http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-07-04

“หน้าอก”สะบัดสี, สถานี“ข้างหน้า”ที่“ฉัน”ไม่รู้ โดย ทราย เจริญปุระ

.

“หน้าอก” สะบัดสี
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1662 หน้า 80


กรณี เลดี้ กาก้า ยังคงไม่จบ
กระทรวงวัฒนธรรมของเราเอาจริงค่ะคุณผู้อ่าน 
น่าปลื้มปริ่มใจมากอย่างยิ่งเลยนะคะที่เราอยู่ในประเทศที่มีหน่วยงานซึ่งเอาใจใส่และขยันขันแข็งในการทำงานอย่างยิ่ง 


ไม่ได้บอกว่าเห็นด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่าทางกระทรวงจริงจังกับประเด็นนี้เป็นอย่างยิ่ง 
ไม่ปลื้มใจคงเป็นไปไม่ได้ 
แถมข่าวนี้ยังได้รับความสนใจทั้งในวงการข่าวและวงการบันเทิงระดับโลก คือถูกรายงานผ่านทั้งทางสำนักข่าวรอยเตอร์และฮอลลีวู้ด รีพอร์ตเตอร์ 
ว่าทางประเทศไทยเรานี้จริงจังกับเรื่องที่หล่อนพูดและการกระทำรวมไปถึงการแต่งตัวอันไม่เหมาะสมของหล่อนจริงๆ นะจ๊ะ แม่เลดี้ กาก้า อย่ามาทำเบลอๆ ขำๆ


ก็อย่างที่บอกว่าฉันคงไปว่าอะไรไม่ได้ 
ในเมื่อฉันมีอคติไปในทางจะรู้สึกลบกับการออกแรงครั้งนี้ของทางกระทรวง ว่าทำไมช่างออกมาในแนวทางพิลึกพิกล และไม่ยอมรับความจริงเป็นอย่างยิ่ง 
ทำเหมือนกับลืมไปว่าแค่เฉพาะในกรุงเทพฯ เราก็มีทั้งย่านคลองถม สะพานเหล็ก สีลม และอีกมากมาย แต่ละย่านที่กล่าวมานั้นก็เป็นแหล่งใหญ่ของการขายสินค้าทำเลียนแบบทั้งสิ้น 
ถ้าจะเอาจริงเอาจังก็น่าจะออกไปในแนวทางตามเก็บกวาด 
ตามจับแหล่งผลิตแหล่งขายเพื่อที่จะได้ล้างสมญานามแหล่งของปลอมเสียจะดีกว่าไหม 
ไม่ใช่มัวแต่จะมาสะดุ้งตกใจเวลาใครเขาพูดความจริงขึ้นมา แล้วก็ไปโกรธเคืองเขาให้ตัวเองยิ่งดูโดดเด่นน่าสงสัยในการกลบเกลื่อนขึ้นไปอีก


แต่ก็นั่นแหละ เขาก็ทำหน้าที่ได้ถูกต้องตามจุดประสงค์ในการมีอยู่ของกระทรวงวัฒนธรรมแล้ว ว่ากันไม่ได้นะคะ



มาถึงเรื่องวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามตามแบบไทยๆ อีกอย่างดีกว่า 
นั่นก็คือหนึ่งในการแสดงอันเรียกเสียงฮือฮาและทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นทั้งในหมู่ผู้ที่ได้ชมและตัวกรรมการผู้ตัดสิน

อันตัวกรรมการผู้ตัดสินนั้นฉันไม่แน่ใจนัก ว่าก็แค่เล่นไปตามบทบาทบุคลิกที่ถูกวางไว้สำหรับรายการหรือไม่ แต่ก็ช่างมันเถอะ ฉันสนใจว่าบทบาทนั้นถูกวางไว้ให้เป็นการโต้แย้งทางวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามอีกแล้ว ด้วยว่าหนึ่งในกรรมการซึ่งเป็นหญิงสาวนั้นรับไม่ได้อย่างแรงกับการแก้ผ้าผ่อนเต้นยั่วยวนพลางใช้เรือนร่างระบายสีแล้วบอกว่าเป็นศิลปะ 
ในขณะที่กรรมการชายอีก 2 คนดูจะขำๆ แล้วปล่อยให้การแสดงนี้ได้ผ่านเข้ารอบต่อไป

สำหรับฉัน, หากได้เป็นกรรมการ (ซึ่งในความเป็นจริงคงเป็นไปไม่ได้ เพราะปากฉันนั้นมีแนวโน้มจะแกว่งไปในทางพูดอะไรออกมาทื่อๆ ซึ่งผิดขนบและจริตประนีประนอมตามความน่าจะเป็นที่คนคาดหวังจะได้จากคนในสื่อบันเทิง) ก็คงจะไม่ให้น้องเขาผ่าน 
เปล่า, ไม่ได้เป็นเหตุผลทางประเพณี วัฒนธรรมหรือขนบธรรมเนียมความเป็นกุลสตรีแต่อย่างใด 
แต่ในเมื่อนี่มันคือการประกวดทาเลนต์ หรือ ความสามารถ มันก็ต้องหมายความว่าเราต้องมีความเก่งกาจสามารถในสิ่งที่เราเอาออกมานำเสนอ
ซึ่งในที่นี้คือการเขียนรูป 
ไม่ใช่การแก้ผ้า

และฉันว่ารูปที่น้องเขาเขียนมันไม่สวย มันไม่สร้างจินตนาการ 
มันไม่จุดประกายใดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะมีในการสร้างงานศิลปะ 
และดูๆ ไปแล้วน้องเค้าตั้งใจจะขายความกล้าในการแก้มากกว่างานศิลปะ

และถึงแม้ศิลปะนั้นควรจะก่อให้เกิดข้อถกเถียง แต่นี่เป็นรายการแสดงถึงความสามารถ 
โชว์ของน้องเลยดูแตะไปเสียทุกอย่างโดยไม่ชัดเจน จะศิลปะ จะเต้น จะแก้ 
จะเก่งตรงเอาหน้าอกสะบัดสีแทนพู่กัน 
หรือสุดท้ายจะสื่ออะไรในการสร้างงานก็ดันไม่มีกรรมการคนไหนถามน้องเขาเสียอีก 
เลยกลายเป็นน้องเขานำเสนอประเด็นซ้ำซ้อน


ถ้าจะเต้นเน้นหุ่นก็เน้นไป 
จะเขียนรูปก็เขียนไป 
แต่ถ้าเน้นศิลปะแล้วออกมาไม่สวยตามสายตาคนส่วนใหญ่ (เพราะอย่างไรเสียเขาก็เน้นคะแนนโหวตจากผู้ชม "ทั่วประเทศ" นี่นะ) หรือ ไม่สื่อสารก็หมดกัน 
แค่นั้นเอง

ไม่ได้ต้องหวีดร้องถึงวัฒนธรรมประเพณีใดๆ 
เขามาประกวดความสามารถ 
จะใช้แขน ใช้ขา หรือใช้ขนตรงไหนของร่างกายเขียนก็แล้วแต่ 
แต่ถ้าความสามารถในสิ่งที่ (อ้างว่า) จะนำเสนอคือศิลปะ แล้วมันออกมาไม่สวยก็เป็นอันจบ 
ถ้าน้องเขานำเสนอว่าจะแก้ผ้าเต้น โดยสาดสีใส่ร่างไปด้วย เรียกว่าโชว์ทั้งทักษะและสมาธิสิ ฉันอาจจะให้ผ่าน แถมจะรอดูการแสดงในรอบต่อไปอย่างใจจดใจจ่อด้วย



ไอ้ประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามนั้นเป็นเรื่องเข้าใจยากสำหรับฉัน 
ความดีงามในยุคสมัยหนึ่งอาจกลายเป็นความเร่อร่าล้าสมัยได้ในอีกยุคหนึ่ง  
ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี แต่ทุกสิ่งต้องการการปรับตัว 
ทั้งตัววัฒนธรรมเองและผู้ที่เอามันมาใช้ 

โลกเราไม่ได้ถูกแช่แข็งไว้ 
ไม่งั้นก็จะได้กลายเป็นการจับผิดและการเถียงกันแบบนี้เรื่อยไปไม่จบไม่สิ้น 
แล้วไปๆ มาๆ ก็จะกลายเป็นไม้ตายในการหยิบมากำราบคนทำอะไรแผลงๆ โดยไม่ต้องพูดถึงมุมอื่น 
ลงดาบวัฒนธรรมเสียเป็นอันว่ารู้เรื่อง ไม่ต้องพูดกันอีกต่อไป


แต่ยังไงน้องคนนั้นและทางรายการก็ถือว่าประสบความสำเร็จ 
น้องคงมีงานเข้ามาอีกเยอะ 
รายการก็คงเรียกเรตติ้งได้อีกมาก 
และเราทั้งหมดนี้ต่างก็ต้องเต้นระบำรำฟ้อนกันในท่าทางที่ต่างไปในแบบไทยๆ กันเหมือนเดิม

เอวัง



++

สถานี “ข้างหน้า” ที่ “ฉัน” ไม่รู้
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1663 หน้า 80


ป้ายบอกทางนั้นหม่นหมองไปด้วยคราบฝุ่นและรอยขีดเขียนสีจนมองแทบไม่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างหลังกรอบกระจกมัวๆ นั้น 
ฉันเพ่งสายตามอง พบแต่เส้นขีดเลือนๆ พร้อมถ้อยคำกระท่อนกระแท่นจนจับใจความไม่ได้ 
ไหล่ปวดล้าเพราะของสารพัดที่หอบหิ้วติดตัวมาในกระเป๋า 
เราจะรู้เส้นทางที่จะไปได้อย่างไรถ้าสิ่งที่มีหน้าที่ให้ข้อมูลเป็นเสียอย่างนี้

พยายามเบิกตาให้กว้าง ตั้งสมาธิมองเอียงทั้งทางซ้ายและขวากลับไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น 
ฉันจึงละความพยายาม 
และตัดสินใจก้าวขึ้นรถไฟที่มีตัวอักษรคุ้นตาที่สุด 
หวังว่ามันจะใช่ 
และความหวังนั้นก็ใช้ไม่ได้ผล



การเดินทางเป็นปัญหากับฉันเสมอมา ไม่ว่าจะทางรถ ทางเรือ รถไฟ รถไฟฟ้า หรือแม้แต่จะก้าวขาออกเดิน 
สัมผัสด้านทิศทางของฉันแย่ การกำหนดรับรู้จุดสนใจหลักๆ มีค่าเพียงความว่างเปล่า 
และสมาธิเป็นศูนย์เพราะมีแต่เรื่องราวล่องลอยผ่านเข้ามาในหัวอยู่เสมอ 
ทำให้ฉันน่าจะเป็นมนุษย์ที่หลงทางบ่อยที่สุดในโลก 
แม้แต่ทางกลับบ้านก็ยังต้องดำเนินไปตามเส้นทางเดิมๆ ซ้ำๆ

หรือถ้าจะต้องแวะไปตรงไหนนอกทางที่เคยปฏิบัติก็จำจะต้องกำหนดจิตให้มั่นก่อนหน้าการเดินทางจริงร่วมชั่วโมง 
ไม่อย่างนั้นก็หลง 
ฉันจึงต้องเผื่อเวลาเดินทางเป็นชั่วโมงเสมอๆ 
นี่พูดถึงการเดินทางในเมืองที่คุ้นเคยแล้วนะ 
ซึ่งมันเทียบไม่ได้เลยกับการยืนอยู่ในเมืองแปลกหน้า ผู้คนแปลกตา และภาษาแปลกหูแบบนี้


สถานีรถไฟที่ญี่ปุ่นมีโยงใยซับซ้อนยิ่งกว่าเขาวงกต  
เหนือข้างบนยังมีข้างบน 
ใต้ข้างล่างยังมีที่ต่ำกว่า 
แม้พื้นที่ตรงหน้าที่เท้ายืนอยู่ก็ยังแผ่กว้างออกไปเป็นสิบๆ ชานชาลา

คนที่พูดภาษาอังกฤษหาได้น้อยยิ่งกว่าน้อย
ที่พูดได้ก็ไม่รู้ข้อมูลเสียอีก 
ฉันมองหารถที่จะต่อจากที่นี่ไปสู่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง 
ในข้อมูลมันระบุไว้ว่ามี แต่มันอยู่ที่ไหนกัน


"สถานีแห่งความว่างเปล่า" ของ กตัญญู สว่างศรี ทำให้ฉันนึกถึงตัวเองในวันนั้น 
เรื่องของหญิงสาวที่อยากลืม เรื่องของคู่รัก เรื่องของชายหนุ่มผู้เบื่อหน่ายเรื่องเล่า ชีวิตที่ว่างเปล่าไร้ตัวตน และยานอวกาศ 
มันคือเรื่องเล่าของผู้คนที่เรามองเห็นแต่ไม่รู้จัก 
ได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเขาแต่ไม่มีวันเข้าใจ 
และการหลงทางไปในเมืองกว้างอย่างโตเกียว 
ที่ที่การรถไฟที่ดีที่สุดในโลกไม่อาจพาเราไปในที่ที่เราต้องการได้

และสุดท้ายในขบวนรถนั้นฉันก็ได้ประสบกับเหตุการณ์ซึ่งไม่เคยคิดว่าจะได้พบที่นั่น 
คือฉันได้อยู่คนเดียว 

คนเดียวโดยที่ในใจของตัวเองก็รู้ดีว่าเพียงเดินออกจากตู้โดยสาร ผ่านชานชาลาออกไป 
เมืองก็จะเต็มแน่นไปด้วยผู้คนเหมือนเดิม



ตู้โดยสารสว่างและมืด สว่างและมืดสลับกันไปเป็นจังหวะ 
ฉันนั่งมองเก้าอี้ว่างเปล่าตรงหน้า จินตนาการถึงคนที่เพิ่งลุกออกไปจากที่นั่ง 
เขาอาจเป็นนักธุรกิจที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือฉบับกระเป๋าที่หนีบติดตัวมาด้วย 
อาจเป็นหญิงสาวกระโปรงสั้นที่กำลังคุยกับเพื่อน 
อาจเป็นคนโรคจิตสักคนที่กำลังมองหาเหยื่อในความขนัดแน่นของรถไฟ

พวกเขามาจากไหนและจะลงสถานีอะไรกันนะ 
เราเคยสงสัยกันบ้างไหมว่าเราจะเดินทางไปถึงไหนกัน 
ชีวิตซ้ำๆ เดินทางเหมือนเดิม ลงสถานีเดิมๆ ก้าวเดินผ่านร้านรวงเดิมๆ ทุกวัน 
แต่บ่อยครั้งที่ความซ้ำซากจำเจก็ถือเป็นความอุ่นใจ


โลกมันเหมือนจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงถ้าเรายังคงไว้ซึ่งอะไรบางอย่างได้บ้างในชีวิต 
การผจญภัยนั้นเปราะบางเกินไป ชวนให้หวาดหวั่นเกินไป และเรียกร้องพลังจากตัวเรามากเกินไป 
และบางทีมันก็เกิดขึ้นได้โดยที่เราไม่ทันรู้ตัว 
เหมือนที่ฉันกำลังนั่งเฉยๆ อยู่ตรงนี้

มองการเปลี่ยนแปลงและความไม่คุ้นเคยที่นั่งสบตาฉันอยู่เงียบๆ
แทนที่จะเป็นผู้โดยสารธรรมดาๆ ทั่วไป
รอเวลาที่จะก้าวเดินลงไปพร้อมฉัน
ในสถานีข้างหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าจะพาฉันไปถึงที่ไหน



.