.
“หน้าอก” สะบัดสี
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1662 หน้า 80
กรณี เลดี้ กาก้า ยังคงไม่จบ
กระทรวงวัฒนธรรมของเราเอาจริงค่ะคุณผู้อ่าน
น่าปลื้มปริ่มใจมากอย่างยิ่งเลยนะคะที่เราอยู่ในประเทศที่มีหน่วยงานซึ่งเอาใจใส่และขยันขันแข็งในการทำงานอย่างยิ่ง
ไม่ได้บอกว่าเห็นด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่าทางกระทรวงจริงจังกับประเด็นนี้เป็นอย่างยิ่ง
ไม่ปลื้มใจคงเป็นไปไม่ได้
แถมข่าวนี้ยังได้รับความสนใจทั้งในวงการข่าวและวงการบันเทิงระดับโลก คือถูกรายงานผ่านทั้งทางสำนักข่าวรอยเตอร์และฮอลลีวู้ด รีพอร์ตเตอร์
ว่าทางประเทศไทยเรานี้จริงจังกับเรื่องที่หล่อนพูดและการกระทำรวมไปถึงการแต่งตัวอันไม่เหมาะสมของหล่อนจริงๆ นะจ๊ะ แม่เลดี้ กาก้า อย่ามาทำเบลอๆ ขำๆ
ก็อย่างที่บอกว่าฉันคงไปว่าอะไรไม่ได้
ในเมื่อฉันมีอคติไปในทางจะรู้สึกลบกับการออกแรงครั้งนี้ของทางกระทรวง ว่าทำไมช่างออกมาในแนวทางพิลึกพิกล และไม่ยอมรับความจริงเป็นอย่างยิ่ง
ทำเหมือนกับลืมไปว่าแค่เฉพาะในกรุงเทพฯ เราก็มีทั้งย่านคลองถม สะพานเหล็ก สีลม และอีกมากมาย แต่ละย่านที่กล่าวมานั้นก็เป็นแหล่งใหญ่ของการขายสินค้าทำเลียนแบบทั้งสิ้น
ถ้าจะเอาจริงเอาจังก็น่าจะออกไปในแนวทางตามเก็บกวาด
ตามจับแหล่งผลิตแหล่งขายเพื่อที่จะได้ล้างสมญานามแหล่งของปลอมเสียจะดีกว่าไหม
ไม่ใช่มัวแต่จะมาสะดุ้งตกใจเวลาใครเขาพูดความจริงขึ้นมา แล้วก็ไปโกรธเคืองเขาให้ตัวเองยิ่งดูโดดเด่นน่าสงสัยในการกลบเกลื่อนขึ้นไปอีก
แต่ก็นั่นแหละ เขาก็ทำหน้าที่ได้ถูกต้องตามจุดประสงค์ในการมีอยู่ของกระทรวงวัฒนธรรมแล้ว ว่ากันไม่ได้นะคะ
มาถึงเรื่องวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามตามแบบไทยๆ อีกอย่างดีกว่า
นั่นก็คือหนึ่งในการแสดงอันเรียกเสียงฮือฮาและทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นทั้งในหมู่ผู้ที่ได้ชมและตัวกรรมการผู้ตัดสิน
อันตัวกรรมการผู้ตัดสินนั้นฉันไม่แน่ใจนัก ว่าก็แค่เล่นไปตามบทบาทบุคลิกที่ถูกวางไว้สำหรับรายการหรือไม่ แต่ก็ช่างมันเถอะ ฉันสนใจว่าบทบาทนั้นถูกวางไว้ให้เป็นการโต้แย้งทางวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามอีกแล้ว ด้วยว่าหนึ่งในกรรมการซึ่งเป็นหญิงสาวนั้นรับไม่ได้อย่างแรงกับการแก้ผ้าผ่อนเต้นยั่วยวนพลางใช้เรือนร่างระบายสีแล้วบอกว่าเป็นศิลปะ
ในขณะที่กรรมการชายอีก 2 คนดูจะขำๆ แล้วปล่อยให้การแสดงนี้ได้ผ่านเข้ารอบต่อไป
สำหรับฉัน, หากได้เป็นกรรมการ (ซึ่งในความเป็นจริงคงเป็นไปไม่ได้ เพราะปากฉันนั้นมีแนวโน้มจะแกว่งไปในทางพูดอะไรออกมาทื่อๆ ซึ่งผิดขนบและจริตประนีประนอมตามความน่าจะเป็นที่คนคาดหวังจะได้จากคนในสื่อบันเทิง) ก็คงจะไม่ให้น้องเขาผ่าน
เปล่า, ไม่ได้เป็นเหตุผลทางประเพณี วัฒนธรรมหรือขนบธรรมเนียมความเป็นกุลสตรีแต่อย่างใด
แต่ในเมื่อนี่มันคือการประกวดทาเลนต์ หรือ ความสามารถ มันก็ต้องหมายความว่าเราต้องมีความเก่งกาจสามารถในสิ่งที่เราเอาออกมานำเสนอ
ซึ่งในที่นี้คือการเขียนรูป
ไม่ใช่การแก้ผ้า
และฉันว่ารูปที่น้องเขาเขียนมันไม่สวย มันไม่สร้างจินตนาการ
มันไม่จุดประกายใดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะมีในการสร้างงานศิลปะ
และดูๆ ไปแล้วน้องเค้าตั้งใจจะขายความกล้าในการแก้มากกว่างานศิลปะ
และถึงแม้ศิลปะนั้นควรจะก่อให้เกิดข้อถกเถียง แต่นี่เป็นรายการแสดงถึงความสามารถ
โชว์ของน้องเลยดูแตะไปเสียทุกอย่างโดยไม่ชัดเจน จะศิลปะ จะเต้น จะแก้
จะเก่งตรงเอาหน้าอกสะบัดสีแทนพู่กัน
หรือสุดท้ายจะสื่ออะไรในการสร้างงานก็ดันไม่มีกรรมการคนไหนถามน้องเขาเสียอีก
เลยกลายเป็นน้องเขานำเสนอประเด็นซ้ำซ้อน
ถ้าจะเต้นเน้นหุ่นก็เน้นไป
จะเขียนรูปก็เขียนไป
แต่ถ้าเน้นศิลปะแล้วออกมาไม่สวยตามสายตาคนส่วนใหญ่ (เพราะอย่างไรเสียเขาก็เน้นคะแนนโหวตจากผู้ชม "ทั่วประเทศ" นี่นะ) หรือ ไม่สื่อสารก็หมดกัน
แค่นั้นเอง
ไม่ได้ต้องหวีดร้องถึงวัฒนธรรมประเพณีใดๆ
เขามาประกวดความสามารถ
จะใช้แขน ใช้ขา หรือใช้ขนตรงไหนของร่างกายเขียนก็แล้วแต่
แต่ถ้าความสามารถในสิ่งที่ (อ้างว่า) จะนำเสนอคือศิลปะ แล้วมันออกมาไม่สวยก็เป็นอันจบ
ถ้าน้องเขานำเสนอว่าจะแก้ผ้าเต้น โดยสาดสีใส่ร่างไปด้วย เรียกว่าโชว์ทั้งทักษะและสมาธิสิ ฉันอาจจะให้ผ่าน แถมจะรอดูการแสดงในรอบต่อไปอย่างใจจดใจจ่อด้วย
ไอ้ประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามนั้นเป็นเรื่องเข้าใจยากสำหรับฉัน
ความดีงามในยุคสมัยหนึ่งอาจกลายเป็นความเร่อร่าล้าสมัยได้ในอีกยุคหนึ่ง
ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี แต่ทุกสิ่งต้องการการปรับตัว
ทั้งตัววัฒนธรรมเองและผู้ที่เอามันมาใช้
โลกเราไม่ได้ถูกแช่แข็งไว้
ไม่งั้นก็จะได้กลายเป็นการจับผิดและการเถียงกันแบบนี้เรื่อยไปไม่จบไม่สิ้น
แล้วไปๆ มาๆ ก็จะกลายเป็นไม้ตายในการหยิบมากำราบคนทำอะไรแผลงๆ โดยไม่ต้องพูดถึงมุมอื่น
ลงดาบวัฒนธรรมเสียเป็นอันว่ารู้เรื่อง ไม่ต้องพูดกันอีกต่อไป
แต่ยังไงน้องคนนั้นและทางรายการก็ถือว่าประสบความสำเร็จ
น้องคงมีงานเข้ามาอีกเยอะ
รายการก็คงเรียกเรตติ้งได้อีกมาก
และเราทั้งหมดนี้ต่างก็ต้องเต้นระบำรำฟ้อนกันในท่าทางที่ต่างไปในแบบไทยๆ กันเหมือนเดิม
เอวัง
++
สถานี “ข้างหน้า” ที่ “ฉัน” ไม่รู้
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1663 หน้า 80
ป้ายบอกทางนั้นหม่นหมองไปด้วยคราบฝุ่นและรอยขีดเขียนสีจนมองแทบไม่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างหลังกรอบกระจกมัวๆ นั้น
ฉันเพ่งสายตามอง พบแต่เส้นขีดเลือนๆ พร้อมถ้อยคำกระท่อนกระแท่นจนจับใจความไม่ได้
ไหล่ปวดล้าเพราะของสารพัดที่หอบหิ้วติดตัวมาในกระเป๋า
เราจะรู้เส้นทางที่จะไปได้อย่างไรถ้าสิ่งที่มีหน้าที่ให้ข้อมูลเป็นเสียอย่างนี้
พยายามเบิกตาให้กว้าง ตั้งสมาธิมองเอียงทั้งทางซ้ายและขวากลับไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ฉันจึงละความพยายาม
และตัดสินใจก้าวขึ้นรถไฟที่มีตัวอักษรคุ้นตาที่สุด
หวังว่ามันจะใช่
และความหวังนั้นก็ใช้ไม่ได้ผล
การเดินทางเป็นปัญหากับฉันเสมอมา ไม่ว่าจะทางรถ ทางเรือ รถไฟ รถไฟฟ้า หรือแม้แต่จะก้าวขาออกเดิน
สัมผัสด้านทิศทางของฉันแย่ การกำหนดรับรู้จุดสนใจหลักๆ มีค่าเพียงความว่างเปล่า
และสมาธิเป็นศูนย์เพราะมีแต่เรื่องราวล่องลอยผ่านเข้ามาในหัวอยู่เสมอ
ทำให้ฉันน่าจะเป็นมนุษย์ที่หลงทางบ่อยที่สุดในโลก
แม้แต่ทางกลับบ้านก็ยังต้องดำเนินไปตามเส้นทางเดิมๆ ซ้ำๆ
หรือถ้าจะต้องแวะไปตรงไหนนอกทางที่เคยปฏิบัติก็จำจะต้องกำหนดจิตให้มั่นก่อนหน้าการเดินทางจริงร่วมชั่วโมง
ไม่อย่างนั้นก็หลง
ฉันจึงต้องเผื่อเวลาเดินทางเป็นชั่วโมงเสมอๆ
นี่พูดถึงการเดินทางในเมืองที่คุ้นเคยแล้วนะ
ซึ่งมันเทียบไม่ได้เลยกับการยืนอยู่ในเมืองแปลกหน้า ผู้คนแปลกตา และภาษาแปลกหูแบบนี้
สถานีรถไฟที่ญี่ปุ่นมีโยงใยซับซ้อนยิ่งกว่าเขาวงกต
เหนือข้างบนยังมีข้างบน
ใต้ข้างล่างยังมีที่ต่ำกว่า
แม้พื้นที่ตรงหน้าที่เท้ายืนอยู่ก็ยังแผ่กว้างออกไปเป็นสิบๆ ชานชาลา
คนที่พูดภาษาอังกฤษหาได้น้อยยิ่งกว่าน้อย
ที่พูดได้ก็ไม่รู้ข้อมูลเสียอีก
ฉันมองหารถที่จะต่อจากที่นี่ไปสู่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง
ในข้อมูลมันระบุไว้ว่ามี แต่มันอยู่ที่ไหนกัน
"สถานีแห่งความว่างเปล่า" ของ กตัญญู สว่างศรี ทำให้ฉันนึกถึงตัวเองในวันนั้น
เรื่องของหญิงสาวที่อยากลืม เรื่องของคู่รัก เรื่องของชายหนุ่มผู้เบื่อหน่ายเรื่องเล่า ชีวิตที่ว่างเปล่าไร้ตัวตน และยานอวกาศ
มันคือเรื่องเล่าของผู้คนที่เรามองเห็นแต่ไม่รู้จัก
ได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเขาแต่ไม่มีวันเข้าใจ
และการหลงทางไปในเมืองกว้างอย่างโตเกียว
ที่ที่การรถไฟที่ดีที่สุดในโลกไม่อาจพาเราไปในที่ที่เราต้องการได้
และสุดท้ายในขบวนรถนั้นฉันก็ได้ประสบกับเหตุการณ์ซึ่งไม่เคยคิดว่าจะได้พบที่นั่น
คือฉันได้อยู่คนเดียว
คนเดียวโดยที่ในใจของตัวเองก็รู้ดีว่าเพียงเดินออกจากตู้โดยสาร ผ่านชานชาลาออกไป
เมืองก็จะเต็มแน่นไปด้วยผู้คนเหมือนเดิม
ตู้โดยสารสว่างและมืด สว่างและมืดสลับกันไปเป็นจังหวะ
ฉันนั่งมองเก้าอี้ว่างเปล่าตรงหน้า จินตนาการถึงคนที่เพิ่งลุกออกไปจากที่นั่ง
เขาอาจเป็นนักธุรกิจที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือฉบับกระเป๋าที่หนีบติดตัวมาด้วย
อาจเป็นหญิงสาวกระโปรงสั้นที่กำลังคุยกับเพื่อน
อาจเป็นคนโรคจิตสักคนที่กำลังมองหาเหยื่อในความขนัดแน่นของรถไฟ
พวกเขามาจากไหนและจะลงสถานีอะไรกันนะ
เราเคยสงสัยกันบ้างไหมว่าเราจะเดินทางไปถึงไหนกัน
ชีวิตซ้ำๆ เดินทางเหมือนเดิม ลงสถานีเดิมๆ ก้าวเดินผ่านร้านรวงเดิมๆ ทุกวัน
แต่บ่อยครั้งที่ความซ้ำซากจำเจก็ถือเป็นความอุ่นใจ
โลกมันเหมือนจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงถ้าเรายังคงไว้ซึ่งอะไรบางอย่างได้บ้างในชีวิต
การผจญภัยนั้นเปราะบางเกินไป ชวนให้หวาดหวั่นเกินไป และเรียกร้องพลังจากตัวเรามากเกินไป
และบางทีมันก็เกิดขึ้นได้โดยที่เราไม่ทันรู้ตัว
เหมือนที่ฉันกำลังนั่งเฉยๆ อยู่ตรงนี้
มองการเปลี่ยนแปลงและความไม่คุ้นเคยที่นั่งสบตาฉันอยู่เงียบๆ
แทนที่จะเป็นผู้โดยสารธรรมดาๆ ทั่วไป
รอเวลาที่จะก้าวเดินลงไปพร้อมฉัน
ในสถานีข้างหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าจะพาฉันไปถึงที่ไหน
.
Selected Messages & Good Article for People Ideas and Social Justice .. หวังความต่อเนื่องของพลังประชาธิปไตยและการเลือกตั้งของปวงชนอันเป็นรากฐานอำนาจอธิปไตย เพื่อกำกับกติกาและอำนาจการเมือง-อำนาจตุลาการ ไม่ว่าต่อคนชั่ว(เพราะใคร?) และคนดี(ของใคร?) ไม่ให้อยู่เหนือนิติรัฐของประชาชน
http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย