http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-05-18

2 ปีแห่ง 98 ศพ, ลึกแต่ไม่ลับ18 พ.ค.55


.
รายงานพิเศษ - เมฆคระครึ้มที่ทัพฟ้า "ประจิน-บุญยฤทธิ์-ทรงธรรม" ชิง ผบ.ทอ. วัดใจ "น้องเฟื่อง-พี่โอ๋" กับ "มารผจญ" ของ "บิ๊กตู่"  
คอลัมน์ โล่เงิน - นับถอยหลัง "เพรียวพันธ์" ล้างอาถรรพ์เก้าอี้ ผบ.ตร.!? เปิดตัว 3 แคนดิเดต "พิทักษ์ 1" 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

จาก www.asiaupdate.tv/program/column-update/954.html
19 5 55 ข่าวค่ำDNN คอลัมน์อัพเดท ฆ่า 98 ศพก่อนจะมีการเผา
www.youtube.com/watch?v=FkM6l3S3ZD4



2 ปีแห่ง 98 ศพ
โดย วงค์ ตาวัน  คอลัมน์ ชกคาดเชือก
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1657 หน้า 98


เย็นวันที่ 15 พฤษภาคม 2555 ผู้คนจำนวนหนึ่งไปรวมตัวกันที่บริเวณทางเท้าซอยรางน้ำ บริเวณเดียวกับที่เคยเห็นกันในภาพข่าวสะเทือนใจของเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 
ภาพที่มีเด็กหนุ่มตัวใหญ่ ใส่เสื้อยืดสีฟ้า กางเกงยีนส์ขาสั้น นอนอยู่บนฟุตปาธ มีเลือดแดงฉาน ไหลจากบริเวณส่วนศีรษะเป็นทางยาวทอดไปตามพื้นทางเท้า 
เป็นงานรำลึกถึง สมาพันธ์ ศรีเทพ หรือ เฌอ เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ซึ่งถูกยิงด้วยสไนเปอร์ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 
ทั้งอายุอานาม ทั้งเสื้อผ้าการแต่งตัว ไม่มีทางที่จะมองได้ว่า เด็กคนนี้จะเป็นผู้ก่อการร้ายในความหมายของ ศอฉ. อย่างแน่นอน

แต่เฌอก็เป็นหนึ่งในอีกหลายสิบชีวิต ที่ถูกยิงด้วยทีมแม่นปืนของผู้ที่ฝึกฝนมาสำหรับการรบในสงคราม แต่กลับเอามาใช้จัดการกับการชุมนุมประท้วงของประชาชน 

ด้วยข้ออ้างที่รัฐบาลยุคนั้นใช้เสมอๆ คือ เพราะมีผู้ก่อการร้ายในม็อบเสื้อแดง มีการเผาบ้านเผาเมือง 
ทั้งที่ความจริง มีประชาชนที่ร่วมชุมนุมในนามเสื้อแดง ตายตั้งแต่คืนวันที่ 10 เมษายน 2553 ต่อเนื่องไปกว่าเดือนจนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 
ตายกันไปเกือบร้อยศพแล้ว จึงจะเกิดการเผาในบ่ายวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 
เฌอถูกยิงเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553

ปีนี้พ่อและแม่ของเฌอรวมทั้งคนที่รู้จักมักคุ้น มาร่วมกันรำลึกวันจากไปครบ 2 ปี 
มีพิธีไขหมุดฝังเฌอ โดยนำแผ่นโลหะที่มีรูปวาดน้องเฌอ พร้อมข้อความ"เฌอถูกทหารยิงเสียชีวิตที่นี่" ตอกลงบนทางเท้าจุดที่ถูกยิงล้มลง 
เด็กหนุ่มนักกิจกรรมสังคม ที่เข้าร่วมกิจกรรมของภาคประชาชนในแทบทุกงาน 
แน่นอนว่าในการชุมนุมทางการเมืองไม่ว่าจะเสื้อสีไหน เฌอก็ไปร่วมหมด ไปเรียนรู้จากความจริง


คนที่รู้จักมักคุ้นพากันเสียดาย ที่ชีวิตของเด็กหนุ่มผู้ทำประโยชน์ให้สังคมมาตลอด จะต้องมาจบชีวิตอย่างรวดเร็วเกินไป ไม่เช่นนั้นเขาคงทำอะไรให้ส่วนรวมได้มากกว่านี้ 
น่าจะมากกว่านักการเมืองที่อวดอ้างว่าเป็นนักประชาธิปไตย แต่ไม่ยอมฟังเสียงเรียกร้องของประชาชน เพราะไม่อยากออกจากอำนาจ เสียด้วยซ้ำ 
เฌอก็เช่นเดียวกับผู้เสียชีวิตอีกเกือบร้อยศพ ในช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2553 ถูกยิงด้วยสไนเปอร์ ด้วยอาวุธสงคราม ทั้งที่มือเปล่า หรืออย่างมากก็มีหนังสติ๊ก บั้งไฟ ระเบิดขวดน้ำมัน 
ไม่มีศพไหนเลยที่มีอาวุธสงครามเป็นผู้ก่อการร้าย 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเฌอ เป็นแค่เด็กวัย 17 ปีและสองมือนั้นว่างเปล่า!



นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงในวัดปทุมวนาราม เดินทางมาร่วมงานรำลึกน้องเฌอด้วย โดยร่วมกล่าวไว้อาลัยว่า ความรู้สึกไม่ต่างจากพ่อและแม่ของน้องเฌอ เพราะเราเสียลูกในเหตุการณ์เดียวกัน
คนเป็นพ่อแม่ลืมไม่ได้ ก่อนจะหลับตานอนทุกวันก็ยังคิดถึงลูก 
น้องเกด ถูกยิงตายในเย็นค่ำวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 หลังจาก ศอฉ. ส่งเจ้าหน้าที่ยึดพื้นที่ได้หมดสิ้นแล้ว แกนนำเสื้อแดงเข้าคุกหมดแล้ว การชุมนุมสลายไปหมดแล้ว 
เหลือเพียงผู้คน 2-3 พันคน ที่หวาดผวา หนีเข้าไปหลบภายในวัดปทุมฯ เพราะเป็นเขตอภัยทาน 
น้องเกิดและพยาบาลอาสา พากันไปดูแลประชาชนที่ขวัญผวาเหล่านั้น
โดยแต่งชุดมีเครื่องหมายกาชาดชัดเจน!

แต่ก็ถูกยิงด้วยกระสุนที่ปลิวว่อนลงมาจากบริเวณรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ จนมีคนตายไปอีก 6 ศพ และบางศพมีหัวกระสุนสีเขียวติดอยู่ในร่าง
หัวกระสุนสีเขียวเป็นชนิดเดียวกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ยืนอยู่บนรางรถไฟฟ้าใช้ในวันนั้น!
เจ้าหน้าที่ชุดนั้นให้การกับพนักงานสอบสวนดีเอสไออย่างเป็นทางการ ยอมรับว่ายิงลงไปในวัดจริง แต่อ้างว่ายิงต่อสู้กับการ์ดเสื้อแดง และเพื่อคุ้มกันหน่วยทหารในพื้นราบ 
การตรวจพิสูจน์แนวกระสุน ที่ยิงจากบนรางรถไฟฟ้าลงพื้นล่างในวัด ด้วยพนักงานสอบสวนก็ตรงชัดเจนว่ายิงลงไปแน่นอน 
แต่ไม่มีรอยกระสุนที่ยิงจากข้างล่างขึ้นไปข้างบนแม้แต่นัดเดียว ไม่มีปลอกกระสุนแม้แต่ปลอกเดียวตกภายในวัด


ทั้งหมดนี้นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนั้น ไม่เคยพูดถึง ไม่เคยยอมรับ ยังอ้างทุกวันนี้ว่าชายชุดดำยิง และมีการเผาบ้านเผาเมือง 
เอาเรื่องที่เกิดหลังสุดของเหตุการณ์ มากลบเรื่องที่เกิดตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน เรื่อยไปจนถึงบ่ายวันที่ 19 พฤษภาคม
ได้หรือ!??
วิกฤตเผาบ้านเผาเมือง จึงเป็นแค่ถ้อยคำที่เสกสรรขึ้นมา ซึ่งไม่อาจกลบเกลื่อนความตายของคน 98 ชีวิตจากคำสั่งของ ศอฉ. ได้อย่างแน่นอน



งานรำลึก 2 ปี 19 พฤษภาคม จัดขึ้นท่ามกลางการทวงถามความยุติธรรมให้กับ 98 ศพ ซึ่งบัดนี้คืบหน้าไปพอสมควร เนื่องจากพนักงานสอบสวนตำรวจนครบาล สามารถสรุปสำนวนได้ราว 20 คดี 20 ศพแล้ว
มีพยานหลักฐานชัดเจนว่า 20 ศพนี้ ตายเพราะการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างแน่นอน 
ส่งขึ้นไต่สวนในชั้นศาลได้แล้ว 
ขั้นตอนถัดไป หากศาลชี้ว่าเป็นไปตามที่พนักงานสอบสวนสรุปไว้ว่าเป็นกาคกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐจริง ก็จะนำไปสู่การสอบสวนประเด็นผู้สั่งการผิดพลาด จนมีประชาชนเสียชีวิต 
ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติการในครั้งนั้นได้ให้การชัดเจนแล้วว่า ทั้งหมดปฏิบัติไปตามคำสั่งของ ศอฉ.

เจ้าหน้าที่เหล่านี้ ไม่ได้เข้ามาปฏิบัติการในกรุงเทพฯ โดยใช้อาวุธจริงตามคำสั่งของกองทัพแต่อย่างใด เพราะกองทัพไม่มีอำนาจสั่งทหารให้เข้ามาถือปืนในเมืองได้ 
เป็นคำสั่งของ ศอฉ. เป็นอำนาจของ ศอฉ. 
ดังนั้น ขั้นตอนการสืบสาวหาตัวคนสั่งการ ต้องมุ่งไปที่ผู้มีอำนาจใน ศอฉ. เท่านั้น

ขั้นตอนศาลไทยยังดำเนินต่อไป 
ขณะที่คดีนี้ได้มีการยื่นฟ้องร้องต่อศาลโลกเอาไว้แล้วด้วย โดยมีช่องทางสำคัญที่จะนำคดีนี้เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลกได้ 
ในเรื่องบุคคล 2 สัญชาติ 
หากย้อนมองเหตุการณ์ที่ผ่านมา 2 ปี เราจะพบพัฒนาการของสถานการณ์อันเป็นคุณูปการจากผู้เสียสละชีวิตทั้ง 98 ราย

ประการหนึ่ง ไม่ว่าจะดื้อด้านจนต้องตายกันมากมายเช่นไร สุดท้ายก็ต้องยอมยุบสภาตามข้อเรียกร้องในปี 2553 และผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น เป็นการพิพากษาจากประชาชนส่วนใหญ่ ให้เปลี่ยนแปลงพรรคบริหารประเทศ 
เพื่อมาลบล้างระบบ 2 มาตรฐานและเพื่อสะสางความจริงของเหตุการณ์นองเลือด 2553

ประการต่อมา เมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหารประเทศ จำเป็นต้องเดินไปตามข้อจำกัดของสังคมไทย ต้องเดินหน้าสามัคคีกับทุกฝ่าย เพื่อประคับประคองสถานการณ์โดยรวม 
ไปจนถึงต้องผลักดันการปรองดองให้เกิดขึ้น 
จนเกิดคำถามจากเสื้อแดงและญาติมิตรของผู้สูญเสีย 98 ศพว่า การปรองดองนั้นจะนำมาสู่การนิรโทษกรรมคนสั่งการปราบปรามจนตายหมู่หรือ!?

แต่เสียงที่หนักแน่นของบรรดาผู้คนที่ทวงถามความเป็นธรรมให้กับ 98 ศพ ดูจะยังหนักแน่น 
จนยากที่จะมีใครมาลบล้างการทวงหนี้เลือดหนี้ชีวิตนี้ได้ 
ถ้านับจากเหตุการณ์ฆ่าหมู่ประชาชน เมื่อ 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519 และ 17 พฤษภาคม 2535 แล้ว

เหตุการณ์ปี 2553 รุนแรงที่สุด ตายมากที่สุด และทวงถามความเป็นธรรมยืดเยื้อยาวนานที่สุด 
ได้แต่หวังว่า นี่อาจจะเป็นคดีตัวอย่างสำคัญให้เหล่าผู้มีอำนาจเผด็จการเข็ดหลาบอย่างแท้จริงก็ได้! 



++

คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ  โดย จรัญ พงษ์จีน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1657 หน้า 8


การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ.... วาระ 2 รูดม่านลงแล้ว เมื่อวันอังคารที่ 15 พฤษภาคม หลังสมาชิก "รัฐสภา" อภิปรายมาราธอนกันนานหลายวัน โดยเฉพาะฝ่ายค้านหรือพรรคประชาธิปัตย์ ผนึกกับ กลุ่ม 40 ส.ว. ดึงจังหวะ โชว์ลีลาได้เต็มอิ่ม
สุดท้าย แม้จะยื้อได้เนิ่นนานเท่าไหร่ วาระ 2 ก็ผ่านฉลุย โดยกำหนดจะลงมติกันในวาระที่ 3 ในวันที่ 5 มิถุนายน จากมติของวิป 3 ฝ่ายคือ รัฐบาล-ฝ่ายค้าน-วุฒิสมาชิก และเชื่อขนมกินล่วงหน้าได้ว่า วาระ 3 ก็ไม่น่าจะมีอุปสรรคอะไร ทุกอย่างดำเนินสืบไปตามสูตร "พวกมากลากไป"
สรุปแล้ว กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เป็นไปตามที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นำเสนอทุกกรณี ก้าวต่อไปคือการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมาทำหน้าที่ปรับปรุงแก้ไข ในสัดส่วน ส.ส.ร.สายเลือกตั้งจำนวน 77 คน จาก 77 จังหวัดฝ่ายค้านหรือประชาธิปัตย์ ไม่ค่อยวิตกกังวลอะไรเท่าไหร่

จุดที่อึ้งกิมกี่ คือ ส.ส.ร.สรรหา สายวิชาการจำนวน 22 คน เกรงว่าจะมีการบล็อกโหวต ล็อกสเป๊ก จิ้มเลือกพวกเดียวกันมาทำหน้าที่ แต่สถานการณ์ล่วงเลยมาถึงจุดนี้แล้ว ไม่สามารถที่จะใช้กลไกอะไรสกัดไม่ให้กระบวนการเลือกตั้ง-สรรหา ส.ส.ร. 99 คน มาทำหน้าที่ยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ได้อีกต่อไปแล้ว

ปัญหาของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" และพรรคเพื่อไทย ทะลุมติไปได้เปลาะหนึ่งว่าด้วย การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ในสัปดาห์หน้า จะเผชิญหน้ากับเกมใหญ่อีกกระดานหนึ่ง คือ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2556 จำนวน 2,400,000,000,000 บาท ถูกบรรจุนำเข้าสู่การอภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างวันที่ 21-23 พฤษภาคมแล้ว 
"ประชาธิปัตย์" ลับดาบ รอเชือดอีกคิว มีข่าวว่า วิป 2 ฝ่ายกำหนดโควต้า และระยะเวลากันเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายละ 13 ชั่วโมง วางมือกระบี่ไว้ชำแหละงบฯ 40 คน
มีการแบ่งภารกิจกันเรียบร้อยแล้ว 3 ส่วนด้วยกัน คือ 1.การเมือง 2.สังคม 3.เศรษฐกิจ กำหนดตัวบุคคลรับผิดชอบกันหลายด่าน โดยปราการสุดท้าย เป็น 3 หนุ่ม 3 มุม ประกอบด้วย "กรณ์ จาติกวนิช-อภิรักษ์ โกษะโยธิน" และ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" และกำลังอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่า ผู้อภิปรายเปิด-ปิด ชำแหละงบฯ 2556 ของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" จะเป็นใคร...คิวเปิด ต้องเป็น "อภิสิทธิ์" คิวปิด อาจจะใช้บริการ "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" ประธานวิปอีกครั้ง
ขณะที่พรรคเพื่อไทยเอง ย่อมรู้แจ้งแทงทะลุดีว่า ศึกในสภา ไม่ว่า เกมเล็ก เกมใหญ่ มักตกเป็นรองประชาธิปัตย์ตลอดกาล ศึกชำแหละงบประมาณรายจ่าย 2556 "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ในฐานะนายกรัฐมนตรี ในฐานะเจ้าภาพ ต้องนำร่องแถลงนโยบายและชี้แจงเองก่อน
แต่เนื่องจากเจ้าตัวไม่ถนัด บทบาทนี้ จึงวางภารกิจในการรับมือ ตลอด 3 วัน ให้เป็นหน้าที่ของ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รับผิดชอบ การเมือง-สังคม 
ส่วนภาคเศรษฐกิจ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นตัวยืน
จริงอยู่ แม้ว่า "เดอะโต้ง" ดูเหมือนจะเป็นมือใหม่หัดขับ เพิ่งเข้ามาประดับวงการ แต่ 9 เดือนที่ผ่านมา ชั้นเชิง ลีลา สามารถรับมือกระบี่แถวหน้าประชาธิปัตย์ได้สบาย หายห่วง



หลังก้าวข้ามการแก้ไขรัฐธรรมนูญ-พ.ร.บ.งบประมาณ 2556 เรียบร้อย พรรคเพื่อไทยเข้าสู่โหมดปรับคณะรัฐมนตรี "ปู 3" ซึ่งตามโผดังที่ทราบกันล่วงหน้าว่า "นายใหญ่ดูไบ" หวั่นไหวว่า "น้องสาวยิ่งลักษณ์" จะถูกโซ้ยร่วงก่อนวันเวลาอันควร จึงจำเป็นต้องส่ง "ประชากรบ้านเลขที่ 111" มาเสริมเขี้ยวเล็บ พร้อมกับพ่วงแกนนำ "คนเสื้อแดง" เข้าไปเพื่อลดช่องว่างอีกหนึ่งที่นั่ง โดยวางตัวให้ "ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์" ไปนั่งเก้าอี้ มท.3 หรือ 4 
มีการปล่อยรายชื่อ "บ้านเลขที่ 111" ที่จะเข้าร่วมในรัฐบาล "ปู 3" ออกมาบ้างแล้ว 3-4 ราย อาทิ "พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล-จาตุรนต์ ฉายแสง-พงศ์เทพ เทพกาญจนา-สุรนันทน์ เวชชาชีวะ-วราเทพ รัตนากร" 
"ชาวตองหนึ่ง" จะพ้นโทษแบนในวันที่ 31 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ เหลือวันเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์แล้วเท่านั้น 
ส่งผลให้ถนนทุกสาย ไม่ว่าผู้ที่อยู่ในข่ายถูกปรับออก หรือบุคคลได้รับการขานชื่อว่าจะเข้ามาใหม่ พากันวิ่งไปหา "นายใหญ่+นายหญิง" ซิกแซ็ก หาภูมิคุ้มกันกันจ้าละหวั่นพัลเก
จึงเกิดข่าวลือว่า ทะลุมาเป็นตุเป็นตะว่า ปรับ ครม. "ปู 3" ไม่เพียงแต่ทำให้ "พรรคเพื่อไทย" กระเพื่อมภายในหนักเท่านั้น แต่จุดกระแสให้ "ตระกูลชินวัตร" เกิดรอยร้าวเป็นหย่อมๆ หลายจุด ระหว่าง "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" ระหว่าง "ยิ่งลักษณ์-เยาวภา" และระหว่าง "เจ๊แดง-บ้านจันทร์ส่องหล้า" นัวเนียเป็นงูกินหาง

เช็กข่าวคลุกวงในแล้ว ศึก "ตระกูลชิน" เป็นไปได้ยาก "ทักษิณ" รักและเอ็นดูน้องๆ ทุกคน น้องๆ เองก็เคารพและรักพี่ทุกคน โทร.คุยกันทั้งเรื่องงาน-ส่วนตัวกันวันละหลายรอบ 
เดิมทีเดียวคนในตระกูล "ชินวัตร" ทุกคนเป็นห่วงมากที่สุด คือ "โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร" ช่วงที่พ่อเป็นนายกฯ เครือข่ายเรืองอำนาจ ทำตัวเป็นคุณชายลมพัดลมเพ 
แต่สถานการณ์บีบบังคับ ช่วงตกระกำลำบาก "โอ๊ค" ซุ่มพัฒนาตัวเอง ยกเพดานความคิด ความอ่าน มีความมั่นใจตัวเองสูงขึ้น 
"เลิกกลัวคน" พร้อมที่จะตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามได้ทุกเรื่อง ทุกเม็ด โดยเฉพาะสู้กันทางเฟซบุ๊ก ไม่เป็นสองรองใคร



+++

เมฆหมอกคระครึ้มที่ทัพฟ้า "ประจิน-บุญยฤทธิ์-ทรงธรรม" ชิง ผบ.ทอ. วัดใจ "น้องเฟื่อง-พี่โอ๋" กับ "มารผจญ" ของ "บิ๊กตู่"
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1657 หน้า 14


แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 3 เดือนที่ฤดูกาลแห่งการแต่งตั้งโยกย้ายทหารใหญ่จะเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม-กันยายน แต่กองทัพก็อุ่นเครื่องพร้อมรับศึกชิงเก้าอี้ใหญ่ๆ กันแล้ว 
เพราะทั้ง บิ๊กเปี๊ยก พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม และ บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ที่จะเกษียณราชการ ไม่นับเก้าอี้บิ๊กๆ ในระดับห้าเสือของแต่ละเหล่าทัพอีกเพียบ 
ที่มีข่าวว่า บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. จะอาศัยบรรยากาศปรองดองกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เสนอชื่อบิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง ผบ.ทบ. เพื่อนรัก ตท.12 มาชิงเก้าอี้ เพื่อขัดตาทัพ ก่อนบิ๊กกี๋ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกลาโหม น้องเลิฟบิ๊กจิ๋ว ที่มีอายุราชการถึงปี 2558 จะขึ้นนั่ง โดยมีบิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม ที่เกษียณปี 2559 จะต่อคิว หรือว่าจะข้ามห้วยกลับ บก.กองทัพไทย ไปจ่อเป็น ผบ.สส. คนต่อไป 
อย่างน้อยก็เพื่อสานฝันให้ พล.อ.ดาว์พงษ์ ที่เกษียณ 2556 ได้มีโอกาสเป็นเบอร์ 1 กับเขาบ้าง ดีกว่าอยู่ ทบ. ปิดทางคนอื่น 
แต่ก็ไม่ง่ายที่คนเสื้อแดงจะทำใจได้ เพราะเขาถูกมองว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังยุทธการปราบเสื้อแดงเลยทีเดียว 
ท่ามกลางกระแสข่าว ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียม "นายทหารแตงโม" มาเตรียมจ่อนั่งปลัดกลาโหม เอาไว้แล้ว


ที่ทัพเรือเอง บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ก็ต้องเตรียมดันคนที่จะเป็น ผบ.ทร. ต่อจากเขาในตุลาคม 2556 ซึ่งธรรมเนียมทหารเรือแตกต่าง เพราะแคนดิเดตส่วนใหญ่จะยังเป็นเพื่อน ตท.13 ของเขาหลายคน ที่อายุยังเหลือกันอีก 1-2 ปี ทั้ง บิ๊กต้อม พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง ผช.ผบ.ทร. ที่จบโรงเรียนนายเรือเยอรมนี ว่าจะแหกกฎขึ้นเป็น ผบ.ทร. ได้หรือไม่ เพราะจะส่งผลต่อบิ๊กยุ้ย พล.ร.ท.ณรงค์พล ณ บางช้าง รอง เสธ.ทร. น้องชาย ตท.15 ที่จบเยอรมนี ด้วยเช่นกัน 
เพราะใน ตท.13 ยังมีคนเก่งทั้ง บิ๊กเข้ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศรัย บิ๊กหนุ่ย พล.ร.อ.พลวัฒน์ สิโรดม ที่ปรึกษาพิเศษ ทร. และ พล.ร.ท.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผบ.รร.นายเรือ 
แต่หากจะส่งไม้ต่อให้รุ่นอื่น ก็ต้องดันจาก รอง เสธ. และ ผช.เสธ. ขึ้นมาในการโยกย้ายใหญ่นี้แล้ว


แต่ที่ดูจะมีเค้าลางแห่งเมฆหมอกคระครึ้มให้เห็น ก็ที่กองทัพอากาศ ทุ่งดอนเมืองที่ใครๆ ก็ว่าอาถรรพณ์ เพราะแม้ พล.อ.อ.อิทธพร จะวางตัว บิ๊กจิน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผช.ผบ.ทอ. น้องรัก ตท.13 ไว้เป็น ผบ.ทอ. คนใหม่แล้วก็ตาม เพราะ พล.อ.อ.ประจิน ขยับตามไลน์มาตั้งแต่เป็น รอง เสธ.ทอ. เสธ.ทอ. และ ผช.ผบ.ทอ. รับผิดชอบงานสำคัญๆ มาตลอด 
แต่ด้วยเพราะในเวลานี้มี บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต เสธ.ทอ. อดีต ผช.ผบ.ทอ. และอดีต ว่าที่ ผบ.ทอ. เป็น รมว.กลาโหม จึงทำให้ไม่มีใครเดาใจเขาได้ถูกว่า จะมีหมัดเด็ด หรือไม้ตายใดๆ ในเวลาที่ต้องตัดสินใจมาถึง 
แม้ว่า พล.อ.อ.สุกำพล จะทำตาม "ธงปรองดอง" ของเพื่อนแม้ว ไม่ได้มาล้างบางกองทัพ แถมมาสร้างสัมพันธ์ ญาติดี เอาใจทหาร แต่อย่าลืมว่า พล.อ.อ.สุกำพล มี "แผลในใจ" ฉกรรจ์ ตรงที่เขาถูก บิ๊กต๋อย พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก ผบ.ทอ. ในเวลานั้นปฏิวัติ และเด้งเขาเข้ากรุ ดับฝันการเป็น ผบ.ทอ. แม้ว่าวันนี้ พล.อ.อ.ชลิต จะเป็นองคมนตรีไปแล้ว แต่ พล.อ.อ.สุกำพล ไม่เคยลืมความเจ็บปวดครั้งนั้น 
ที่สำคัญ ทั้ง พล.อ.อ.อิทธพร และ พล.อ.อ.ประจิน ถูกมองว่าเป็นทายาทอำนาจของ คมช. ของ พล.อ.อ.ชลิต จึงเป็นการท้าทาย พล.อ.อ.สุกำพล อย่างมาก ว่าจะล้วงลูกมาแตะการตั้ง ผบ.ทอ. คนใหม่ หรือไม่



ในขณะที่ในกองทัพอากาศ มีทั้งคนที่ภาวนาให้ พล.อ.อ.สุกำพล ถูกเด้งพ้นเก้าอี้ รมว.กลาโหม ในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งหน้านี้ไปเสียก่อน แต่ก็มีคนที่ลุ้นที่จะได้รับความเป็นธรรมจาก พล.อ.อ.สุกำพล ที่เป็นความหวังของการจัดทัพทัพฟ้า บ้านเก่าบ้านเกิดของเขา 
จึงเป็นผลให้ พล.อ.อ.ประจิน ไม่ได้เป็นแคนดิเดตคนเดียวที่จะได้เป็น ผบ.ทอ. แม้จะเป็นเต็งหนึ่ง แต่ก็มีเต็งสอง ที่กำลังถูกจับตามองอย่าง บิ๊กหนู พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ เกิดสุข ที่ถูกเตะจาก ทอ. มาเป็น รอง ผบ.สส. แต่เพราะเขามีอายุราชการถึงปี 2557 เท่ากับ พล.อ.อ.ประจิน 
ที่สำคัญ พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ นั้นเป็น ตท.11 เพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.อ.อิทธพร แต่เนื่องจากเดินมาคนละเส้นทาง คนละสายขั้วอำนาจ จึงทำให้ พล.อ.อ.อิทธพร ต้องเตะเพื่อนคนนี้จาก ผช.ผบ.ทอ. ไปเป็น รอง ผบ.สส. ในการโยกย้ายปีก่อน ดับฝันที่จะเป็น ผบ.ทอ. 
แต่ พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ ก็มีหวังขึ้นมาโดยพลันที่ พล.อ.อ.สุกำพล มาเป็น รมว.กลาโหม เพราะแม้ว่าเขาจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นน้องเลิฟของ พล.อ.อ.สุกำพล แต่ถือว่ามีความเป็นพี่เป็นน้องและหวังในความยุติธรรมของ "พี่โอ๋"
กระนั้นก็ตาม ด้วยความเป็น ตท.11 ก็ทำให้เขาเสียเปรียบ เพราะตอนนี้ พล.อ.อ.อิทธพร ก็เป็น ผบ.ทอ. แล้ว จะส่งไม้ต่อให้ ตท.11 อีกคนก็อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ อีกทั้ง พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ ไม่ได้เป็นนักบินขับไล่ เอฟ 16 อย่าง พล.อ.อ.ประจิน หรืออย่าง บิ๊กเฟื่อง
ด้วยเพราะธรรมเนียมหนึ่งของชาวทัพฟ้า คือ ผบ.ทอ. จะต้องเป็นนักบินเครื่องบินรบ หรือเครื่องบินขับไล่ ไม่ว่าจะรุ่นไหนก็ตาม โดยเฉพาะ เอฟ 5 และ เอฟ 16 แต่เรื่องนี้ พล.อ.อ.สุกำพล ที่พลาดเก้าอี้ ผบ.ทอ. รู้ซึ้งถึงหัวอกนี้ดี เพราะเขาเอง แม้จะเป็นนักบินขับไล่รุ่นแรก A37 Dragon Fly ก็ตาม แต่ก็บินเครื่องประเภท Fixed Wing มาเกือบตลอด

แต่ที่สำคัญที่สุด ธรรมเนียมของ ทอ. เปลี่ยนไปแล้ว เพราะเคยมีอดีต ผบ.ทอ. 2 คนที่ไม่ได้เป็นนักบินขับไล่ แต่เป็นนักบินลำเลียง ที่โตมาจากฝูงบิน 602 กองบิน 6 ดอนเมือง เช่นเดียวกับ พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ เช่น บิ๊กเต้ พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล อดีต ผบ.ทอ. ที่เลื่องชื่อและฟูเฟื่องบารมีที่สุดแห่งทัพฟ้า และ พล.อ.อ.สนั่น ทั่วทิพย์ 
แล้วด้วยเพราะ พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ เป็นนักบินลำเลียงนี่เอง ที่ทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นนักบินประจำตัว ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ป๋าเปรม ยังเป็นผู้นำกองทัพ เป็นนายกรัฐมนตรี จนเป็นองคมนตรี ในเวลาที่ป๋าเปรมยังคงเดินทางไปต่างประเทศด้วยเครื่องบินของ ทอ. อยู่  
จึงไม่แปลกที่เมื่อใดที่เข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ตามคณะ รมว.กลาโหม ไปอวยพรวันเกิด หรือรดน้ำขอพรในวันสงกรานต์ พล.อ.เปรม ก็มักจะเอ่ยปากทักทาย "หนู" เสมอ และมักรำลึกความหลังเมื่อครั้งที่ พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ บินให้  
พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ จึงเป็นคู่แคนดิเดตที่ พล.อ.อ.ประจิน ไม่อาจมองข้าม แม้ว่าเขาจะถูกเด้งออกไปอยู่ บก.กองทัพไทย แล้วก็ตาม แต่เพราะที่ทุ่งดอนเมืองแห่งนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ


ยิ่งเมื่อ พล.อ.อ.ประจิน ถูกมองว่าเป็นทายาทอำนาจ คมช. ในยุคที่เป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยถูก คมช. ปฏิวัติล้มล้าง กลับมามีอำนาจ แถมทั้ง พล.อ.อ.อิทธพร ก็วางตัวนายทหาร ตท.13 เพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.อ.ประจิน รองรับการขึ้นเป็น ผบ.ทอ. ของน้องรักคนนี้ไว้แล้วด้วย 
ตอนนี้ ในระดับห้าเสืออากาศก็มีบิ๊กเพิ่ม พล.อ.อ.เพิ่มเกียรติ ลวณะมาลย์ เสธ.ทอ. และ รอง เสธ.ทอ. ทั้ง 3 คน คือ บิ๊กแป๊ะ พล.อ.ท.อารยะ งามประมวญ พล.อ.ท.ธวัชชัย ถนัดใช้ปืน และ พล.อ.ท.ธงชัย แฉล้มเขตร 
อีกทั้ง พล.อ.อ.ประจิน ก็เป็นนายทหารอากาศที่ได้รับการยอมรับ เพราะรับผิดชอบงานสำคัญๆ มาตลอด แต่ก็อาจถูกโจมตี เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่กองทัพอากาศ ที่ พล.อ.อ.อิทธพร ถูกวิจารณ์หนัก ทั้งใน ทอ. เองจนไปถึงระดับกองทัพ และรัฐบาล เพราะมี พล.อ.อ.ประจิน เป็น เสธ. คู่ใจ แต่ที่สุด บิ๊กเฟื่อง ก็มอบให้ พล.อ.อ.ประจิน เป็นผู้รับผิดชอบการแก้ปัญหาและการฟื้นฟู ทอ. ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นงานใหญ่

ฝ่าย พล.อ.อ.ประจิน ซึ่งพยายามเก็บตัว โลว์โปรไฟล์ ก็ยังเชื่อมั่นในความยุติธรรมและการยึดหลักการของ พล.อ.อ.สุกำพล ในการเลือก ผบ.ทอ. เพราะก็เป็นการเติบโตมาตามไลน์ แล้ว พล.อ.อ.ประจิน ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพี่ๆ ทหารอากาศ ตท.10 เรียกได้ว่า ไม่ว่า ตท.10 กับ พล.อ.อ.ชลิต จะมีปัญหาคาใจกันมา แต่ก็เริ่มอ่อนแรงลง ในยุค พล.อ.อ.อิทธพร และมอง พล.อ.อ.ประจิน เป็นน้องที่ดูแลพี่ๆ ทุกคน 
"ถึงเวลาก็คงต้องเปิดใจพูดคุยกัน ผมเชื่อว่า ไม่มีปัญหาอะไร พี่โอ๋ท่านเข้าใจดี แล้วก็น้องๆ ท่านด้วยกันทั้งนั้น ผมมั่นใจ" บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร เปรยถึงการตั้งแม่ทัพฟ้าคนใหม่ 
แต่ในทัพฟ้า ก็มองว่าแนวทางปรองดอง เป็นสัญญาณที่ดี ที่จะทำให้ พล.อ.อ.สุกำพล ไม่ได้คิดจะแก้แค้น แต่อย่างน้อยก็อาจมีการคืนความเป็นธรรมให้คนที่ถูกเด้งและได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 นั้น

แถมทั้งในการโยกย้ายกลางปี เมษายนที่ผ่านมา พล.อ.อ.สุกำพล ก็ไม่ได้ล้วงลูกหรือพยายามดันใครขึ้นมาจนเป็นที่น่าจับตามอง
แม้แต่บิ๊กดำ พล.อ.อ.ทรงธรรม โชคคณาพิทักษ์ ผบ.ศูนย์ควบคุมและปฏิบัติการทางอากาศ (ผบ.คปอ.) ก็นั่งที่เดิม พล.อ.อ.ทรงธรรม นั้นเป็นแกนนำ ตท.14 ที่เกษียณปี 2556 ที่ก็เป็นน้องรักของบิ๊กโต พล.อ.อ.พิธพร กลิ่นเฟื่อง ประธานที่ปรึกษา ทอ. แกนนำ ตท.10 ที่เคยพยายามเฮือกสุดท้ายที่จะเป็น ผบ.ทอ. แทนบิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ในการโยกย้ายกลางปีที่ผ่านมา โดยอ้างความผิดพลาดที่บิ๊กเฟื่อง ปล่อยให้น้ำท่วม ทอ. จนเสียหายเป็นหมื่นล้านมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ 
แต่ก็ยังไม่อาจตัดชื่อ พล.อ.อ.ทรงธรรม ออกจากการเป็นแคนดิเดต ผบ.ทอ. เพราะอย่างน้อยการที่เขาเป็นน้องรักและเติบโตมาในยุคของบิ๊กบิ๊ก พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา อดีต ผบ.ทอ. ซึ่งใกล้ชิดสนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และบ้านจันทร์ส่องหล้า ก็อาจทำให้ พล.อ.อ.ทรงธรรม อาจยังมีหวัง

แต่แคนดิเดตที่ทำให้ ทอ. หวั่นไหวกันไม่น้อยคือ บิ๊กหนู พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ เสียมากกว่า เพราะชื่อเสียงและบารมีของเขาใน ทอ. ก็ไม่เบา เพราะเขาได้ชื่อว่าเป็นน้องรักของ บิ๊กเต้ พล.อ.อ.เกษตร ที่ยังคงมีพี่น้องที่รักใคร่กันอยู่เต็มทัพฟ้า แถมในจำนวนนี้มีแกนนำ ตท.10 ทหารอากาศ เพื่อนรัก พ.ต.ท.ทักษิณ หลายคนรวมอยู่ด้วย
แต่ก็มีการปลุกกระแสต้าน พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ ที่เกรงกันว่า กลับมา ทอ. แล้วจะมีการแก้แค้น จากที่เคยถูกเตะออกไป และอ้างว่า ตท.11 ควรเป็น ผบ.ทอ. แค่คนเดียว คือ บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร พอแล้ว แม้มีข่าวว่า บิ๊กหนู จะเคยยืนยันแล้วว่า ทุกคนก็ล้วนเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น และเข้าใจเหตุผลที่บิ๊กเฟื่อง เพื่อนของเขาต้องส่งเขาไปเป็น รอง ผบ.สส. แล้วเลือกดันน้องรัก อย่าง พล.อ.อ.ประจิน ขึ้นมา

การโยกย้ายในเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ จึงจะเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของ พล.อ.อ.อิทธพร ที่จะต้องฝ่ากระแสต้าน คมช. ในยุครัฐบาลเพื่อไทย ยุคคนเสื้อแดงเรืองอำนาจ ดัน พล.อ.อ.ประจิน ขึ้นเป็น ผบ.ทอ. คนต่อไปให้ได้
แต่ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ในหมู่ทหารอากาศ เริ่มมีการสะกิดให้ดูชะตาราศี หน้าตาบารมีของ พล.อ.อ.ประจิน และ พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ ให้ดีว่าใครเบ่งบานกว่าใคร ใครหน้าใสกว่าใคร เพราะมีเกจิบางสำนัก ฟันธงกันแล้ว แต่ทว่า ทั้งหมดอยู่ที่ หลวงพ่อโอ๋ กับ หลวงพี่เฟื่อง มากกว่า ว่าจะงัดข้อ หรือว่า วัดใจ พี่น้องกัน



แต่ที่ต้องจับตาไม่แพ้กันคือ การจัดทัพ ทบ. ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องเตรียมวางตัว ผบ.ทบ. คนต่อไป แม้ว่าเขาจะเกษียณ 2557 ก็ตาม ที่คาดกันว่า บิ๊กตู่ จะเล่นเกมแห่งอำนาจ ไม่ให้ใครเด่นกว่าใคร จะวางไว้ทั้ง 3 คน คือ จะดัน บิ๊กนมชง หรือบิ๊กฉัตร พล.ท.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รอง เสธ.ทบ. เพื่อนรักที่ลือกันว่าเป็น "เป๋าตังค์" ของ ตท.12 และเป็น ผอ.ททบ.5 และคุมการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ขึ้นมาเป็น เสธ.ทบ. เพื่อหมายให้คุม กอ.รมน. เป็น เลขาฯ กอ.รมน. ด้วย
แทนที่ตามไลน์ ควรจะให้ บิ๊กโด่ง พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 แกนนำ ตท.14 ที่โตมาในสายคอมแมนด์ เป็น เสธ.ทบ. เพื่อเดินตามไลน์เดียวกับเขา เพื่อจ่อเป็น รอง ผบ.ทบ. และเป็น ผบ.ทบ. เมื่อ บิ๊กตู่ เกษียณ แต่มีข่าวว่า จะให้ พล.ท.อุดมเดช เป็น ผช.ผบ.ทบ. แล้วขยับ บิ๊กบี้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล เสธ.ทบ. แกนนำ ตท.13 เป็น ผช.ผบ.ทบ. ไม่เตะออกนอก ทบ. เพราะยังเกรงใจ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ เพราะตอนนี้เป็น เสธ.ทบ. ที่ทำงานไม่เข้าขากับ ผบ.ทบ. และเล่นบทบาท เลขาฯ กอ.รมน. ไม่เข้าตาบิ๊กตู่ 
ทั้งนี้ อยู่บนความเชื่อมั่นของตัว พล.อ.ประยุทธ์ เองที่ว่า เขาจะได้เป็น ผบ.ทบ. ไปจนเกษียณตุลาคม 2557 แม้ว่าบนเส้นทางสายนี้ อาจจะเต็มไปด้วยขวากหนาม สีแดง ที่คอยทิ่มแทง ตอกย้ำความผิดพลาดในอดีต และตามจะเอาผิด

หรือจะเต็มไปด้วย "มารผจญ" อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ อ้าง ที่มักคอยเตะตัดขาในยามที่เขาทำดี สัมพันธ์กับรัฐบาล กับนายกฯ หญิง กำลังเป็นไปด้วยดี เก้าอี้มั่นคงและเป็นที่รักของประชาชน เช่นที่มีการจงใจดิสเครดิตทหาร ปล่อยภาพทหารเซ็กซ์หมู่ในค่ายทหารว่อนเน็ต ที่รุมกระหน่ำ ทบ. และ ผบ.ทบ. จนเขามั่นใจว่าเป็นปฏิบัติการสีแดง ถึงขั้นจะใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หาทางเอาผิด ก็ตาม
นั่นคือสิ่งที่ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อ.อิทธพร ต้องพร้อมรับมือรับศึก ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้ เพราะจะไม่ได้มีแค่ศึกนอกโดยฝ่ายรัฐบาลและคนเสื้อแดงที่จะมีมาอีกอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ยังมีศึกใน คลื่นใต้น้ำ ที่กำลังก่อตัวอยู่ในทุกเหล่าทัพ พร้อมแย่งชิงอำนาจกันในทุกรูปแบบอีกด้วย
โปรดติดตามตอนต่อไป ด้วยใจระทึกพลัน...



+++

นับถอยหลัง "เพรียวพันธ์" ล้างอาถรรพ์เก้าอี้ ผบ.ตร.!? เปิดตัว 3 แคนดิเดต "พิทักษ์ 1"
คอลัมน์ โล่เงิน ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1657 หน้า 99


การเดินทางเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา ของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และคณะนายตำรวจคนสนิทในห้วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อไปปฏิบัติภารกิจว่าด้วยความร่วมมือด้านการปราบปรามยาเสพติด เป็นการเดินทางไปอย่างสบายใจ แม้จะอยู่ในห้วง 5 เดือนของการ "นับถอยหลัง" ก่อนสละเก้าอี้ "ผบ.ตร." เพราะเกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายนนี้ 
ต่างจากหลายๆ ยุคที่ผ่านมา ห้วงเวลาเช่นนี้ ผบ.ตร. หลายคนไม่อาจห่างเก้าอี้ เพราะต้องผจญเหตุเภทภัยสั่นคลอนเก้าอี้ บางคนถูกปลดกลางอากาศขณะเดินทางกลับจากต่างประเทศด้วยซ้ำ 
แต่การเดินทางออกนอกประเทศของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ หนนี้ ค่อนข้างไร้กังวล ไร้เสียงลือสั่นคลอนเก้าอี้ ผบ.ตร. เพราะปัจจัยทางการเมืองยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ส่อนัยยะสำคัญต่อตำแหน่ง ผบ.ตร. ตราบใดที่ผู้มีอำนาจในรัฐบาลยังเป็น คนใน "ตระกูลชินวัตร" ซึ่งเป็นดองใกล้ชิด "ตระกูลดามาพงศ์"
แม้ห้วงหลายเดือนก่อน มีความพยายามปล่อยข่าวลือ เขย่าเก้าอี้ ผบ.ตร. ทั้งกรณีคนไกลไม่ปลื้ม ขัดใจคนในตำแหน่งใหญ่ ประกอบกับกรณีที่หวิดจะหักหาญ เกี่ยวกับเปลี่ยนตัว "ผู้บัญชาการหน่วยใหญ่" กลางเทอม เพียงเพราะข้อหาวางขุมกำลังโดยไม่ไว้หน้ากัน ข่าวลือปากต่อปากถึงขั้นเสนอชื่อ "พล.ต.อ." คนใหม่มาเสียบแทน 
หากแต่ทุกข่าวลือถูกสยบด้วย คำว่า "เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ"


ด้วยฝีไม้ลายมือการโชว์ภาวะผู้นำของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ที่จับงานถนัดโฟกัสการปราบปรามจับกุมยาเสพติด รวมถึงผลงานปราบปรามอาชญากรรมด้านอื่นๆ ทำให้ "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" อาจล้างอาถรรพ์ตำแหน่ง ผบ.ตร. ครองเก้าอี้ ผบ.ตร. คนที่ 8 จนเกษียณ!!
แม้จะมีเสียงกระเซ้าแกมเอาใจ จาก "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าอยากจะต่ออายุราชการให้ ผบ.ตร. คนนี้เหลือเกินเพราะความสามารถถูกใจ แต่ก็เป็นสิ่งที่ยังเป็นไปไม่ได้  
ดังนั้น "พล.ต.อ." คนใด จะเป็น ผบ.ตร. คนที่ 9 จึงเป็นคำถามยอดฮิตของเหล่าสีกากีในห้วงนี้

พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 กำหนดสเป๊ก ผบ.ตร. เพียงประการเดียวเท่านั้น คือต้องมาจาก ข้าราชการตำรวจยศ "พล.ต.อ." โดยให้สิทธิ นายกรัฐมนตรี คัดเลือกและเสนอชื่อให้คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) เห็นชอบ 
แม้ในอดีต "พล.ต.อ." ที่จะก้าวขึ้นเป็น ผบ.ตร. หรือ อธิบดีกรมตำรวจ (อ.ตร.) คนต่อไป จะต้องมาจาก รอง ผบ.ตร. หรือ รอง อ.ตร. อาวุโสสูงสุดเท่านั้น แม้กฎหมายไม่บังคับ แต่ถือเป็นประเพณีสีกากี ที่ถือปฏิบัติสืบต่อมานาน ซึ่งเป็นผลดีต่อการปกครองบังคับบัญชาเมื่อขึ้นสู่ตำแหน่ง "ผู้นำสูงสุด" 
กระนั้นในยุค 8-9 ปีให้หลัง ชักไม่เป็นไปดังธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติมาเสียแล้ว

เหล่าสีกากีถือแต่กฎหมายเคร่งครัด นั่นคือ ผบ.ตร. ต้องมาจาก "พล.ต.อ." โดยมองผ่านคำว่า "อาวุโสสูงสุด" ตำแหน่ง ผบ.ตร. จึงเป็น "จุดสูงสุด" ที่นำมาสู่การช่วงชิง เคยมีความพยายามจะแต่งตั้ง ผบ.ตร. แบบฉีกประเพณี สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เสนอชื่อ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รอง ผบ.ตร. ในขณะนั้น เป็น ผบ.ตร. แต่ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุด ก็ทวงตำแหน่ง ผบ.ตร. มาได้ 
ต่อมาในยุคหลัง ผบ.ตร. "พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ" เกิดศึกชิงเก้าอี้ ผบ.ตร. ดุเดือด แต่ด้วยบริบททางการเมืองในขณะนั้น ขั้วการเมืองคู่ปรปักษ์ตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ มีอำนาจทำให้ รอง ผบ.ตร.อาวุโสเบอร์ 1 อย่าง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ต้องหลบฉาก 
แต่บทสุดท้ายผู้อาวุโสลำดับรองลงมาและคู่ชิงซึ่งอ่อนอาวุโสกลับไม่มีใครได้รับตำแหน่งใหญ่

ยุคต่อมาเมื่อเก้าอี้ ผบ.ตร. ว่าง มีการตีความกฎหมายใหม่ บรรจงสร้างความชอบธรรมจัดลำดับความอาวุโสฉบับใหม่ ทำให้ได้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี มาเป็น ผบ.ตร. ด้วยเหตุผลความอาวุโส 
กระทั่งเปลี่ยนขั้วการเมือง พล.ต.อ.วิเชียร สละเก้าอี้ไป พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. โดยหยิบยกประเด็นคืนความชอบธรรมเป็นจุดขาย



อีกไม่ถึง 5 เดือน จะหมดยุค พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ แล้ว "พล.ต.อ." คนใดจะขึ้นมารั้งเก้าอี้ผู้นำสีกากี ยังไม่มีกูรูสีกากีสำนักใด ฟันธงได้ 
หากถือตามประเพณีอาวุโส จะส่งผลดีต่อการปกครองบังคับบัญชา พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. ด้านป้องกันปราบปรามอาชญากรรม อาวุโสอันดับ 1 คือ ผู้ที่โดดเด่นที่สุด เป็นมือหนึ่งด้านสอบสวนใน พ.ศ. นี้ มีความชำนาญในการปราบปราม เคยเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) มาก่อน
อีกทั้ง คอนเน็กชั่นการเมืองอยู่ในขั้นย่ำปึ้กไปกันได้ดีกับ "นายใหญ่" หากบริบทการเมืองยังคงสถานะนี้ พล.ต.อ.ปานศิริ ที่จะเกษียณในปี 2556 ก็มีโอกาสสูงที่จะเป็น ผบ.ตร. คนที่ 9 
กระนั้น ใช่ว่าเส้นทางก้าวสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร. ของ "พล.ต.อ.ปานศิริ" จะไร้คู่แข่ง มีเสียงเซ็งแซ่ในแวดวงสีกากี ว่า "บิ๊กจูดี้" หรือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. ที่จะเกษียณอายุราชการในปี 2559 ก็หวังรับไม้ต่อจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เช่นกัน ด้วยซูเปอร์คอนเน็กชั่นกับซูเปอร์บิ๊กในรัฐบาล ที่ก่อนหน้านายตำรวจใหญ่ โชว์ "ความพิเศษ" มาแล้วกับการให้ตำแหน่งแต่งตั้งคนใกล้ชิดของบิ๊กรัฐบาล เป็น นายเวร และผู้ช่วยนายเวรตัวเอง ก่อนวาระแต่งตั้ง 
เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ พล.ต.อ.พงศพัศ ถูกตั้งข้อสังเกตว่า อาจขอคั่วเก้าอี้ ผบ.ตร. ซึ่งหาก พล.ต.อ.พงศพัศ ขึ้นมาในจังหวะนี้ก็ส่อดับฝัน พล.ต.อ.หลายคน ที่เกษียณก่อนปี 2559


อีกคนที่ถูกพูดถึงมากในชั่วโมงนี้ คือ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รอง ผบ.ตร. ที่ควบเก้าอี้ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาฯ ป.ป.ส.) อีกตำแหน่งหนึ่ง ด้วยคุณสมบัติ "ครบเครื่อง" โดดเด่นด้านการบริหาร วางระบบ ผ่านงานบู๊มาทั้งใน บช.น. เคยเป็น ผบช.ภ.3 ผบช.ภ.9 มีชื่อเป็น "แม่ทัพดับไฟใต้" เมื่อได้รับความไว้วางใจให้มาช่วยงาน เลขาฯ ป.ป.ส. ก็ทำผลงานเข้าเป้า อีกทั้งยังเข้ากันได้ดีกับกองทัพ และหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ โดยมี "บิ๊กผิว" พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม 1 เสียงใน ก.ต.ช. หนุนหลัง แม้จะเสียเปรียบ พล.ต.อ.ปานศิริ ในเรื่องความอาวุโส แต่ในแวดวงสีกากีหากเอ่ยชื่อ พล.ต.อ.อดุลย์ ก็ไร้เสียง "ยี้" เช่นกัน
ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้ชื่อของ พล.ต.อ.อดุลย์ เป็นอีกคนโดดเด่นมาก สำหรับตำแหน่ง ผบ.ตร.

แต่ท้ายที่สุด ใครคือ ผบ.ตร. คนที่ 9 ต้องติดตามความเคลื่อนไหวสำนักปทุมวัน ทำเนียบรัฐบาล และจากแดนไกล ชนิดห้ามละสายตา!!



.