http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-05-05

ทราย: “บ่าว” กับ “นาย”/ ศิลา: สัญญาณร้อน

.

“บ่าว” กับ “นาย”
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1655 หน้า 80


ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่ฉันมาบ่นอะไรแบบนี้
ร้อน
ร้อนมาก
ร้อนที่สุด

คือฉันรู้ดีว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อน และฉันก็ทำงานผจญความร้อนมาแบบนักต่อนัก
วันที่ร้อนที่สุดในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ฉันก็พาตัวไปอยู่กลางไร่มาแล้ว 
วันที่ร้อนรุ่มน้อยลงมานิด ฉันก็ไปวิ่งร่าเริงอยู่เมืองกาญจน์ ซึ่งถือว่าเป็นจังหวัดที่ร้อนที่สุดจังหวัดหนึ่งในประเทศไทย
ฉันเลยไม่ค่อยบ่นว่ามันร้อนให้ใครได้ยิน

แต่นี่มันอะไรกัน 
มันร้อน ร้อน ร้อน เกินห้ามปากไม่ให้บ่นไหว
ร้อนจนอยากอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับตัวไปทำอะไร 
อยากจะนอนให้หลังหักหรือจมหายลงไปในเตียง


บางคนเวลาร้อนๆ ก็จะพาตัวเองออกไปหาอะไรเย็นๆ กิน 
ไม่งั้นก็ไปเที่ยวทะเล
ฉันนั้นไม่มีทั้งปัญญา เวลา 
หรือความสามารถและความมานะเพียงพอจะทำอะไรทั้งหมดตามที่กล่าวมานั้น
ฉันเลยเลือกทำเหมือนเดิมที่ทำมาตลอดไม่ว่าจะฝน จะหนาว หรือจะร้อนนรกเยี่ยงนี้ 
คือหาหนังสืออ่าน


ในเมื่อไปทะเลไม่ได้ ก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับทะเลเสียเลย 
เลือกหนังสือที่คิดว่าจะอ่านได้แบบเรื่อยๆ เปื่อยๆ ไม่สร้างอารมณ์บีบคั้น 
ประมาณอ่านๆ ถ้าง่วงก็หลับไป ไม่ต้องรู้สึกผิด 

ฉันนั้นแพ้ทางหนังสือที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเมืองจีนหรือชาวจีนอยู่แล้ว 
เพราะมีปัญหากับการจำชื่อตัวละคร เมือง รวมไปถึงชื่อเฉพาะและลีลาต่างๆ ในการเขียน 
เลยเลือกหยิบเล่มนี้ขึ้นมา มีทั้งทะเล ชาวจีน ครบตามโจทย์ที่ตั้งไว้พอดี 
แต่ไอ้ที่กะเก็งไว้ทั้งหมดกลับไม่เป็นไปตามฝัน
มันสนุกกว่าที่ฉันคิด!



"เจิ้งเหอ มหาขันทีแห่งท้องทะเล" เป็นหนังสือขนาดสองเล่มจบที่ผสมสานเอาข้อเท็จจริง เกร็ดประวัติศาสตร์ ชีวประวัติ จินตนาการ และทฤษฎีความน่าจะเป็นเข้าด้วยกัน 
ใครที่คุ้น เคยกับช่อง History Channel เช่นฉันหรือสนใจความเคลื่อนไหวของประวัติศาสตร์ (ซึ่งเป็นสิ่งที่หลาย คนมักเข้าใจผิดว่ามันถูกแช่แข็งแน่นิ่งไม่มีวันเปลี่ยนแปลงนั่นล่ะ) คงจะพอ คุ้นๆ กับทฤษฎีที่ว่าชาวจีนเป็นผู้เดินทางไปถึงทวีปต่างๆ ได้ก่อนชาวยุโรป
และผู้นำในการเดินทางนั้นก็คือเจิ้งเหอผู้นี้นั่นเอง

นี่เป็นส่วนของทฤษฎี 
ส่วนของจินตนาการและเกร็ดต่างๆ นั้นก็สะท้อนภาพของเจิ้งเหอและผู้เกี่ยวข้องได้น่าสนใจ 
การเป็นขันทีนั้นเป็นดังตำแหน่งที่เรียกได้ว่าอาจจะทั้งสูงสุดและต่ำสุดได้ในเวลาเดียวกัน 
สูงสุด-หากนายได้เป็นผู้มีตำแหน่งสูงหรือเป็นจักรพรรดิ ขันทีคนสนิทก็จะเป็นเหมือนเลขานุการที่ล่วงรู้แทบจะทุกก้าวเดินและทุกความในใจ

ต่ำ สุด-หากนายตกต่ำหรือถูกปลดจากตำแหน่ง ขันทีก็ไม่ต่างจากเศษเดนของสิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่าที่สุด ไร้ศักดิ์ศรี ไม่ได้รับการนับถือ ไม่มีลูกไม่มีครอบครัวเอาไว้ให้กลับไปหา

ขันทีหลายคนตลอดช่วงระยะประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเป็นพันเป็นหมื่นปีเดินไปตามทางเส้นนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเจิ้งเหอ 
วิธีเดียวที่เขาจะแตกต่างออกไปจากผู้อื่นคือความเข้าใจทั้งตัวเองและผู้เป็นนาย 
เข้าใจว่าโลกมีกำหนดชะตากรรมให้คนเท่าๆ กับที่คนสามารถกำหนดได้ด้วยตัวเอง 
เข้าใจว่าทิศทางของลมและอำนาจนั้นเปลี่ยนแปลงได้ไวพอพอกัน 

หนังสือเล่าถึงวิธีการรับมือกับการเป็นคนรับใช้ การมองนายอย่างเข้าใจ และการรับมือต่อโลกและชะตากรรม 
สิ่งที่ฉันว่าแปลกนั้นคือเจิ้งเหอในเล่มนี้ออกจะเห็นใจผู้เป็นนาย 
ไม่ได้เห็นใจอย่างในละครที่มีคนรับใช้หรือแม่นมมาพร่ำว่า "โถ พ่อคุณ พ่อทูนหัวของบ่าว" พลางร้องไห้กระซิกๆ 
แต่เห็นใจในแบบที่ฉันไม่แน่ใจว่าถ้านายรู้นายจะทนได้ไหม 

เขาเห็นใจนายว่านายก็เป็นแค่หุ่นเชิดตัวหนึ่ง ซึ่งถูกชะตากรรมโบยตีไม่ต่างจากเขาเช่นกัน 
ซึ่งฉันว่ามันทำให้เรื่องน่าสนใจ


เจิ้งเหอเดินทาง เติบโต ตกต่ำไปพร้อมๆ กับผู้เป็นนาย 
วิธีคิดแบบกตัญญูสูงสุดนั้นมีให้เห็นได้ตลอดเรื่อง แต่มันก็ถูกตั้งคำถามโดยอีกตัวละครหนึ่งในเวลาเดียวกัน 
ว่าควรหรือที่เราจะเอาชีวิตของเราไปไว้ในกำมือใครเพียงเพราะเขาเป็นนาย 
เขาผู้ซึ่งทำให้ชีวิตเราเป็นได้แค่บ่าว จะรักอย่างไรก็รักแบบนายกับบ่าว ไม่ใช่การนับถืออย่างเสมอกันระหว่างคนต่อคน


หนังสือสองเล่มฉันอ่านจบในชั่วไม่นาน
แล้วเลยกลายเป็นร้อนรุ่มสุมทรวงกว่าเดิม 
มันจะมีอะไรเสียอีก
ถ้าไม่ใช่อยากหาหนังสือเล่มอื่นๆ เกี่ยวกับเจิ้งเหอมาอ่านต่อ

เฮ้อ



++

สัญญาณร้อน 
โดย ศิลา โคมฉาย คอลัมน์ แตกกอ-ต่อยอด
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1655 หน้า 67


ดูเหมือนธรรมชาติยังคงมีความปรานีกับเราเสมอ 
ยามนี้ส่งอากาศร้อนระอุแทบทะลุจุดเดือด จัดจ้านขั้นเหล็กรางรถไฟขยายตัว จนขบวนรถน้ำมันตกรางกลางเมือง มาให้ได้รู้สึกรู้สากัน
ส่งผ่านเพื่อกระตุ้นเตือนให้เร่งหลบเข้าร่ม เลือกวางตัวสงบนิ่ง เคลื่อนไหวเอนไปทางความคิด ครุ่นพินิจ ตรึกตรอง 
หากเป็นกาลก่อน อากาศร้อนเร่าช่วงดวงอาทิตย์ตั้งฉากตรงหัว บอกกล่าวกับชาวเราว่า ฉลองสงกรานต์กันแล้ว ขึ้นศกใหม่แล้ว ถึงเวลาต้องจัดวางแผนชีวิตขวบปีต่อไป 
ตระเตรียมเพื่อการงานในเรือกสวนไร่นา

เขตภูมิศาสตร์แถบนี้แดดเดือนห้า ร้อนร้ายแรงกล้าเกินกว่าจะฝ่ากรำ ออกไปทำงานหนักกลางแจ้ง อาจถูกแผดเผาเกรียมกร้านจนเมาแดด
เป็นลมเป็นแล้ง เป็นหวัดเป็นไอ 
อยู่กับบ้านเคลื่อนไหวเนิบช้า ตรวจตราเครื่องไม้เครื่องมือประกอบสัมมาชีพ ไถ จอบ เสียม มีด พร้า อันไหนชำรุดผุพัง หอบไปหาร่มไม้ลมพัดโกรก ลงมือซ่อมแซมจัดสร้างให้พร้อมใช้งาน จัดเตรียมเมล็ดพันธุ์ 
ฝนเดือนหกตกมาจะได้ลงมือไถหว่าน

การเตรียมดินเป็นหัวใจสำคัญ เมื่อฝนลงได้เวลาไถดะ ไถแปร คราด หมักบ่มดินทิ้งไว้ร่วมสองเดือนให้ซากพืชซากสัตว์ย่อยสลาย
กลางวันร้อน ผู้ใหญ่จะค่อยเดินเลี่ยงแดดไปหาผู้รู้ คำนวณหาช่วงวันจม วันลอย ที่ความยาวของช่วงมีแดดระหว่างวันต่างกัน นาลุ่มซึ่งต้องตกกล้าในแปลงเล็กๆ ต้นกล้าจะเติบโตได้ดีเมื่อมีแดดมาก จึงต้องเลือกหว่านเมล็ดเชื้อพันธุ์ในช่วงวันลอย 
ในกาลเก่าแก่นั้น ผู้คนยังต้องร่วมกันวางแผนการลงนา ของแต่ละเรือนในกลุ่มบ้าน เพื่อช่วยเหลือเอื้อกันระดมแรงงาน 
ร่วมลงแขกเป็นกิจกรรมชุมชน

สำหรับกาลปัจจุบัน ในวันเวลาที่ผู้คนไม่น้อยยังขยาด และหวาดสะทกกับมหาอุทกภัย ซึ่งทำร้ายเอาถึงสิ้นเนื้อประดาตัว อากาศระอุอ้าวบอกกล่าวว่า น้ำคือชีวิต เป็นสิ่งจำเป็น มิใช่ศัตรูร้ายอันพึงเข็ดขาม 
เราคือชาวที่ราบลุ่มมีมากถึง 25 ลุ่มน้ำ ชีวิตสัมพันธ์กับน้ำ กับการขึ้นลงของน้ำ ตั้งโบราณนานมา และต้องอยู่กับมันตลอดไป 
เมืองที่อุณหภูมิขึ้นสูงจนผู้คนอาจช็อกได้ คนต้องหมั่นจิบดื่มน้ำ อาบน้ำ หรือใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัวลดอุณหภูมิ 
เคลื่อนไหวช้าๆ เพื่อลดการใช้พลังงาน กินอาหารขับเหงื่อเพื่อให้ลมเป่ารด เลือกหนังสือเล่มที่เสพแล้วใจจมลึก นิ่งสงบในธารอักษรเย็นชื่น ไปหาร่มเงามีลมโบยพัดนอนอ่านเล่น

และฤดูร้อนรุนแรงนี้ ยังกระตุ้นเตือนมิให้หลงลืม หรือปล่อยปละชะล่าใจว่า ถัดแต่นี้ไปไม่นานนัก 
จะถึงเวลาของหน้าฝน
ฤดูน้ำหลากทะลักหลั่ง อาจตั้งเค้าซุ่มรออยู่ไม่ไกลนักแล้ว



ในยามอากาศร้อนสาหัสเช่นนี้ยังมีสัญญาณให้รู้ว่า มหาภัยทางธรรมชาติที่อาจก่อความวิบัติร้ายแรงขั้นโลกาวินาศ ยังคงดำรงอยู่ สามารถปริแตกระเบิดพลังทำลายล้างได้ทุกขณะ 
เป็นสัญญาณเตือนผ่านแผ่นดินไหวใหญ่น้อย หลายสิบครั้งในช่วงไม่กี่วัน 
กระตุ้นเบาะๆ ต่อเนื่อง ลองทดสอบแผนการเตือนภัย การเคลื่อนย้ายอพยพ จุดนัดหมาย การกู้ภัย... 
กระตุ้นถี่ๆ เพื่อการตื่นตัวเตรียมพร้อม รับคลื่นยักษ์สึนามิ รับสภาพชีวิตในเขตภัยภัยพิบัติจากแผ่นดินไหว อย่างจัดเก็บข้าวของพ้นจากการพลัดตก โค่นทับ จัดชุดเครื่องใช้จำเป็นฉุกเฉินของผู้ประสบภัยไว้ใกล้มือ เสาะหาและทำความเข้าใจกับคู่มือ การปฏิบัติตัวให้ปลอดภัยขณะเกิดแผ่นดินไหว

รู้เพื่อเกิดสติและมีปัญญาดูแลตัวเองในเบื้องต้น
กระตุ้นเพื่อให้ผู้มีหน้าที่เร่งศึกษาติดตาม รอยเลื่อนทั้ง 13 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันตกและทางเหนือของประเทศ แถบพื้นที่เขื่อน ให้ข้อมูลใหม่ตามความจำเป็นต่อประชาชนสม่ำเสมอ 
สัญญาณยามร้อนยังให้สติกับผู้คนไม่น้อย ที่รับสารและหมกมุ่นอยู่กับการทำนาย หรือนิรมิตเห็นภาพหายนะครั้งยิ่งใหญ่ ความวินาศล่มสลายของอาณาจักรในช่วงร้อนนี้ แพร่กระจายข่าวสารไปในเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง 
ยังเป็นแค่การทำนายทายทัก 
หรือเป็นแค่ภาพนิรมิตให้เห็นได้จริง แต่สิ่งที่เห็นไม่จริง 
ข่าวเล่าลือก็คือข่าวลือ


สัญญาณกระตุ้นเตือนอย่างปรานีของธรรมชาติ นอกจากจะบอกตรงๆ ว่าโลกร้อน ที่เกิดจากแรงทำลายจากน้ำมือมนุษย์อย่างที่รู้ๆ กัน ก่อให้เกิดผลสัมผัสได้ ด้วยผิวหนังแสบร้อนและหัวใจไหม้เกรียมของเราเอง ยังมีเมตตาช่วยแสร้งจี้จุดอ่อนข้อบกพร่องของระบบการเตือนภัย และรับมือภัยพิบัติอยู่ไม่น้อย 
กระตุ้นเบาะๆ บอกให้รู้เท่า เพื่อเร่งปรับแก้ป้องกันโศกนาฏกรรมอันไม่ควรเป็น 
แผ่นดินไหวตลอดช่วงสงกรานต์ที่ภูเก็ต ยืนยันว่า ระบบการเตือนภัย ซึ่งแสดงภาพการตระเตรียมการ การดำเนินการอย่างขึงขังจริงจัง ลองแล้ว ทดสอบอีก เอาเข้าจริงไม่มีประสิทธิภาพอะไรนัก 
ระบบโทรคมนาคมในพื้นที่ล่มสลาย ประชาชนในหลายแหล่งถูกตัดขาด เผชิญกับสภาวะโลกลืม

ผู้คนยังต้องเผชิญความเสี่ยงอย่างเช่นเคย 



.