบ้านตอนช่วงปีใหม่นี่เป็นคนอย่างไรกัน

ไอ้ประเภทไม่อยากออกไปเจอใคร อยากอยู่กับคู่รักเพื่อข้ามปีใหม่กันสองต่อสองก็แล้วไปเถอะ

แต่ฉันเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะตรงกันข้ามกว่านั้น

ฉันเองก็เคยโดนคนถามว่าในเมื่ออยู่คนเดียวมันเศร้ามันซึมเหลือหลายขนาดนั้นจะมาทู่ซี้นั่งอกตรมหมองหม่นอยู่ทำไม

ออกไปหาเพื่อนสิ งานเลี้ยงเขามีกันอยู่ขรมถมเถทุกหัวระแหง

แต่ใครไม่เคยเจอคงไม่รู้

ว่าอีเทศกาลงานรวมมนุษย์นี่แหละตัวจุดประกายเศร้า



ดูเหมือนว่าความเศร้า เหงา และหดหู่ เป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของมนุษย์
มันมีลักษณะเฉพาะตัวที่บ่มเพาะขึ้นตามวัน และตามวัย
ถามว่าคนที่อยู่มานานๆ แล้วเขามีความสุขสนุกสนานน้อยลงแล้วเหงามากขึ้นอย่างนั้นหรือเปล่า
ถึงไม่ค่อยได้เห็นเขาเหล่านั้นออกไปรื่นเริงลั้ลลาในหน้าเทศกาลใดๆ
ฉันพอจะตอบแทนได้ในบางกรณีว่า มันคงเป็นความเคยชินมากกว่า

ความเคยชินที่ว่าได้ผ่านเรื่องแบบนี้มาไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยรอบ บวกกับประสบการณ์ว่าสุดท้ายมันก็แค่นั้น
แล้วมันก็จะผ่านไป
ทำให้บางทีมุมมองของพวกเขาออกจะสนุกน้อยไปนิด และเหมือนจะพลอยทำให้ใครๆ ไม่สนุกไปด้วย
แต่ฉันก็ทำได้แค่เดา ฉันยังอยู่มาได้ไม่นานพอ
แล้วก็ยังไม่ได้เข้าอกเข้าใจหรือจริงใจต่อชีวิตได้มากเท่าที่ควรจะเป็น

แต่คนเราก็มีปฏิกิริยาต่อเวลาที่ผ่านไปในชีวิตต่างกันออกไป
ความเข้าอกเข้าใจและความจริงใจนั้นอาจมีลักษณะเฉพาะตัวมากอย่างยิ่ง
จนบางทีคนก็เดาไม่ออกว่าเธอเป็นคนเช่นไรกันแน่

เช่น เธอคนนี้, โอลีฟ คิตเตอริดจ์



โอลีฟ คิตเตอริดจ์ เป็นครูที่เกษียณแล้ว และอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง เธอเป็นหญิงร่างใหญ่ ไม่ค่อยมีใครชอบเธอหรือทนเธอได้เพราะเธอพูดตรงเกินไป

เธอไม่ชอบอยู่คนเดียว
แต่ไม่ชอบอยู่กับคนอื่นมากกว่า บางทีเธอก็เข้มงวด
บางคราวเธอก็อดทนได้อย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับบางเรื่องที่เธอไม่ยอมทนเอาเสียเลย

โอลีฟไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เธอยังคงพยายามทำทุกอย่างเหมือนเดิมด้วยวิธีไม่ยอมรับความจริง
เธอพูดถึงคนเก่าๆ เปรียบเทียบเรื่องราวในปัจจุบันกับอดีตที่ผ่านมา ทำตัวเหมือนแบบเดิมที่เคยทำ
จำแต่นิสัยของคนที่เคยเป็นอดีตนักเรียนในวัยเยาว์โดยไม่ได้มองว่าพวกเขาโตกันหมดแล้ว

และที่แย่ก็คือเธอไม่รู้และไม่สนใจเลยว่าผู้คนรอบตัวเธอต่างเปลี่ยนไปแล้ว


เราจะบอกได้อย่างไรว่าเราจะไม่โตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่แบบที่เราไม่ชอบ

แน่นอน, โอลีฟได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง

แต่ไม่ได้หมายความว่าชีวิตของพวกเรานั้นจะเป็นเหมือนเช่นนิยาย
ที่สุดท้ายแล้วตัวละครก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างมากขึ้นจากเรื่องร้ายๆ ที่เข้ามา

ในความเป็นจริงนั้น, เราอาจตายไปตั้งแต่ยังไม่ทันได้เข้าอกเข้าใจอะไรเลย
หรือทั้งที่อยู่มานานเหลือเกินแล้วก็ยังไม่เข้าใจและตายไปพร้อมๆ กับความข้องใจของตัวเอง
และความโล่งใจของคนรอบข้าง

แต่ใครเลยจะหยั่งรู้
จนกว่าจะถึงวันนั้น

ชีวิตนั้นรักตัวเองยิ่งนักและดิ้นรนจะดำรงอยู่
เราจะผ่านพ้นและอดทนทุกสิ่งไปจนได้

ความเจ็บปวดทุกอย่างเยียวยาได้ จริงอยู่-อาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้

แต่การมีชีวิตคือการสะสมรอยแผลเป็นเหล่านี้ และดำรงอยู่ต่อไป

เมื่อเราหยุดมองไปข้างนอก ย่อมมีสิ่งที่งดงามยิ่งนักปรากฏอยู่ *


* * * * * * * * * * * * * * * * * * *

* ข้อความในหนังสือ
"โอลีพ คิตเตอริดจ์" เขียนโดย เอลิซาเบท สเตราต์ แปลโดย อิศรา ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดยแพรวสำนักพิมพ์ ธันวาคม, 2554



++

Glee ร้อง-เต้น-เล่นไปกับอคติทางเพศ
โดย วิทยา แสงอรุณ twitter: @vitayas
บทความพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1639 หน้า 50


ซีรี่ส์คอมดี้สุดฮิต "Glee" ทางช่อง FOX ของมะกันยังคงโดดเด่นและโด่งดังจนถึงซีซั่นที่ 3 แล้ว ในบ้านเรา Glee เป็นที่ถูกอกถูกใจคนดูเคเบิลทีวีและผู้ซื้อดีวีดีอย่างยิ่ง ผู้ชมเป็นทั้งวัยรุ่นยันวัยทำงาน

ขณะที่คนดูหลงใหลไปกับเสียงเพลง ตื่นตาไปกับลีลาการเต้นของนักเรียนมัธยมในชมรมขับร้องที่ต้องประชันขันแข่งกันอย่างสุดฤทธิ์ ไม่น่าเชื่อเลยว่า ประเด็นเรื่องเพศหนักๆ ระดับชาติถูกสอดแทรกเข้ามาอย่างครบรสจนคนดูแทบไม่รู้ตัว

จริงอยู่ ในช่วงชีวิตมัธยม เรื่องเพศและความสัมพันธ์อันวุ่นวายเป็นของคู่กันกับวัยรุ่นอยู่แล้ว แต่ซีรี่ส์ส่วนใหญ่จะแค่ "แตะๆ" ประเด็นเหล่านี้

สำหรับ Glee คนดูถูกกระตุ้น "ต่อมคิด"


Glee หมายถึงชมรมร้องเพลงในโรงเรียนมัธยม เป็นคำทั่วไป ไม่ใช่คำเฉพาะ และมักจะเรียกเต็มๆ ว่า Glee Club แต่ละโรงเรียนก็จะตั้งชื่อชมรมของตัวเอง

ในโรงเรียนมัธยมรัฐบาลแห่งหนึ่งในรัฐโอไฮโอ ครูสอนภาษาสเปนสุดหล่อ "Will Schueste" อยากนำความสุขในวัยมัธยมของเขากลับมาอีกครั้งจึงตั้งชมรมชื่อ "Glee Club New Directions" ให้เด็กๆ ที่นี่มาร่วมร้องเพลงกัน

กว่าจะทำได้ก็ต้องผจญกับขวากหนามสารพัด

ในนั้นมีหนามแหลมแสบสันต์เป็นครูหญิงวัยกลางคนชื่อ "Sue Sylvester" ผู้ขี้อิจฉา ขี้โมโห และร้ายกาจสุดๆ เธอทำหน้าที่จ้องทำลายทุกคนเพื่อปกป้องชมรมเชียร์ของเธอซึ่งกำลังเป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียนอยู่

ความจริงแล้ว ตัวละครใน Glee ร้ายแทบทุกตัว ตั้งแต่ผู้อำนวยการโรงเรียนไปจนถึงสมาชิกในชมรมเองไม่ว่า หญิง ชาย หรือเกย์ แต่ละตัวต่างขยันเหวี่ยงใส่กันแทบทุกตอนตั้งแต่ซีซั่นหนึ่งยันซีซั่นสาม กลายเป็นเสน่ห์ด้านมืดอย่างหนึ่งจนคนดูติดงอมแงมด้วยความอยากรู้ว่า ใครจะแรงใส่ใครอีก

เด็กชายหน้าใสปากกว้างชื่อ "Kurt" เป็นตัวละครที่โดดเด่นมากๆ ด้วยชมรม New Directions เต็มไปด้วยความแปลกและแตกต่าง Kurt ซึ่งเป็นเด็กเกย์ที่ไม่ปิดบังตัวแต่อย่างใด และมีเสียงร้องใสกังวานที่คุณต้องทึ่ง ก็สามารถเข้าเป็นสมาชิกชมรมนี้ได้ไม่ยาก อีกอย่างน้องคงปิดลำบากด้วยเพราะดันเกิดมาหน้าสวยและชอบแต่งตัวจี๊ดได้ใจจริงๆ ทุก Episode

Kurt เป็นตัวแทนแห่งความภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น แต่สิ่งที่เขาเป็นมักนำเรื่องช้ำๆ มาให้จนน้ำตาร่วง อย่างเช่น ขณะเดินสวยๆ ตามทางเดินของโรงเรียน เขาก็จะถูกสาดหน้าโครมใหญ่ด้วยน้ำ "Slurpee" น้ำหวานเกล็ดหิมะที่พอเข้าตาแล้วจะแสบสุดทรวง

คนที่สาดเป็นกลุ่มเด็กเกเรที่เกลียดเกย์และไม่ชอบชมรมร้องเพลง

ที่น่าสนใจคือ หนึ่งในนั้นเป็นนักกีฬารักบี้ตัวโตประจำโรงเรียนที่พอเห็น Kurt ทีไร ก็ต้องผลักไหล่ของเขาให้หลังกระแทกล็อกเกอร์ดังโครมซะทุกครั้ง



การกลั่นแกล้ง (Bully) เรื่องนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอ เรียกว่าเป็นวัยมัธยมที่ขมขื่น ใครโดนเข้าไปจะจำฝังใจกระทั่งโต

แต่การกลั่นแกล้งเพราะความแตกต่างทางเพศที่เกิดกับเด็กเกย์ในอเมริกากลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติไปแล้ว เพราะในปี 2010-2011 มีเด็กทั้งมัธยมและมหาวิทยาลัยโดนกลั่นแกล้ง ล้อเลียน หลายคนเลือกปลิดชีวิตตัวเองไม่ว่าจะไปโดดสะพาน ผูกคอตาย หรือไม่ก็ยิงตัวตาย จนมีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลกลางออกกฎหมายห้ามการกลั่นแกล้งกันเลยทีเดียว

โชคดีสิ่งที่ Kurt โดนยังไม่รุนแรงเหมือนเด็กเกย์คนอื่นๆ ที่ต้องเสียชีวิตไป

ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขาเปิดเผยตัวเอง ภูมิใจในตัวเอง มั่นใจ และมีพ่อที่เข้าใจ

พ่อห้าวๆ ของเขาเปิดอู่ซ่อมรถ เดิมทีทำท่าไม่รู้ว่าลูกเป็นเกย์ แต่จริงๆ รู้อยู่เต็มอก ต่อมาเมื่อสองพ่อลูกเปิดใจกัน พ่อก็ปรับความเข้าใจ แม้จะยังไม่เต็มร้อยแต่ก็ ทำให้ชีวิตของ Kurt พอจะมีความสุขขึ้น

ลึกลงไปในประเด็นการกลั่นแกล้งด้วยเหตุแห่งเพศที่แตกต่าง คนดูต้องถึงกับอึ้งเมื่อรู้ว่า หนุ่มนักกีฬารักบี้ตัวโตที่คอยแกล้ง Kurt อยู่เป็นประจำก็เป็นเกย์เหมือนกัน

แต่เป็นเกย์อีกพันธุ์หนึ่งคือ เกย์ที่ต้องแอบ ด้วยความที่เขาไม่ยอมรับตัวเองและเกรงว่าครอบครัวและเพื่อนฝูงจะรับไม่ได้ เลยแสดงออกในทางตรงกันข้ามด้วยการกลั่นแกล้งเกย์คนอื่น

และเหยื่อหนึ่งเดียวในโรงเรียนก็คือ Kurt

การกลั่นแกล้งเกย์คนอื่นคือเกราะป้องกันตัวอย่างหนึ่งเพื่อให้คนอื่นเข้าใจไปว่า ตนไม่ใช่เกย์ จึงต้องเหยียบย่ำเกย์ให้คนอื่นๆ เห็น ไม่น่าแปลกใจ ถ้าคุณพบเห็นเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย หรือแม้แต่พี่น้องในครอบครัวเดียวกันทำร้ายคนเป็นเกย์ที่เปิดเผย สันนิษฐานก่อนเลยว่า คนที่แกล้งก็เป็นเกย์เช่นกัน

Kurt ถูกแกล้งจนต้องออกจากชมรมและต้องย้ายไปอีกโรงเรียน เขาทิ้งประโยคแสบๆ คันๆ สะท้อนเสียงของเด็กเกย์อเมริกันทั่วประเทศที่อยากจะเรียกร้องให้ผู้บริหารโรงเรียนทุกแห่ง หันมาจริงจังกับเรื่องการกลั่นแกล้งและทำร้ายกันแบบนี้ "ก็โรงเรียนนี้ไม่ทำอะไร ไม่มีนโยบายปกป้องคนอย่างฉัน ฉันจะอยู่ทำไมล่ะ?"

แล้ว Kurt ก็ย้ายไปเรียนอีกแห่งพร้อมลาจากชมรม New Directions ไป


ครู "Sue" ผู้ดูแลชมรมเชียร์รู้สึกสะใจทุกครั้งที่ชมรมขับร้องต้องสั่นคลอน เธอยังคงหาทางกำจัดคู่แข่งอยู่เสมอด้วยวิธีการที่ไม่ปรานีใคร

แต่ในความร้ายของครูคนนี้ ก็มีอีกด้านที่คนเขียนบทแฝงประเด็นการเมืองเรื่องเพศได้อย่างน่าทึ่ง

ขณะที่ "Gay Marriage" ในอเมริกาเป็นอีกประเด็นร้อนที่ทำให้สังคมต้องสั่นคลอนและเปิดสงครามทางวัฒนธรรมและการต่อสู้ทางกฎหมายรอบใหม่ Glee ก็หยิบเรื่องร้อนๆ นี้ มาเสนอเช่นกันในแบบ "Gleeๆ "

แทนที่จะเปิดประเด็นเรียกร้องความเท่าเทียมด้านเพศและการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันอย่างโต้งๆ ตัวเรื่องนำเสนอให้ครู "Sue" ซึ่งเป็นหญิงทั่วไปที่รักชาย (straight) แต่มีท่าทางทะมัดทะแมง มาดแมนทุกฝีก้าวได้แต่งงานกับผู้หญิง และผู้หญิงคนนั้นคือ ตัวเธอเอง!

ทีมเขียนบทคนดังของซีรี่ส์นี้ อย่าง "Ryan Murphy" เป็นโปรดิวเซอร์และเป็นนักเขียนเกย์ที่เปิดเผย ผลงานของเขาได้รับการยอมรับมาแล้วทั้งหนังใหญ่และในจอทีวี จึงไม่แน่แปลกใจเลยว่า ประเด็นการเมืองเรื่องเพศใน Glee เป็นประเด็นร่วมสมัยที่ทั้งอ่อนไหวและสั่นคลอนความคิดของฝักฝ่ายในสังคมปัจจุบันที่มองเห็นว่า อำนาจของเพศกระแสหลักกำลังถูกท้าทายจากพลังของเพศที่แตกต่างแทบทั้งสิ้น

Kurt ซึ่งแสดงโดย Chris Colfer ในชีวิตจริง ก็เป็นเกย์ที่เปิดเผยเช่นกัน ความจริงบทดั้งเดิมไม่มีตัวละครตัวนี้ แต่พอ Chris มาออดิชั่น ทีมงานก็ปิ๊งไอเดีย และอดไม่ได้ที่สร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมาจากบุคลิกของเขา ส่วนครู Sue แสดงโดย Jane Lynch เธอเป็นหญิงรักหญิงในชีวิตจริง และเป็นที่ถูกใจคนดูกลุ่มหญิงรักหญิงมากที่มีตัวละครตัวนี้

กลุ่มสตรีข้ามเพศ หรือสาวประเภทสองไม่มีผิดหวัง Glee ก็จัดให้เช่นกัน ครูพละคนใหม่ โค้ช "Shannon Beiste" มาดูแลทีมฟุตบอล ในเรื่องเป็นนักแสดงหญิงที่ตัวโต แต่เธอรับบทเป็นโค้ชที่เคยเป็นชายแล้วแปลงมาเป็นหญิง



ในซีซั่นสาม เรื่องราวเข้มข้นยิ่งขึ้น ไฮไลต์ของซีซั่นนี้คือ เซ็กซ์กับวัยรุ่น

ในซีซั่นก่อนหน้านี้เคยจับประเด็นจูบมาแล้ว ถ้าจูบชายหญิงก็คงธรรมดาเกินไป ในตอนหนึ่งของซีซั่นสอง คนดูได้เห็น ครูผู้ดูแล Glee Club ครู "Will Schueste" ซึ่งเป็นชายทั่วไปประทับริมฝีปากกับครูพละสตรีข้ามเพศคนนี้ เหลือเชื่อมั้ยล่ะ? Glee ก็ทำให้ดูได้ โดยคนดูหัวโบราณไม่ประท้วง!

ในซีซั่นล่าสุด ลุ้นที่สุดก็คือตอนเซ็กซ์ของวัยรุ่นที่ยังเวอร์จิ้นอยู่ ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของซีซั่นที่เดียว มันจะถูกนำเสนอมาอย่างไร?

แล้วผู้จัดก็เกิดไอเดีย จัดฉากเซ็กซ์นุ่มๆ ของสองคู่ ระหว่าง Kurt (ซึ่งออกจากโรงเรียนไปเข้าอีกชมรมของอีกโรงเรียน) กับแฟนหนุ่ม และอีกคู่เป็น นักร้องนำหนุ่ม-สาวคู่หนึ่งของ New Directions (ราเชลกับฟินน์) ให้ดูซะเลย

น่าจะเรียกว่าเป็นซีรี่ส์ทีวีเรื่องแรกที่ให้ความเท่าเทียมกันทางเพศสำหรับบทเซ็กซ์ ไม่ว่าจะเป็น heterosexual หรือ homosexual ก็ขึ้นเตียงและมีความสุขได้ใน Episode เดียวกัน ก่อนที่ Episode เซ็กซ์กับวัยรุ่นจะออกอากาศ (เดือนพฤศจิกายน 2011) ผู้จัดฉลาดมากที่ปล่อยข่าวและโยนหินถามทางก่อน ทำให้คนดูหัวโบราณลดแรงกระแทกลง


แขกรับเชิญคนดังในวงการเพลงและหนังเป็นอีกแม่เหล็กหนึ่งที่ทำให้ซีรี่ส์นี้น่าติดตามในทุกๆ ตอน ล่าสุด Ricky Martin ซึ่งในที่สุดก็ยอมรับตัวเองและเปิดเผยกับสาธารณชนได้เป็นแขกรับเชิญ รับบทเป็นคุณครูพิเศษสอนภาษาสเปนให้โรงเรียนแห่งนี้

Glee ไม่ใช่เพียงความบันเทิงด้วยแสงสี ลีลาการเต้น ให้เพลิดเพลินไปกับพลังแห่งเสียงร้อง แต่เป็นเสียงร้องจากภายในที่สะท้อนภาพความเปลี่ยนไปในสังคม

การเรียกร้องเพื่อความเท่าเทียมแห่งเพศอย่างชาญฉลาด

ขณะที่ประเด็นแห่งเพศที่แตกต่างถูกจัดให้กลมกลืนไปกับเทคนิคการเล่าเรื่อง

ประเด็นเหล่านี้ก็ถูกขับเคลื่อนให้คนดูคล้อยตาม ชวนคิด เป็นตัวอย่างหนึ่งของงานดีๆ ที่จะช่วยให้สังคมเรียนรู้ซึ่งกันและกัน



.