http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-05-17

ลืมใคร่ครวญความตาย ทำลายโอกาสตัวเอง โดย นพ.บรรจบ ชุณหส วัสดิกุล

.
มีบทความถัดไป - ใคร่ครวญความตาย ได้ประโยชน์  โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ลืมใคร่ครวญความตาย ทำลายโอกาสตัวเอง
โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล dr.banchob_j@hotmail.com Facebook: Banchob Junha
คอลัมน์ ธรรมชาติบำบัด ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1655 หน้า 93


"เรื่องอะไร...อยู่ดีไม่ว่าดี ต้องมานั่งใคร่ครวญความตายให้เสียบรรยากาศความสุขในชีวิต มีแต่คนใกล้ตายเท่านั้นแหละที่ควรใคร่ครวญความตายไปตามที่คุณหมอบรรจบเชื้อเชิญ" 
ผู้อ่านหลายคนอาจนึกค้านอยู่ในใจ พอเปิดบทความธรรมชาติบำบัดฉบับที่แล้วก็รีบพลิกหนี เพราะในใจบอกว่า "ยังไม่ถึงเวลาที่ข้าฯ จะอ่าน"
นี่เรียกว่าคนประมาท ลองฟังเหตุผลที่ท่านทะไลลามะแจงจารเกี่ยวกับว่า ใคร่ครวญความตายได้ประโยชน์อย่างไร
เผื่อว่าท่านผู้อ่านจะเห็นด้วยกับท่านบ้าง


การยอมรับว่าความชราและความตาย 
เป็นส่วนหนึ่งของเรา 
ทำให้ชีวิตมีความหมาย

การที่คนจำนวนไม่น้อยคิดกอบโกยด้วยความละโมบโลภมาก บางคนรวยล้นฟ้าชนิดกินสิบชาติก็ยังไม่หมด แต่ก็ไม่วายก่อเรื่อง สร้างปัญหาให้กับสังคม ประเทศชาติ ยอมให้ผู้คนเขาก่นด่าทั้งตัวเองและวงศ์ตระกูล ด้วยการหาหนทางเอารัดเอาเปรียบ เกาะกินสังคมต่อไปไม่สิ้นสุด ด้วยชีวิตของเขาไม่เคยมีคำว่ายอมแพ้ 
สาเหตุสำคัญเบื้องลึกที่สุดก็เพราะเขาคิดว่าชีวิตนี้เที่ยงแท้ ชีวิตมีแต่จะอำนวยให้เกิดความสุข และเขาสามารถจะครอบครองความสุขนั้นต่อไปได้นานๆ

องค์ทะไลลามะทรงชี้ว่า การหลอกตัวเองเช่นนั้นมีแต่สร้างปัญหาและความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้คนจำนวนมาก 
แต่ถ้าเรายอมรับว่าความชราและความตายนั้นเป็นความจริงของชีวิต ก็อาจช่วยให้เราได้คิด ใช้เวลาที่มีอยู่เพียงน้อยนิดบนโลกใบนี้หยุดทำความชั่ว 
ทำความดีให้คนอื่นจะดีกว่า


ทัศนะเรื่องความเที่ยงมีแต่จะทำลายเรา
แท้ที่จริงแล้ว ความโชคดีไม่ใช่เรื่องคงทนถาวร จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเกินควร

ผมมักจะได้ยินผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยมาเล่าให้ฟังว่า ตนเองเป็นคนแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่เคยต้องหาหมอ แต่อยู่มาวันหนึ่งเกิดอาการปวดท้องขึ้นมากะทันหัน พอเข้าโรงพยาบาลถูกส่งเข้าห้องผ่าตัดทันที แล้วก็พบว่าเป็นมะเร็งระยะท้าย 
นี่ไม่ใช่เกิดขึ้นรายสองรายแต่เป็นเรื่องที่พบบ่อยมาก

เพื่อนแพทย์ชาวเยอรมันผู้หนึ่งที่มาร่วมรักษามะเร็งด้วยแพทย์ทางเลือกเล่าให้ผมฟังโดยอ้างอิงงานวิจัยว่า ที่เยอรมนีมีงานวิจัยชิ้นดังที่พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งกว่าร้อยละ 90 เมื่อซักประวัติย้อนหลังไปปรากฏว่า คนเหล่านี้ไม่ได้ป่วยเป็นไข้เลยตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา แล้วพอเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมาปุบปับ พอไปตรวจเข้าก็พบว่าเป็นมะเร็งเสียแล้ว 
งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเกิดไข้ว่า อันว่าไข้นั้น มีประโยชน์ยิ่งในการกระตุ้นภูมิต้านทานในตัวของเรา ถ้าไม่ไข้เลยเป็นเวลานานๆ ถือว่าภูมิต้านทานไม่ถูกกระตุ้นเลย หรือแปลว่าภูมิต้านทานของคนนั้นแย่มานานแล้ว จนไม่ปรากฏไข้
ดังนั้น มะเร็งที่ซุ่มตัวอยู่ก็ไม่มีภูมิต้านทานไปขจัดมัน พอมันปรากฏตัวขึ้นมาอีกทีก็อยู่ในสภาพที่รุนแรงแล้ว

แต่งานวิจัยชิ้นนี้ในเชิงศาสนาก็อาจให้มุมมองว่า ใครที่ยึดถือว่าสุขภาพร่างกายของตนนั้นเที่ยง พอเอาเข้าจริง ธรรมะก็จะสอนความจริงให้
และเมื่อคนแข็งแรงคนนั้นพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเสียแล้ว ก็จะหวั่นไหวครั้งใหญ่ เสียอกเสียใจ รับไม่ได้ พลอยพาให้ทรุดหนักเข้าไปอีกเท่าตัว
นั่นก็เพราะเรามัวปล่อยตัวปล่อยใจ หลงระเริงในความเที่ยงนั่นเอง สุดท้ายความยึดมั่นนั้นแหละจะหวนกลับมาทำลายเรา



การไม่รู้จักใคร่ครวญความตาย 
ทำให้เราหลงว่าสุข 
กว่าจะรู้ตัวก็หมดเวลาปฏิบัติธรรม

ถ้าคนเราไม่ถูกสะกิดใจในเรื่องที่ว่าตัวเองอาจจะเสียชีวิตในไม่ช้า เราก็จะตกอยู่ใต้อำนาจของความหลงว่าเที่ยง แน่นอนละเรื่องที่รู้ว่าเราทุกคนต้องตายใครจะไม่รู้ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วเราก็มักจะลืมมันไป ดุจเดียวกับที่คนเราต้องหายใจ แต่เวลาส่วนใหญ่เราก็มักจะลืมว่าเรากำลังหายใจอยู่ เพราะความที่มัวหลงเพลินกับเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่า 
บางคนคิดว่า "ยังไม่ถึงเวลาที่ฉันจะตาย เอาไว้ใกล้เวลานั้นแล้วค่อยปฏิบัติจิตก็ได้" หมายความว่า "รอให้ฉันแก่กว่านี้ รอให้ฉันป่วยกว่านี้ รอให้ฉันใกล้ตายกว่านี้"  
การที่เรามัวแต่คิดอย่างนี้แท้จริงก็เป็นการผัดผ่อนเพื่อหาความสุขชั่วคราวที่มีอยู่เฉพาะหน้าไปเรื่อยๆ ครั้นพอถึงเวลาเข้าจริงๆ ตอนนั้นเราอาจไม่มีกำลังวังชาพอที่จะปฏิบัติธรรมก็ได้

คุณแม่ของหมอลลิตามาอยู่กับลูกๆ คือผมและหมอลลิตาที่บ้านกรุงเทพฯ กว่า 30 ปี ที่บ้านเรากินข้าวกล้อง กินน้ำพริกผัก จึงนับว่าคุณแม่ค่อนข้างจะแข็งแรง ท่านขับรถไปรับหลานจากโรงเรียนได้จนอายุท่าน 72 ปีจึงเลิกขับ ไม่เจ็บป่วยอะไรมากมาย นอกจากต้องระวังหน่อยเพราะท่านมีโรคลิ้นหัวใจรูมาติกมาตั้งแต่สมัยเด็ก 
ต่อมาในปีเดียวกันนั้นเราก็ให้ท่านผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจสองลิ้นซึ่งปรากฏว่าการกินข้าวกล้อง น้ำพริกผัก โดยไม่ได้ต้องกินอาหารเสริมอะไรทั้งนั้น ท่านสามารถผ่านการผ่าตัดหัวใจได้สบายมาก แถมฟื้นตัวเร็ว 
สุขภาพของคุณแม่เมื่อเทียบกับพี่น้องนับว่าดีเลิศกว่ากันหลายเท่า

พี่สาวของคุณแม่ยังคงอยู่ที่เชียงใหม่ตั้งแต่เกิดจนแก่เฒ่า แม้ท่านจะกินอยู่อย่างคนเมืองเหนือ แต่ท่านก็ไม่ได้กินข้าวกล้อง และด้วยความที่ไม่มีลูกหลาน แต่ละวันท่านก็อยู่เฉยๆ ไม่ต้องใช้สมองสอนการบ้านให้หลาน หรือขับรถให้ใช้ประสาทอัตโนมัติอย่างคล่องแคล่วว่องไวเหมือนกับคุณแม่ เหตุฉะนี้พี่สาวคุณแม่จึงกลายเป็นอัลไซเมอร์ถึงขั้นแต่งตัวเองไม่ได้ ขับถ่ายเลอะเทอะ เป็นอยู่อย่างนั้นเกือบสิบปี ทุกครั้งที่ไปเชียงใหม่ คุณแม่ไปเยี่ยมพี่สาวแล้วก็กลับมาเล่าถึงความน่าอเนจอนาถใจให้เราฟัง

ส่วนน้องชายของคุณแม่แม้จะอยู่กรุงเทพฯ แต่ท่านก็กินอยู่อย่างคนกรุงเทพฯ ทั่วไป คือกินข้าวขาว และกินอยู่อย่างจีนปนไทย คือกับข้าวทำสุกๆ ไม่ได้เน้นน้ำพริกผัก พอเลยวัยกลางท่านก็ป่วยด้วยเบาหวาน แถมขาดวิตามินบีทำให้ลิ้นเลี่ยน กินอาหารรสจัดไม่ได้ รสอาหารชืดชาไปหมด 

ถ้าเปรียบเทียบแล้ว เราก็หลงใหลได้ปลื้มว่าคุณแม่ของเรานี่แข็งแรงกว่าพี่น้องตั้งเยอะ น่าจะมีอายุยืนยาวกว่าพี่ๆ น้องๆ เป็นไหนๆ 
แต่แล้ว ณ วันหนึ่งคุณแม่ก็เกิดอาการลมปัจจุบันต่อหน้าต่อตาผม เราจัดการส่งโรงพยาบาลและพบว่าภาวะลิ้นหัวใจที่ผ่าตัดมาสิบกว่าปีแล้ว แม้ลิ้นหัวใจจะดีแต่ต้องปรับยาละลายลิ่มเลือดให้สม่ำเสมอ ในจังหวะที่ปรับยาไม่ได้ดี ทำให้เกิดลิ่มเลือดหลุดเข้าไปอุดตันเส้นเลือดสมอง 
ท่านนอนโคม่าอยู่หนึ่งสัปดาห์ การแพทย์ยื้อชีวิตเริ่มจะทำงาน ซึ่งน่าจะเป็นการทรมานท่านเกินไป ผมได้แต่กระซิบข้างหูท่านว่า "ให้นึกถึงพระ" และให้ใครๆ สวดมนต์ให้โดยเลือกบทสวดให้จากไปสงบๆ แล้วให้ลูกหลานทุกคนมาบอกลาท่าน 
เรื่องจึงจบลงด้วยการจากไปที่ดี


เรื่องจริงเรื่องนี้สอนสัจธรรมชีวิตว่า ความตายจะเกิดกับใครก็ได้ การกินอยู่อย่างถูกต้องช่วยให้สุขภาพดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ความตายจะเลือกเอาคนสุขภาพเสียให้ตายก่อนคนสุขภาพดีเสมอไป สิ่งตรงกันข้ามเกิดขึ้นได้เสมอกับชีวิต มัจจุราชขี้อิจฉาเสมอจึงอาจพรากเราไปจากความสุขและสุขภาพดีเมื่อไหร่ก็ได้ และถ้าเรามัวแต่หลงกับสุขภาพดี โดยบอกตัวเองว่ายังไม่ถึงเวลาปฏิบัติธรรม บางทีมัจจุราชก็ไม่รอเราแบบนั้น 
มัจจุราชยังชอบทรมานคนด้วย จึงมักปล่อยให้คนที่สุขภาพแย่ๆ กลับให้อายุยืนกว่า จะได้ทรมานกับความเจ็บป่วยไปนานๆ
ดูอย่างพี่สาวของคุณแม่ ท่านก็ยังต้องกินนอนอยู่อย่างเปลี่ยวดาย ขาดคนเอาใจใส่ ขี้เยี่ยวเลอะเทอะอย่างนั้น นานต่อจากการตายของคุณแม่อีกเป็นเวลาหลายปีดีดัก

ส่วนน้องชายคุณแม่ท่านเป็นคนอารมณ์ดี แม้สุขภาพไม่ดีนักแต่มีงานอดิเรกทำ ที่ชอบที่สุดคือเล่นปริศนาอักษรไขว้ของมติชนสุดสัปดาห์ ทำให้ท่านมีใจจดจ่อกับวางตลาดของมติชนสุดฯ ในทุกวันศุกร์ และเป็นปลื้มนิดๆ เสมอเมื่อชื่อของท่านได้รับประกาศว่าตอบได้ถูกต้อง

มีคนยกสุภาษิตกะเหรี่ยงขึ้นมาบอกผมว่า "โลกนี้เป็นที่ร้องไห้" ฟังดูเข้าทีดี ใช้ดี จอบอพอ... จึงบอกเพื่อน




++++

ใคร่ครวญความตาย ได้ประโยชน์
โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล dr.banchob_j@hotmail.com Facebook : หมอบรรจบ (แพทย์ทางเลือก)
คอลัมน์ ธรรมชาติบำบัด ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1656 หน้า 93


คนที่มีความสุขดี มั่งมีเงินทอง ลูกหลานล้อมหน้าล้อมหลัง ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ควรจะใคร่ครวญความตายหรือไม่?

คำตอบนั้นอยู่เบื้องลึกในจิตใจของคนทุกคนอยู่แล้ว เราต่างก็ทราบดีว่าสภาวการณ์ที่เอ่ยมาข้างต้นนั้นแท้ที่จริงเป็นของไม่เที่ยง เป็นภาพลวงตา เป็นอารมณ์ลวงใจ เพราะมีบ่อยๆ ไปที่วันดีคืนดีภาวการณ์แห่งความสุขของคนนั้นๆ ก็มีอันปลาสนาการไปสิ้นเพียงชั่วข้ามคืนเดียวมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ 
เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเป็นเจ้าของรีสอร์ตหรูอยู่ที่เกาะพีพี กิจการทำมาค้าขึ้น ชาวต่างประเทศพากันเข้าเน็ตเพื่อจองที่พัก ณ รีสอร์ตหรูของเขา ผมเองยังเคยจัดทัวร์สุขภาพไปลงที่เกาะพีพีโดยใช้โรงแรมของเพื่อนแห่งนี้หลายครั้ง 
แล้วจู่ๆ วันดีคืนดีก็เกิดสึนามิ สมบัติพัสถานของเขาทั้งหมดที่เกาะมีอันสูญสลายไปชั่วข้ามคืนเดียว ลูกน้องของเขาหลายคนเสียชีวิตไปอย่างน่าอเนจอนาถ ยังโชคดีที่เพื่อนผมทั้งสามีภรรยามีอันเข้ากรุงเทพฯ ในคืนก่อนเกิดสึนามิ จึงรอดตายมาได้

เพื่อนสนิทของหมอลลิตาอีกคู่หนึ่ง สามีเป็นวิศวกร มีโรงงานเครื่องก่อสร้างที่ทำมาค้าขึ้น ภรรยาเป็นอาจารย์แพทย์ที่กำลังรุ่งโรจน์ ทั้งคู่มีลูกชายน่ารัก เรียนเก่ง เข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งแล้วไปงานรับน้องใหม่ที่ต่างจังหวัด รถเกิดพลิกคว่ำ แล้วลูกชายคนเดียวของทั้งคู่ก็ตายคาที่

มีตัวอย่างอีกเยอะแยะที่ผู้อ่านทุกท่านต่างก็เคยประสบพบเห็นอยู่บ่อยๆ เพียงวูบแรกที่เราได้ยินข่าวร้ายแบบนี้ เราอาจอุทานขึ้นมาว่า "โอ้ อนิจจัง อนิจจา" 
และแล้วถ้าเรื่องนั้นอยู่ห่างจากตัวเรา เพียงในไม่กี่วันเราก็ละเลยธรรมะที่ธรรมชาติพยายามสอนเราครั้งแล้วครั้งเล่าให้ผ่านพ้นใจเราไป



คติในพุทธศาสนาถือว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่ด้วยเหตุบังเอิญ แต่มีเหตุปัจจัยที่โน้มนำไปสู่เรื่องราวนั้นๆ บางคนเรียกว่ากฎแห่งกรรม คนเราย่อมเคยทำความดีและความชั่วมาแล้วทั้งนั้น ผลของกรรมดีเรียกว่า กุศลวิบาก ก็จะส่งผลแก่เรา ให้เรามีความสุข สุขภาพดี มั่งมีเงินทอง มีชื่อเสียงเกียรติยศ มีบุญบารมีพร้อมพรั่ง 
แต่ถ้าเราประมาท ไม่หมั่นประกอบความดีไว้ สุดท้ายกุศลกรรมที่ทำไว้ก็อาจมีไม่พอ เมื่อนั้นแหละผลแห่งกรรมชั่วที่ทำไว้ เรียกว่า อกุศลวิบาก ก็ตามมาทัน มีผลทำให้เราเสื่อมสุข เสียสุขภาพ สูญเสียเงินทอง เสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศ หมดบุญหมดวาสนา 
ด้วยเหตุนี้ การดำรงตนอยู่ในความประมาทยามเมื่อบุญมาวาสนาส่งก็มีแต่จะทำให้คนผู้นั้นลืมตัว หลงว่าสุข หลงว่าเที่ยง และหลงใหลอยู่ในความสุขนั้นอย่างลืมตัวลืมตน มารู้สึกตัวอีกที บางทีก็ไม่เพียงเสื่อมสุข เสียทรัพย์สิน แต่บางทีพญามัจจุราชมันเอาเราให้ตายเลยก็มี โดยที่ยังไม่มีโอกาสใคร่ครวญความตาย
ถึงตอนนั้นจะร้องว่า...เสียดาย ก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว


ทางที่ดีสำหรับแต่ละคน จึงสมควรที่จะได้รู้จักใคร่ครวญความตาย รู้จักเจริญสติ ระลึกรู้ในอนิจจัง ซึ่งจะก่อผลดีแก่ผู้กระทำหลายอย่าง ลองพิจารณาเหตุผลต่อไปนี้ คือ :

ถ้าเราไม่รอจนวาระสุดท้ายจึงจะรู้ตัวว่าเราต้องตาย แต่มีสติระลึกรู้ว่าเราจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไหร่ก็ได้ ก็จะทำให้เราไม่หมกมุ่นอยู่กับความสุขสบายชั่วคราวที่ฉาบฉวย ไม่ละเลยถึงสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในระยะยาว นั่นคือให้เราได้พิจารณาถึงสิ่งที่มีค่าสำหรับการเกิดมามีชีวิตในฐานะที่เป็นคน 
ถ้าเราระลึกอยู่เรื่อยๆ ว่าชีวิตนี้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เราก็จะใช้ชีวิตให้เกิดคุณค่า กระทำในสิ่งที่มีความหมายต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อสังคมแวดล้อม และต่อโลกใบนี้ที่เราได้มาอาศัยอยู่ 
ถ้าเรามีสำนึกแรงกล้าที่ว่าความตายเป็นเรื่องใกล้ตัว จะทำให้เรารู้สึกถึงความจำเป็นของการปฏิบัติธรรม ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น โดยไม่มัวเมาสูญเปล่ากับเรื่องฟุ้งซ่านจนเกินไป เช่น การกิน การดื่ม เสื้อผ้าหรูหรา ชีวิตราคาแพง ซุบซิบนินทาเพื่อการเอนจอยปาก กระทั่งทะเลาะเบาะแว้ง ต่อสู้แย่งชิง ฯลฯ

แน่นอนว่าคนเราต้องการหนีทุกข์และแสวงสุข วิธีหนีทุกข์มีแตกต่างกัน ระดับพื้นผิวเช่นเบี่ยงเบนไปจากเรื่องทุกข์ ดูหนัง ร้องเพลง หรือไปท่องเที่ยวแต่นั่นเป็นเรื่องชั่วคราว เราจะยิ่งตระหนักในความผิวเผินของการหนีทุกข์แบบนี้เมื่อเผชิญกับมรสุมชีวิตหนักๆ เช่น ถูกใครโกง ธุรกิจประสบความล้มเหลว เจ็บป่วยอย่างหนัก สูญเสียคนในครอบครัว ครอบครัวแตกแยก 
ถึงตอนนั้นการดูหนังฟังเพลงหรือท่องเที่ยวก็ไม่อาจช่วยเราไปจากกองทุกข์ได้


พระพุทธศาสนาสอนว่า สิ่งต่างๆ ล้วนเป็นความทุกข์ การจะหนีทุกข์ควรขจัดในระดับลึก อย่างน้อยที่สุดเพื่อลดทอนความทุกข์ของชีวิตในชาตินี้และชาติหน้าต่อๆ ไป อาจถึงขั้นขจัดทุกข์ทั้งหมดเพื่อตนเอง และเพื่อสรรพสัตว์อื่นด้วย นั่นคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมก็มีหลายวิธี วิธีหนึ่งที่พึงใช้คือการใคร่ครวญความตายอยู่เป็นเนืองนิตย์ มันเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนทัศนคติ แล้วก้าวไปถึงขั้นตระหนักรู้
พุทธศาสนานิกายเถรวาทใช้วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อบรรลุสู่การรู้เห็นสรรพสิ่งตามความเป็นจริง แล้วเกิดการละวางสังขาร เรียกว่ามุ่งหมายเพื่อนิพพานให้เห็นกันในชาตินี้

แต่พุทธศาสนาวัชรยานไม่เรียกร้องสูงอย่างนั้นสำหรับบุคคลทั่วไป โดยถือว่าคนเราที่จะมีโอกาสเกิดมาเป็นคนสักชาติหนึ่งนั้นยากนักยากหนา ความไม่แน่นอนมีอยู่เสมอ ปุบปับเราอาจจะตาย แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าหลังจากนั้นเราจะเกิดมาเป็นคนอีก ด้วยเหตุฉะนี้ จึงต้องเตรียมตัวตายทุกขณะจิต

วิธีการก็คือหมั่นทำจิตใจให้เป็นกุศลอยู่เสมอ จะเรียกว่าทุกลมหายใจเข้าออกก็ยิ่งดี จิตที่เป็นกุศลอย่างง่ายที่สามารถส่งเสริมให้ศาสนิกชนทุกคนทำได้ก็คือ การสวดมนต์ และสวดมนต์สั้นๆ ที่ช่วยให้จิตระลึกถึงพระพุทธคุณอยู่ตลอดเวลาคือประโยคสั้นๆ ที่ว่า โอม มณี ปัทเม หุม โดยสวดพึมพำอยู่ในลำคอให้ก้องกังวานไปสู่จักระทั้งเจ็ดอยู่เสมอๆ

อีกวิธีการเสริมคือการหมุนกลองมนต์ ซึ่งในนั้นบรรจุมนตราบทดังกล่าวไว้ เมื่อหมุนหนึ่งครั้งการสั่นสะเทือนของกลองขนาดเล็กในมือ หรือการสั่นสะเทือนของกลองมนต์ขนาดยักษ์ในวัดก็ช่วยให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนที่ดีที่อำนวยแก่จิตของตนหรือจิตของผู้คนในวัดให้โน้มนำไปสู่จิตอันเป็นกุศล

ดินแดนพุทธฝ่ายวัชรยานไม่ว่าจะเป็นทิเบตหรือภูฏานยังสร้างบรรยากาศเพื่อสภาวะจิตอันเป็นกุศลด้วยการประดับริ้วของธงสีต่างๆ ซึ่งบนผืนธงเขียนไว้ด้วยมนตราและรูปพระที่เคารพบูชา 
ธงสีเหล่านี้จะถูกติดตั้งไว้ทั่วทุกหนทุกแห่งที่มีภูมิทัศน์ดี และที่ๆ มีลมเยอะๆ เช่น ตรงราวสะพาน เมื่อลมพัดมาทำให้ธงสีโบกโบยปลิวสะพัดไปกับสายลม แต่ละครั้งก็สร้างคลื่นสั่นสะเทือนแห่งกุศลธรรมไปทั่วทั้งบ้านทั้งเมือง 
ภูฏานซึ่งเป็นประเทศหนึ่งที่นับถือในพระพุทธศาสนาวัชรยานจึงกล้ากล่าวว่า ประเทศของตนมีมาตรฐานความสุขที่สูงส่งกว่าประเทศใดๆ ในโลก นั่นน่าจะเป็นจริงในระดับหนึ่ง เพราะใครที่เคยไปประเทศนี้มาอาจได้ภาพประทับใจว่า ผู้คนของเขาตั้งแต่วัยชราย้อนมาถึงคนวัยทำงาน ต่างก็พึมพำบทสวดมนต์โอมมณีปัทเมหุมอยู่ตลอดเวลา 
แม้กระทั่งไกด์ท้องถิ่นที่นำทัวร์ก็มักจะได้ยินเขาพึมพำด้วยบทสวดบทนี้เวลาที่ปากว่าง



ด้วยการสร้างคลื่นสั่นสะเทือนอันเอื้อแก่จิตที่เป็นกุศล วัชรยานถือว่าการเกิดมาเป็นคนที่ยากนักหนานั้น ถ้าได้ใช้ชีวิตของความเป็นคนด้วยจิตที่เป็นกุศลอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าชาตินี้อาจไม่ถึงกับบรรลุซึ่งสุญญตา แต่อย่างน้อยที่สุดชาตินี้เกิดมาก็ เท่าทุน หรือไต่ระดับทางจิตให้สูงขึ้น ชาติหน้าจะได้อย่างน้อยที่สุดได้เกิดเป็นคน หรือในภพภูมิที่สูงกว่า

ขณะเดียวกัน ใช้ชีวิตในชาติปัจจุบันเป็นประโยชน์กับตัวเอง และเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยการเจริญเมตตาธรรมแบบพระโพธิสัตว์ ถ้าทำอย่างนี้ไปบ่อยๆ ชาติแล้วชาติเล่า ก็น่าจะถึงสักวันหนึ่งก็คงจะถึงซึ่งโอกาสที่จะนิพพานไปในที่สุด

แล้วก็มาถึงการใคร่ครวญความตายของวัชรยาน อันเป็นศาสตร์ที่แยบยล อดใจไว้ในฉบับต่อไป

รักษาชีวิตต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์ อย่าเพิ่งตายก่อนที่คุณจะได้อ่านศาสตร์แห่งความตายเพื่อความสุขสงบและชีวิตที่ดีกว่า



______________________________________

ผู้ต้องการอ่าน บทต่อไป( ..เกี่ยวกับศาสตร์แห่งความตายของวัชรยาน..) โปรดหาอ่านใน มติชนสุดสัปดาห์ฉบับต่อไป  



.