http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-01-13

ของขวัญปีใหม่, ฟังคนรวยเบอร์ 3, ปณิธาน..ยอดฮิต โดย พิศณุ นิลกลัด

.

ของขวัญปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 02 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1633 หน้า 96


ในช่วงปีใหม่ที่กำลังใกล้มาถึง หลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ รณรงค์ให้คนมอบของขวัญเทศกาลปีใหม่ด้วยการบริจาคเลือด เพราะเป็นของขวัญที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองในปัจจุบัน
ที่สำคัญที่สุดคือเป็นสุดยอดแห่งของขวัญเพราะสามารถช่วยรักษาชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

การบริจาคเลือดเป็นของขวัญนั้นถือเป็นการให้ของขวัญแห่งชีวิต ที่อเมริกามีสโลแกนรณรงค์การบริจาคเลือดว่า Give Blood : The Gift of Life
เลือดที่เราบริจาค 1 ถุง จำนวน 350-450 มิลลิลิตร สามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้ถึง 3 คน
เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจสำหรับผู้บริจาคเป็นอย่างยิ่งเพราะการสละเวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมงเพื่อบริจาคเลือดสามารถต่อชีวิตคนได้อีกหลายสิบปี

ยามที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเราอาจไม่นึกถึงว่าเลือดมีความสำคัญขนาดไหน แต่เมื่อไหร่ที่ตัวเราหรือคนในครอบครัวเจ็บป่วยและต้องรอรับเลือดบริจาค เราจะทราบว่าการบริจาคเลือดมีความสำคัญกับชีวิตมากมายเพียงใด
25 เปอร์เซ็นต์ของคนในโลก อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตต้องการเลือดจากการบริจาคเพื่อรักษาชีวิต จำนวน 1 ใน 10 ของคนที่เข้าโรงพยาบาลต้องการเลือด ซึ่งเลือดไม่สามารถผลิตได้ ต้องรอจากการบริจาคเท่านั้น
โดยปกติคนมีเลือดในร่างกายประมาณ 4,000-5,000 ซีซี การบริจาคแต่ละครั้ง จะบริจาคเพียง 350 - 450 ซีซี หรือประมาณ 6-7 เปอร์เซ็นต์ของเลือดทั้งหมดในร่างกาย ช่วยกระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดโลหิตใหม่ๆ ออกมาชดเชยให้มีระดับเท่าเดิม ภายใน 7-14 วัน
สำหรับผู้มีสุขภาพสมบูรณ์อายุระหว่าง 17-60 ปี สามารถบริจาคโลหิตได้ทุกๆ 3 เดือน



ลีคิ ซึง (Lee Ki Sueng) ศิลปินหนุ่มชาวเกาหลีใต้ออกแบบถุงบริจาคเลือดไว้น่ารัก เป็นรูปถุงเท้าที่แขวนไว้รอของขวัญวันคริสต์มาสจากซานตาคลอส โดยได้นำถุงบริจาคเลือดทรงถุงเท้านี้ออกแสดงในนิทรรศการงานศิลปะ Helsinki Design Week ที่ประเทศฟินแลนด์ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ตามธรรมเนียม ในคืนวันคริสต์มาส อีฟ หรือวันที่ 24 ธันวาคม เด็กๆ จะนำถุงเท้าที่มีชื่อตัวเองติดไว้ไปห้อยหน้าเตาผิงเพราะเชื่อว่าซานตาคลอสจะแอบนำของขวัญมาหย่อนใส่ถุงเท้า

ถุงบริจาคเลือดรูปทรงถุงเท้าของ ลี คิ ซึง ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะสื่อความหมายถึงการให้เลือดในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
ทางผู้จัดงาน Helsinki Design Week ได้เขียนข้อความรณรงค์การบริจาคเลือดว่า เมื่อเรานำของขวัญใส่ในถุงเท้าให้คนอื่น สักวันของขวัญก็จะกลับมาหาเรา
คริสต์มาสมักจะเป็นช่วงเวลาที่คนมักมองว่าเป็นช่วงเวลาของคนมีเงิน ความร่ำรวยและความมีสุขภาพดี ทำให้ลืมนึกถึงคนที่ไม่สมบูรณ์ คนพิการ คนที่มีปัญหาสุขภาพ และคนยากไร้ การบริจาคเลือดจึงนับเป็นการแบ่งปันความสุข ช่วยเหลือกัน สามารถรักษาชีวิตผู้อื่น ถือเป็นที่สุดของการให้

ช่วงนี้กระแสภาพยนตร์แวมไพร์ ทไวไลท์ ภาค 4 เบรกกิ้ง ดอว์น (Breaking Dawn) กำลังมาแรง ทำรายได้ทั่วโลกเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ หรือ 15,500 ล้านบาท
สถานที่รับบริจาคโลหิตหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกามีการโปรโมตการบริจาคเลือดให้เข้ากับกระแสแวมไพร์ดูดเลือดด้วยการให้ตั๋วภาพยนตร์ชมแวมไพร์ ทไวไลท์ ฟรี แก่ผู้บริจาคโลหิต
การบริจาคเลือดจึงเป็นของขวัญปีใหม่ เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ สร้างความอิ่มเอมใจแก่ผู้ให้ และมอบชีวิตใหม่ให้แก่ผู้รับ



++

ฟังคนรวยเบอร์ 3 ของโลกสอนลูก
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1635 หน้า 96


เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์ มหาเศรษฐีหมายเลข 3 ของโลกวัย 81 ปี ออกมาประกาศว่าเมื่อตัวเองเสียชีวิต ผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทการลงทุน เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ของเขาคือ ฮาเวิร์ด บัฟเฟ็ตต์ ลูกชายคนโตที่ปัจจุบันอายุ 57 ปี

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา วอร์เร็นและฮาเวิร์ดให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ของช่อง CBS
ไม่บ่อยนักที่วอร์เร็นออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องส่วนตัว แต่ทุกครั้งก็มีมุมมองและแนวคิดดีๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตเสมอ ยิ่งมีลูกชายมาร่วมเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ก็ทำให้ทราบถึงเรื่องราวน่ารักปนขบขัน ตลอดจนถึงวิธีการเลี้ยงลูกว่าทำอย่างไรที่จะไม่ให้เป็นลูกเศรษฐีไม่เอาถ่านเมื่อโตขึ้น


ฮาเวิร์ด บัฟเฟ็ตต์ ประกอบอาชีพอะไรและมีคุณสมบัติอย่างไรที่ทำให้พ่อเชื่อใจว่าจะสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทการลงทุน เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์
คำตอบคือฮาเวิร์ดเป็นเกษตรกรไร่ข้าวโพด ซึ่งวอร์เร็นมั่นใจว่าลูกชายคนนี้จะสามารถบริหารงานบริษัทให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และวัฒนธรรมของบริษัทที่ได้วางรากฐานเอาไว้ โดยเปรียบว่าฮาเวิร์ด จะทำหน้าที่เป็น Guardian of the Culture หรือ "ผู้พิทักษ์วัฒนธรรม" องค์กร
วอร์เร็นเคยกังวลว่าเมื่อเขาตายไปแล้ว ประธานคนใหม่อาจบริหารงานแบบตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวเอง แม้โอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นต่ำมากๆ แต่การได้ฮาเวิร์ดมาดำรงตำแหน่งประธานก็เหมือนกับการสร้างเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งฮาเวิร์ดจะไม่ได้รับเงินเดือน และไม่ต้องเข้าทำงานทุกวัน


หลายคนสงสัยว่าฮาเวิร์ดซึ่งเป็นเกษตรกรไร่ข้าวโพด มีความรู้ความสามารถพอที่จะบริหารบริษัทการลงทุนที่มีมูลค่ามหาศาลเป็นล้านล้านบาทหรือ?
วอร์เร็นบอกเขามั่นใจว่าลูกชายมีความรู้ความสามารถมากพอ ซึ่งในจำนวนลูก 3 คน ฮาเวิร์ดเป็นลูกคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งบอร์ดของบริษัท
ตอนทราบว่าพ่อจะส่งทอดตำแหน่งประธานให้ ฮาเวิร์ดบอกว่าเซอร์ไพรส์ พร้อมหัวเราะแล้วพูดต่อว่าไม่อยากจะบอกว่าพ่อไม่มีวันที่จะลงจากตำแหน่งจนกว่าจะถูกฝังลงดิน
ถามฮาเวิร์ดว่ากังวลหรือเปล่าที่จะมารับตำแหน่งใหญ่โตขนาดนี้ เขาอมยิ้มและหัวเราะเช่นเคย ก่อนตอบว่าตราบใดที่เขาได้ทำไร่ ตัวเขาก็ไม่มีปัญหา

ฮาเวิร์ด สนใจทำไร่ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ตอนนั้นใช้สวนหลังบ้านปลูกข้าวโพด
ตอนเด็กเขาและพี่สาวกับน้องชายไม่ทราบเลยว่าพ่อร่ำรวยมาก เขาเล่าเรื่องตลกของพี่สาวสมัยเป็นนักเรียนชั้นประถมว่า ครูถามนักเรียนทุกคนในห้องว่าพ่อทำงานอะไร ซึ่งแต่ไหนแต่ไรสามคนพี่น้องทราบเพียงแต่ว่าพ่อมีอาชีพเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (Securities Analyst) แต่ตอนนั้นไม่ทราบว่าอาชีพนี้คืออะไร ดังนั้น พี่สาวก็ตอบครูไปว่า พ่อเป็น Security Guard หรือพนักงานรักษาความปลอดภัย!
ซึ่งสามพี่น้องก็เข้าใจผิดอยู่นานว่าพ่อมีอาชีพนี้


เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ฮาเวิร์ดเปลี่ยนคณะที่เรียนถึง 3 หน
ถามวอร์เร็นว่ากังวลหรือเปล่าที่ลูกเปลี่ยนคณะเรียนบ่อย
เขาตอบว่าไม่กังวลเลยเพราะเข้าใจดีว่าลูกต้องการค้นหาตัวเองว่าต้องการทำอะไร แม้ในที่สุดฮาเวิร์ดเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย แต่วอร์เร็นก็บอกว่าไม่รู้สึกผิดหวังอะไร เพราะสำหรับเขาแล้วลูกจะค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบจากมหาวิทยาลัยหรือไม่ ไม่มีอะไรแตกต่างกัน

วอร์เร็นยอมรับว่าตัวเองเป็นพ่อที่แปลก แต่ภรรยาของเขาก็มีความคิดเช่นเดียวกัน ซึ่งลูกทั้งสามคนไม่มีใครเรียนจบมหาวิทยาลัย และพูดตลกว่าถ้านำหน่วยกิตของลูกทั้ง 3 คนมารวมกัน ก็สามารถได้ปริญญารวมกัน 1 ใบ!

เมื่อฮาเวิร์ดค้นพบว่าอยากเป็นเกษตรกร วอร์เร็นก็ซื้อที่ดินให้ลูกทำไร่ ไม่ได้ยกที่ดินให้เลย แต่ให้ฮาเวิร์ดเช่า โดยคิดค่าเช่าตามน้ำหนักตัวที่ขึ้นลงของฮาเวิร์ด!
สาเหตุก็เพราะฮาเวิร์ดตัวอ้วนใหญ่ เพื่อกระตุ้นให้ลูกลดน้ำหนัก วอร์เร็นจึงตั้งกฎค่าเช่าที่ดินไว้ว่าค่าเช่าขึ้นลงตามน้ำหนัก หากน้ำหนักตัวเพิ่มค่าเช่าก็สูงขึ้น หากน้ำหนักตัวลดค่าเช่าก็ลดตาม
ถามว่าทำไมถึงไม่ยกที่ดินให้ลูก วอร์เร็นตอบว่าการที่ฮาเวิร์ดใช้นามสกุลบัฟเฟ็ตต์ไม่ได้หมายความว่าจะได้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่ดิน เพราะเขาไม่ต้องการให้ลูกได้รับการเลี้ยงดูอย่างลูกมหาเศรษฐีที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ


แม้จะให้ฮาเวิร์ดจ่ายค่าเช่าที่ดิน แต่วอร์เร็นก็ให้เงินฮาเวิร์ดและลูกอีกสองคนเท่ากันคนละ 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 31,000 ล้านบาท แต่มีข้อแม้ว่าต้องใช้เงินจำนวนนี้เพื่อการกุศล ซึ่งฮาเวิร์ดก็ใช้เงินนี้ในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ยากไร้ในประเทศกำลังพัฒนา สอนวิธีการเพิ่มผลผลิต ฮาเวิร์ดบอกว่าเกษตรกรจำนวนมากที่ปลูกพืชผักผลไม้ขายกลับไม่ค่อยมีจะกิน ถือเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข
แม้ว่าจะได้เงินจากพ่อเพื่อใช้ในการกุศลตั้งสามหมื่นล้านบาท แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ลูกๆ รู้สึกหงุดหงิดที่พ่อบริจาคเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์หรือหนึ่งล้านล้านบาทให้แก่มูลนิธิของ บิลล์ เกตส์ ซึ่งสนิทกันเหมือนน้องชายอีกคน
แม้จะทราบมาตลอดว่าพ่อจะไม่ยกทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ให้ แต่บางครั้งลูกๆ ก็รู้สึกว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำได้ดียิ่งขึ้นหากมีเงินมากกว่านี้

ปัจจุบันฮาเวิร์ดมีความสุขกับการทำไร่ข้าวโพด 3,750 ไร่ในรัฐอิลลินอยส์ เขาบอกว่าคงไม่มีสิ่งไหนที่เขาสามารถทำแล้วประสบความสำเร็จได้อย่างพ่อ แต่พ่อกับแม่ก็บอกเสมอว่าไม่เป็นไร
วอร์เร็นบอกว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ลูกๆ จะพยายามแข่งขันกับเขา ลูกควรทำสิ่งที่ตัวเองถนัด โดยสอนลูกว่าให้ทำในสิ่งที่รักเหมือนกับที่พ่อรักที่จะทำเงิน ความสำเร็จในชีวิตคือการทำในสิ่งที่ตัวเองรักและทำออกมาดี
และสุดยอดแห่งความหรูหราในชีวิตก็คือการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักทุกวัน



++

ปณิธานปีใหม่ยอดฮิตของคนทั้งโลก
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1638 หน้า 96


ปีใหม่นอกจากเราจะตั้งความหวังใหม่ๆ กันแล้ว สิ่งที่คนทั่วโลกทำกันเป็นประจำเมื่อปีใหม่มาเยือนคือการตั้งปณิธานปีใหม่ที่ฝรั่งเรียกนิวเยียร์ส เรโซลูชั่น (New Year"s Resolution) อันหมายถึงการมุ่งมั่นตั้งใจทำสิ่งดีๆ ตลอดปีใหม่
ปณิธานปีใหม่ ยอดฮิตติดอันดับต้นๆ ทุกปี ไม่ว่าคนชาติไหนก็คือการลดน้ำหนัก แต่ปัญหาใหญ่ก็คือคนส่วนมากทำได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ก็ถอดใจก็หันมาทานขนมหวาน เลิกออกกำลังกายเหมือนเคย
การเตือนสติหรือบอกให้คนใกล้ชิดลดน้ำหนักนั้น เหมือนเป็นการให้ของขวัญปีใหม่ที่มีค่าเพราะสำหรับคนที่น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน การลดน้ำหนักเป็นการช่วยลดอัตราเสี่ยงแก่โรคร้ายตั้งแต่ความดันโลหิตสูง หัวใจ เบาหวาน กระทั่งมะเร็ง

แต่จากการสำรวจของสภาโรคอ้วนแห่งชาติ หรือ The National Obesity Forum แห่งประเทศอังกฤษ พบว่าคนเกือบครึ่งไม่กล้าที่จะบอกคนใกล้ตัวว่าควรลดน้ำหนักเพราะไม่อยากให้คนใกล้ตัวโกรธ อาย หรือเสียใจ


สภาโรคอ้วนแห่งชาติได้ทำการสำรวจคนกว่า 2,000 คน ซึ่งได้ผลการศึกษาดังนี้
- คนอายุระหว่าง 18-24 ปี จำนวน 42 เปอร์เซ็นต์ ไม่กล้าบอกคนใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง เพื่อนสนิทว่าควรลดน้ำหนัก เพราะกลัวว่าทำให้คนใกล้ตัวเสียใจ เสียความรู้สึก
- คนอายุ ระหว่าง 25-44 ปี จำนวน 34 เปอร์เซ็นต์ ไม่กล้าบอกคนใกล้ตัวว่าควรลดน้ำหนัก
- คนอายุ 45 ปีขึ้นไป จำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ ไม่กล้าบอกคนใกล้ตัวว่าควรลดน้ำหนักและสำหรับผู้ชายพบว่าการบอกภรรยา หรือแฟนสาว ว่าควรลดน้ำหนักเป็นเรื่องยากที่สุดเพราะ ส่วนผู้หญิง การบอกเพื่อนให้ลดน้ำหนักนั้นก็ยากที่สุดเช่นกัน

คณะผู้วิจัยแนะนำว่า รอบเอวเป็นสิ่งบ่งบอกว่าถึงเวลาที่จะลดน้ำหนักหรือยัง โดยผู้ชายนั้นไม่ควรมีเอวใหญ่เกิน 37 นิ้ว ส่วนผู้หญิงไม่เกิน 31.5 นิ้ว การมีเอวหนาเกิดจากการสะสมของไขมันที่บริเวณหน้าท้อง แต่ว่าไขมันในส่วนนี้มีทั้งไขมันที่อยู่ในช่องท้อง และไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนัง

ช่วงปีใหม่นี้ ครอบครัวจัดงานฉลองพร้อมหน้าพร้อมตา กิน ดื่ม กันเต็มที่ ซึ่งเป็นธรรมดาที่น้ำหนักตัวจะขึ้น ดังนั้น หลังจากฉลองปีใหม่กับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงกันเสร็จแล้ว ควรถือเป็นโอกาสที่จะบอกให้คนใกล้ตัวที่สนิทสนมรักใคร่ว่าควรลดน้ำหนัก ซึ่งถือเป็นการมอบของขวัญปีใหม่ที่มีค่า เพราะเป็นการช่วยต่ออายุคนที่เรารัก
การลดน้ำหนักเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว จะช่วยลดไขมันที่หน้าท้องได้ 10 เปอร์เซ็นต์ถึง 30 เปอร์เซ็นต์


เคล็ดลับในการบอกคนสนิทใกล้ตัวให้ลดน้ำหนัก มีดังนี้

1. การพูดให้คนใกล้ตัวลดน้ำหนักนั้น ควรเริ่มต้นด้วยการพูดอ้อมๆ ว่า เราเป็นห่วงและอยากให้อยู่ด้วยกันไปอีกนานๆ เพื่อทุกคนในครอบครัว ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ควรเริ่มที่การทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรพูดตรงไปตรงมาเกินเหตุว่า อ้วนไปแล้วนะ ต้องลดน้ำหนักแล้วหละ เดี๋ยวหัวใจวายตายเพราะอ้วนจัด คนใกล้ชิดจะโกรธ พาลมีเรื่องวิวาทฉลองปีใหม่ไปโน่น
2. หากเกรงว่าการบอกให้ลดน้ำหนักจะทำให้คนใกล้ชิดไม่พอใจและกินใจกัน ก็สามารถบอกด้วยการกระทำ เช่น ชวนให้ไปเดินออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ หรือทำอาหารที่มีประโยชน์แคลอรีต่ำให้ทาน ซื้อผลไม้ไปฝาก หรือให้ของขวัญปีใหม่ด้วยการเป็นสมาชิกฟิตเนส เป็นต้น
3. ทำตัวเหมือนเป็นเชียร์ลีดเดอร์ไม่ใช่โค้ช เวลาบอกคนใกล้ตัวให้ลดน้ำหนักนั้น ควรพูดให้กำลังใจ เหมือนเป็นกองเชียร์ที่เชื่อมั่นว่าเขาหรือเธอคนนั้นจะลดน้ำหนักสำเร็จ ไม่ใช่พูดด้วยถ้อยคำสั่งสอน เหมือนโค้ชเกาหลี
4. ร่วมลดน้ำหนักด้วยกัน หากแนะนำให้คนใกล้ตัวลดน้ำหนัก ตัวเองก็ควรร่วมลดน้ำหนักด้วยจะทำให้คนใกล้ตัวรู้สึกว่าตัวเองมีเพื่อน เช่น ทำอาหารลดน้ำหนักทานด้วยกัน หรือออกกำลังกายพร้อมกัน
5. ให้รางวัลเป็นตัวกระตุ้น เช่น ตกลงกันไว้ว่าหากลดน้ำหนักเท่านั้นเท่านี้ จะไปเที่ยวปีนเขาด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งจูงใจที่ช่วยให้ทำในสิ่งที่มีสุขภาพ ไม่ควรให้สิ่งล่อใจหรือรางวัลที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพ เช่น หากลดน้ำหนักสำเร็จจะไปดื่มเหล้าฉลอง หรือทานอาหารมื้อใหญ่ฉลอง!
6. แสดงความเอาใจใส่ ติดตามการลดน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอ ในกรณีที่คนสนิทที่บอกให้ลดน้ำหนักนั้น ไม่เห็นหน้าค่าตากันทุกวัน ก็ควรติดตามผลการลดน้ำหนักด้วยการโทรศัพท์ ส่งอี-เมล หรือเอสเอ็มเอส ถามว่าการลดน้ำหนักไปถึงไหนแล้ว แสดงให้เห็นถึงความห่วงใย คนลดความอ้วนจะได้มีกำลังใจ

เคล็ดลับต่างๆ เหล่านี้ ทำไม่ยากเลยครับ ถ้าตั้งใจทำอย่างจริงจัง

"คนรุ่นใหม่ ต้องไม่อ้วน" สโลแกนที่เหมาะสมที่สุดทุกยุคทุกสมัย



.