http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-05-11

เอาอยู่นะคร้าา!, ลึกแต่ไม่ลับ 11 พ.ค.55

.
รายงานพิเศษ - The Hunger Games "ประชาธิปัตย์" รุกหนัก แพงทั้งแผ่นดิน
รายงานพิเศษ - กลาโหม ฝุ่นตลบ ศึก ตท.10-แตงโม-อำมาตย์ จับสัญญาณปรองดอง กับฝันของ "บิ๊กตู่" และฝันแห่ง "ชินวัตร"
คอลัมน์ โล่เงิน - "ปล้น-ชิงทรัพย์" เมืองกรุงพุ่ง สวนสถิติอาชญากรรมทั่ว ปท. "ปราบ-สืบ" ปรับแผนรับมือ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เอาอยู่นะคร้าา!
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1656 หน้า 9


เรื่องของแพง กำลังเป็นบททดสอบอันแท้จริงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐบาล 
เพราะเกี่ยวเนื่อง เชื่อมโยง กับนโยบายสำคัญของรัฐบาลหลายอย่าง 
โดยเฉพาะการ "เพิ่มเงินในกระเป๋า" ให้กับชาวบ้าน 
ทั้งที่ดำเนินการไปแล้ว และที่กำลังตีปี๊บจะดำเนินการ

ไม่ว่าการขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการเป็น 15,000 บาท
การขึ้นค่าแรง 300 บาท นำร่อง ใน 7 จังหวัด และจะผลักดันทั่วประเทศภายในปี 2556 
โครงการรับจำนำข้าว 
โครงการกองทุนพัฒนาสตรี 
โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างไม่เกิน 5 แสนบาท
แพ็กเกจเยียวยาผู้ประกออบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท มูลค่าหลายหมื่นล้าน
การขยายระยะเวลารถเมล์-รถไฟฟรีออกไปอีก 5 เดือน ถึงวันที่ 30 กันยายน 2555
ฯลฯ

การเพิ่มเงินในกระเป๋า ให้ชาวบ้านนี้ ล้วนอิงแอบกับ นโยบายประชานิยม นั่นคือ เอาใจชาวบ้านกันสุด-สุด
ซึ่งน่าจะก่อผลในเชิงจิตวิทยาเกี่ยวกับ "รายได้เพิ่ม"
แล้วไฉนจึงมาพังพาบให้กับนโยบายประชา "เสื่อม" นิยมของฝ่ายค้าน อย่าง "แพงทั้งแผ่นดิน" ได้?


แน่นอนที่สุด ในแง่ข้อเท็จจริง "ของแพง" เป็นอย่างที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามอธิบาย นั่นก็คือ
1.ผลพวงจากน้ำท่วม
2.เรื่องของฤดูกาลทำให้สินค้าบางอย่างสูงขึ้น โดยเฉพาะพืช ผัก รวมทั้งสินค้าที่มีวงจรปลูกนาน และต้องอาศัยฤดูกาล
3.ความรู้สึกของประชาชนว่ามีเงินในกระเป๋าน้อยลง เพราะตามสถิติช่วงไตรมาสที่ 2 ของทุกปี จะเป็นช่วงที่ประชาชนมีเงินในกระเป๋าน้อยที่สุด เพราะมีรายจ่ายมาก ทั้งจากค่าเทอมและค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว เนื่องจากเดือนเมษายน-พฤษภาคม มีวันหยุดหลายวัน ขณะที่รายได้เท่าเดิม ต่างกับช่วงไตรมาสที่ 1 และเดือนธันวาคม ที่ประชาชนได้รับโบนัสปลายปี ทำให้ไม่รู้สึกว่าสินค้ามีราคาแพง
4.สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน
ขณะที่ นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ก็ได้พยายามอธิบายช่วยว่า ตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ สภาพัฒน์ และธนาคารแห่งประเทศไทย ตัวเลขก็ตรงกันว่าภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับปกติ ถ้าเทียบดัชนีราคาผู้บริโภคของไตรมาสแรกปี 2555 นี้ เมื่อเทียบกับดัชนีราคาผู้บริโภคไตรมาสแรกของปีกลาย 2554 ดัชนีผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเพียง 3.4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง
และถ้าเอาดัชนีราคาผู้บริโภคของไตรมาสแรกปีนี้เทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปีกลาย ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเพียง 0.5 เปอร์เซ็นต์ 
ถ้าอัตราเงินเฟ้ออยู่ระหว่าง 2.0-5.0 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นภาวะปกติ

ด้านราคาอาหารไตรมาสแรกปีนี้ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปีกลาย 7.3 เปอร์เซ็นต์ ส่วนราคาสิ่งของที่ไม่ใช่อาหาร เช่น เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ค่าเดินทาง ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเช่าบ้าน การพักผ่อนหย่อนใจ ไตรมาสแรกปีนี้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยจากไตรมาสแรกปีกลายเพียง 1.0 เปอร์เซ็นต์
ส่วนราคาอาหารเฉลี่ยที่ตลาดสดไตรมาสนี้ เช่น หมู ไข่ ปลา ผัก ผลไม้ เฉลี่ยที่ครัวเรือนบริโภคกลับลดลง 0.5 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับ 3 เดือนสุดท้ายของปีกลาย 
ที่ผู้คนรู้สึกว่าของแพงขึ้นเพราะราคาพลังงาน ค่าเดินทาง ค่าขนส่ง และสินค้าที่ใช้พลังงานมากๆ รวมทั้งพืชน้ำมันหรือที่เอาไปผลิตแทนน้ำมันได้ เช่น น้ำตาล แป้งมัน ข้าวโพด มีราคาแพงขึ้นตามราคาน้ำมัน 
คำอธิบายเหล่านี้ ก็ฟังดูมีเหตุผล 

แต่เป็นเหตุผลที่ต้องยอมรับเช่นกันคือ สินค้ามีราคาแพงขึ้น
และที่สำคัญชาวบ้าน รู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้นด้วย


เรื่อง "ความรู้สึก" นี้กลายประเด็นร้อนขึ้นมาทันที เมื่อมีการตีความในสื่อมวลชนว่า "ยิ่งลักษณ์บอกว่าชาวบ้านคิดไปเองว่าของแพง" 
ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และผสมโรงจากฝ่ายค้านและฝ่ายที่ไม่ชอบ อย่างหนักหน่วงและรุนแรง 
จนกลายเป็น "สงครามน้ำลาย" ระหว่าง ฝ่ายแพงทั้งแผ่นดิน กับ ฝ่ายถูกทั้งแผ่นดิน 
ซึ่งไม่ได้ส่งผลดีต่อการแก้ไขปัญหา "ของแพง" สักเท่าไหร่ 
ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีสื่อรายงานว่าถึงกับน้ำตาคลอเมื่อพยายามอธิบายเรื่อง ว่า "จริงๆ แล้ว ดิฉันบอกว่าเหตุที่รู้สึกว่าสินค้ามีราคาแพงมาจากหลายๆ ปัจจัย ไม่ได้บอกว่าชาวบ้านคิดไปเอง" 
แต่ในนาทีนี้ ดูเหมือนกระแสจะเลยเถิดกลายเป็นท้าทายกันไปมาระหว่างฝ่ายที่บอกว่าของแพง กับอีกฝ่ายที่บอกว่าของไม่แพง 
มี "ความรู้สึก" เข้ามาเจือ จนบางครั้งมากกว่าข้อเท็จจริงเสียอีก



อย่างไรก็ตาม รัฐบาลในฐานะ "ผู้ต้องแก้ไขปัญหา" ก็คงต้องพิจารณาไปมากกว่านั้น

เช่น ที่สำนักวิจัยเอแบคโพลล์เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ประเมินความพอใจของประชาชนต่อคณะรัฐมนตรีในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา ใน 17 จังหวัดคือ กรุงเทพมหานคร ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ชลบุรี พะเยา เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ นครพนม สกลนคร สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น นครราชสีมา ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช จำนวนทั้งสิ้น 2,259 ตัวอย่าง 
ปรากฏว่า 10 รัฐมนตรีที่ไม่เป็นที่รู้จักในการรับรู้ของประชาชน เป็น รัฐมนตรีเศรษฐกิจถึง 6 คน คือ 1.นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ (รมช.กระทรวงคมนาคม) 2.นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย (รมช.กระทรวงการคลัง) 3.นายอารักษ์ ชลธารนนท์ (รมว.กระทรวงพลังงาน) 4.นายภูมิ สาระผล (รมช.กระทรวงพาณิชย์) 5.นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ (รมว.กระทรวงพาณิชย์) 6.ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ (รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม) 
สะท้อนให้เห็น "ระดับหนึ่ง" ว่า รัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปากท้องประชาชน มีบทบาทน้อยในสายตาชาวบ้าน 
ซึ่งนี่เป็นคำตอบหนึ่งว่า ทำไมกระแสแพงทั้งแผ่นดินจึงมีแนวโน้มจุดติด

และเมื่อไปดูการขับเคลื่อนนโยบาย ทั้งด้านพลังงาน ด้านสินค้าเกษตร ด้านการรับจำนำข้าว ก็ล้วนแต่มีคำถามถึง "ผลสำเร็จ"
ขณะที่นโยบายเพิ่มเงินในกระเป๋าอื่นๆ ก็ยังไม่มีผลในเชิงปฏิบัติอย่างน่าพอใจ 
ส่วนการลดค่าครองชีพให้ชาวบ้านทั้งเรื่องสินค้าธงฟ้า หรือร้านถูกใจ ก็คืบหน้าน้อยหรือเป็นเพียงน้ำจิ้ม 
นี่จึงเป็นคำตอบสำคัญว่าทำไมชาวบ้านรู้สึกว่าขอแพงขึ้น และกำลังเดือดร้อน

การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องร้อนตัวและร้อนใจ ระดมกำลังออกมาแก้ไขปัญหาเรื่องของแพง โดยไม่ต้องไปสนใจว่าเรื่องนี้มีการเมืองมุ่งทำลายล้างอยู่เบื้องหลังจนเกินไป เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว 
เพราะ "เรื่องของแพง" นี้จำต้องมีสมาธิสูง 

จะโชว์ "จุดแข็ง" แค่ความขยันขันแข็ง ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่พอ 
งานนี้ ต้องมี "ฝีมือ" ให้เห็นด้วย
ไม่เช่นนั้น เอาไม่อยู่นะคร้าา...



++

คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ  โดย จรัญ พงษ์จีน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1656 หน้า 8


"อืดดุจเรือเกลือ" การประชุมร่วมรัฐสภา ระหว่างสภาผู้แทนราษฎร กับ วุฒิสภา เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่....) พ.ศ. .....หลายสัปดาห์เข้าให้แล้ว แต่ยังไปไม่ถึงไหน "สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์" ประธานรัฐสภา ยังไม่สามารถ "ปิดเกม" ได้
ขณะนี้ยังอยู่ในมาตรา 291/12 กว่าจะแล้วเสร็จ น่าจะลากยาวไปเป็นเดือน
สาเหตุที่การประชุมร่วม อืดเป็นเรือเกลือ ทั้งๆ ที่ว่าผ่านวาระ 1 มาอย่างฉลุย และคณะกรรมาธิการชู้ตลูกมาเรียบร้อยแล้ว
เพราะพรรคฝ่ายค้าน หรือ "ประชาธิปัตย์" ผนวกกับกลุ่ม 40 ส.ว. รุม "เตะถ่วง"

ประชาธิปัตย์ ฉกฉวยโอกาสตอน "เพื่อไทย" หรือพรรครัฐบาลพลั้งเผลอ ดึงเกม เนื่องมาจากว่า ช่วยพิจารณาในวาระต่างๆ ของคณะกรรมาธิการ
ส.ส.ประชาธิปัตย์ และกลุ่ม 40 ส.ว. สงวนคำแปรญัตติไว้ทุกมาตรา ทุกวรรค ขณะที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะ "เจ้าภาพ" กลับ สงวนคำแปรญัตติกันระดับ "น้อยมาก-มาก" 
เมื่อไม่ได้สงวนคำแปรญัตติไว้ ย่อมหมดสิทธิ์อภิปราย แสดงความคิดเห็น พากันนั่งใบ้รับประทาน
การประชุมจึงมิต่างอะไรกับทอล์กโชว์ของประชาธิปัตย์ กับกลุ่ม 40 ส.ว.
ยิ่งการประชุมร่วม เพื่อแก้รัฐธรรมนูญ เป็นเสมือนไฟต์บังคับ ต้องมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ ช่องเอ็นบีที ช่อง 11 เดิม ช่องสัญลักษณ์ "หอยม่วง" 
ส.ส.ซีกรัฐบาล สงวนคำแปรญัตติไว้ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ จึงมิต่างอะไรกับ "ต่อยข้างเดียว" แลถ่ายทอดสดให้คนดูทั่วประเทศ พรรคเพื่อไทยทำได้แค่ป้องกันตัว ด้วยการงัดข้อบังคับข้อที่ 5, 43, 45 แค่ประท้วงผู้อภิปราย ว่าประเด็นวกวน ซ้ำซาก 

เดิมทีมีข่าวว่า พรรคเพื่อไทย เอะอะพาโวยกันเองภายในหนักพอสมควร ที่ปล่อยให้เกมการเมืองไหลเข้าทางประชาธิปัตย์ แบบเสียรังวัด ผู้ใหญ่ของพรรคหลายคนถูก "ด่ากินฟรี" 
เสียศูนย์อยู่นาน จนมีการเสนอว่า การประชุมร่วมรัฐสภา ต้องเตะสกัดด้วยการสั่งให้ยุติการถ่ายทอดสด 
แต่สุดท้าย "เอาไม่อยู่" ต้องปล่อยเลยตามเลย แก้เกมด้วยการส่ง ส.ส.นกแล ประท้วงทุกสถานการณ์ ทุกกรณี โดยส่ง ส.ส. "นกแล" ขึ้นทำลายจังหวะใช้ทุกกลยุทธ์ 
ส่งผลให้เกิดดาวรุ่ง "จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ" ส.ส.สุรินทร์ มวยโนเนม ดังขึ้นมาทันตาเห็น ในฐานะ "จอมประท้วง"

การที่เพื่อไทยส่ง "จ่าประสิทธิ์" ขึ้นมา แม้มองเหรียญด้านหนึ่ง เหมือนกับสิ้นไร้ไม้ตอก 
แต่เพื่อไทย คิดเกมว่าการประชุมระยะหลังๆ พรรคกลับได้เปรียบที่เล่นเกมนี้ คือส่ง "เบี้ย" ไปแลกกับ "โคน" หรือ ระดับ "ขุน" ของประชาธิปัตย์
"เบี้ย" ถูกกินรวบ ถูกกลืนคากระดาน ก็ไม่เสียหาย เนื่องจากเป็นทหารชั้นธรรมดา ที่ถูกสังหารโดยระดับ "แม่ทัพ-นายกอง"
ในทางกลับกัน หาก "เบี้ย" หรือ "พลทหาร" ของ "เพื่อไทย" สู้จน "ขุนพล" ฝั่งตรงข้าม บาดเจ็บ ก็เท่ากับได้กำไรหลายต่อ 
เห็นกันจะ-จะว่า "จ่าประสิทธิ์" ส.ส.โนเนม เป็นคู่ปรับของ "รังสิมา รอดรัศมี, บุญยอด สุขถิ่นไทย, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม"

"ประชา ประสพดี" ไต่เพดานบินสามารถต่อกร ปากต่อปากกับ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" กระบี่มือหนึ่งของประชาธิปัตย์ได้ ย่อมไม่ธรรมดา
มุมมองของประชาธิปัตย์ ที่ดึงเกมลากยาว กับมุมมองของเพื่อไทย ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนคิดถูก ฝ่ายไหนคิดผิด ผู้อ่านต้องวินิจฉัย



ข่าวปรับคณะรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ 3" ดังกระหึ่ม ยิ่งใกล้วันที่ 30 พฤษภาคม วันที่ประชากรบ้านเลขที่ 111 ใกล้พ้นโทษแบน ยิ่งมีการขับเคลื่อนหนัก
มีการปล่อยรายชื่อ "บิ๊กเนม" จากบ้านเลขที่ 111 ออกมาถามทางบ้างแล้ว ว่าจะมาช่วยเสริมใยเหล็กใน "ปู 3" 
หนึ่งในจำนวนนั้น ย่อมต้องมีชื่อ "คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" หัวหน้ากลุ่มวังทองหลาง 
ว่ากันไปแล้ว "คุณหญิงหน่อย" เป็นหัวหน้ามุ้งที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพคนหนึ่งของเพื่อไทย ที่สามารถ "คุมโซน" ภาคตะวันออกเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น 
ส.ส.เพื่อไทย ที่ชนะเลือกตั้งในสนาม กทม. ส่วนใหญ่ "สายเจ๊หน่อย" เกือบทั้งนั้น

แต่บังเอิญว่า ในเพื่อไทย มีหลายป้อมค่าย ที่บริโภคเกาเหลาอยู่กับ "คุณหญิงหน่อย" เลยถูกฝ่ายตรงข้ามทำลายจังหวะ 
ว่ากันว่า จุดที่สบช่องสุดที่ถูกเจาะเครดิต คือตอนเกิดสถานการณ์น้ำท่วม 
"สุดารัตน์" หวังเข้าไปช่วยเหลือ ที่ศูนย์ประสบภัยฯ สนามบินดอนเมือง ในฐานะผู้มีประสบการณ์ 
ถูกนำไปเล่นแร่แปรธาตุ ว่าเข้ามา "ชิงการนำ" ส่งผลให้ "นายหญิง-น้องหญิง" เห็นพ้องตามไปด้วย

การที่บ้านเลขที่ 111 จะพ้นโทษแบน "คุณหญิงหน่อย" เป็นหนึ่งที่ถูกจัดอันดับให้เป็นมือต้นๆ ว่าต้องเข้ามาร่วม "ปู 3" 
กลับมีขบวนการปล่อยข่าวสารพัด "คุณหญิงสุดารัตน์" เลยประกาศขอบาย ให้รัฐมนตรีชุดปัจจุบันสบายใจได้ 

แต่ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงขึ้นอยู่ที่ "นายใหญ่ดูไบ" 
ตามโปรแกรม ระบุว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" จะโฉบเข้ากรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในช่วงปลายเดือน และ "คนบ้านเลขที่ 111" จะพากันตะลอนทัวร์ไปเสนอหน้า 
ว่ากันว่า การคาดคำนวณอาจจะผิดแผน "ทักษิณ" สับขาหลอกเรื่องวันเวลาเยือนจีน 
โดยจริงๆ แล้ว หลังชมศึกดาร์บี้แมตซ์ ระหว่าง "แมนฯ ซีตี้ กับแมนฯ ยูฯ" คู่แค้นร่วมเมืองเรียบร้อยแล้ว
"ทักษิณ" รอพบเพื่อนเก่าที่กรุงลอนดอนเพียงไม่กี่วัน และขึ้นเครื่องบินส่วนตัวออกจากอังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม 
เป้าหมายคือ สนามกอล์ฟ ไพน์ วัลเล่ย์ ของสหายรัก "เหยินปิน" 
และจะปักหลักอยู่ปักกิ่งนานหลายวัน ขออยู่แบบส่วนตัว-ส่วนตัว ไม่อยากรับแขก โดยเฉพาะนักการเมืองจากเมืองไทย 
ส่วนใหญ่นัดแนะไว้พบกันที่เกาะฮ่องกง ในช่วงวันที่ 20-21 พฤษภาคม



+++

The Hunger Games "ประชาธิปัตย์" รุกหนัก แพงทั้งแผ่นดิน
คอลัมน์ ในประเทศ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1656 หน้า 11


9 เดือนของนายกรัฐมนตรี ไม่นับมหาวิกฤตน้ำท่วม ปลายปี 2554 แล้ว ปัญหา "สินค้าราคาแพง" ถือว่าหนักที่สุด และเข้าทางพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์มากที่สุด 
ก่อนหน้านี้ พรรคประชาธิปัตย์ เปิดศึกมาแล้วทุกประเด็น จนกลายเป็นฝ่ายค้านที่สะเปะสะปะ จนบางคนมองว่าเยอะเกินไปกลายเป็น "ค้านทุกเรื่อง"
ไม่ว่าจะเป็น เรื่องชั้น 7 โรงแรมโฟร์ซีซั่น หรือแม้แต่เรื่อง "ยิ่งลักษณ์" กับมือถือในขบวนพระราชพิธี การเล่นบทบาท "ฝ่ายแค้น" มากเกินไป ไม่ได้ทำให้กระแสความนิยมในตัว "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" และพรรคประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้น
จะเห็นได้จากสำนักโพลที่สำรวจคะแนนความนิยมระหว่าง "ยิ่งลักษณ์" กับ "อภิสิทธิ์" ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา ความนิยมของ "ปู" ถึงจะลดลงบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าผู้นำฝ่ายค้าน 

แต่เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาเจอ ข้อหาฉกรรจ์ "บริหารล้มเหลว ทำให้สินค้าราคาแพง" แล้วมาพลาดเพราะปากตัวเองในวาทะที่ว่า "รู้สึกไปเองว่าของแพง" 
คำพูดที่กลายเป็นนายตัวเอง ทำให้ "ยิ่งลักษณ์" เสียอาการ 
และพรรคประชาธิปัตย์ได้นำไปขยายผลอย่างมีน้ำหนักมากกว่าเรื่อง "เอาอยู่" 
ก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์พยายามขยี้ประเด็นนี้ด้วยการเปิดวาทกรรม "แพงทั้งแผ่นดิน"
ล้อเลียนคำขวัญของคนเสื้อแดง 
"แดงทั้งแผ่นดิน"

แต่ในช่วงแรก วาทกรรม "แพงทั้งแผ่นดิน" ไม่สามารถขยายผลได้ จนเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมาหลังเกิดภัยแล้งจนราคาผักขยับขึ้นอย่างแรง
และค่าแรงขั้นต่ำขยับเป็น 300 บาท 
ราคาสินค้าที่ขยับขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนแล้วไม่ได้แตกต่างกันมากนัก 
แต่ความรู้สึกของคนกลับรู้สึกว่า "แพงขึ้นมาก"
ยิ่งนานวันกระแส "ของแพง" ยิ่งแพร่กระจาย และกลายเป็น "ขนมหวาน" ของ "ประชาธิปัตย์"
เพราะตรงกับความรู้สึกของประชาชน 



แม้รัฐบาลพยายามแก้เกมด้วยการยอมรับความรู้สึกของประชาชน และแสดงออกถึงความใส่ใจในการแก้ไขปัญหา ด้วยการส่งรัฐมนตรีเดินตลาด เพราะรู้ดีว่าเมื่อรัฐมนตรีเดินตลาดย่อมดึงผู้สื่อข่าวตามไปด้วย
เป็นกลยุทธ์การชิงพื้นที่สื่อจากฝ่ายค้าน 
นอกจากนั้น รัฐบาลพยายามดึงคนที่มีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือออกมาชี้แจงกับประชาชนถึงสาเหตุของปรากฏการณ์ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็น "กุนซือใหญ่" อย่าง ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ที่พยายามชี้แจงแบบครูบาอาจารย์ว่ามีปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้อยู่ 2 เรื่อง คือ ดินฟ้าอากาศและเรื่องของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก 
นอกจากนั้น "อาจารย์โกร่ง" ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ก็ออกมาชี้ประเด็นว่า กระแสเรื่องของแพงเป็นเรื่องกล่าวขวัญกันมากทั้งสื่อมวลชนและผู้คน รู้สึกจะหวั่นไหวกันไปยกใหญ่จนเกิดเป็นจิตวิทยาว่าข้าวของกำลังขึ้นราคา กลายเป็นภาวะเงินเฟ้อ แต่เมื่อมาดูตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ สภาพัฒน์ และธนาคารแห่งประเทศไทย ตัวเลขก็ตรงกันว่าภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับปกติ
หรือ "ยรรยง พวงราช" ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ที่ออกมาแถลงข่าวยืนยันว่าสินค้าไม่ได้แพงขึ้น มีการหยิบยกตัวเลขต่างๆ มายืนยัน โดยเปรียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 
ความพยายามชี้ให้เห็นว่าสินค้ามีทั้งขึ้นราคาและราคาลดลงอาจช่วยได้บ้าง 

แต่ช่วยไม่ได้มากนัก 
เพราะกระแส "ของแพง" จุดติดแล้ว 
ผลสำรวจของ "เอแบคโพลล์" ล่าสุดเข้าทางพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อผลการประเมินความพอใจของสาธารณชนต่อคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา พบว่า รัฐมนตรี เพียง 4 คน ที่สอบผ่าน นอกนั้นสอบตกหมด 
"ปัญหาค่าครองชีพ ราคาสินค้าที่ชาวบ้านส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 บอกว่ามันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรือกระแสเท่านั้น ส่งผลทำให้รัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงพาณิชย์และที่เกี่ยวข้องได้รับเสียงความพอใจของสาธารณชนไม่ถึงครึ่ง" ผลสำรวจเอแบคโพลล์ ระบุ

แต่กระนั้น เอแบคโพลล์ ก็ยืนยันว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สอบผ่านได้คะแนน 64.8 ขณะที่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.กระทรวงพาณิชย์ สอบตก ได้คะแนนเพียง 33.2 
เมื่อ "ประชาชน" รู้สึกว่า "ของแพง" ในขณะที่รัฐบาลพยายามเอาตัวเลขมายืนยันว่า "ไม่แพง" 
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นความไม่พอใจ 
และนั่นคือ "เชื้อไฟ" อย่างดีสำหรับพรรคฝ่ายค้านมืออาชีพอย่างพรรคประชาธิปัตย์

การออกโรงขยี้ประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากนายอภิสิทธิ์ และ "โฆษก" ของพรรคไม่ว่าจะเป็น นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรค 
มีการนำตัวเลขทางเศรษฐกิจมายืนยัน รวมทั้งการหยิบยกสินค้าที่แพงขึ้นอย่างชัดเจน เช่น ถั่วฝักยาว ฯลฯ มาแสดงให้นักข่าวดู
แม้แต่การเดินสายไปเยี่ยมชาวบ้านที่ "มาบตาพุด" ของนายอภิสิทธิ์ เขายังเพิ่มช่วงเวลาไปเดินตลาด เพื่อพานักข่าวไปพิสูจน์ว่าสินค้าราคาแพงขึ้น 
ขยี้ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง


เกมขยี้เรื่อง "ของแพง" ของพรรคประชาธิปัตย์ ดูเหมือนว่าจะประสบความสำเร็จมากกว่าการค้านในเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา
เพราะตรงกับใจของประชาชนส่วนใหญ่

แต่พรรคประชาธิปัตย์ต้องสะดุดครั้งใหญ่ เมื่อ "ชวนนท์" เปิดเกมหนัก
นอกจากถล่มรัฐบาลแล้วยังพ่วงเอา "ยรรยง" ปลัดกระทรวงพาณิชย์ด้วย 
ข้อเสนอในการแถลงข่าวของเขาก็คือ ให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์เรียกรัฐมนตรีพลังงาน รัฐมนตรีพาณิชย์เข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง
"ขอให้ท่านปลดปลัดกระทรวงพาณิชย์ไปเถอะครับ เพราะเขาบิดเบือนข้อเท็จจริงกับคนที่เป็นผู้บังคับบัญชา แต่ถ้าเขาไม่ได้บิดเบือน ท่านก็โกหกประชาชน" 
ประโยคนี้เองที่ทำให้ "ยรรยง" ตบะแตก

ต้องไม่ลืมว่ากว่าที่ "ยรรยง" มีความทรงจำที่ไม่ดีนักกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะกว่าจะได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์ก็โดน "อภิสิทธิ์" เตะสกัดอยู่พักใหญ่ จนต้องไปเคลียร์ใจกับ "อภิสิทธิ์" วาระแต่งตั้งปลัดกระทรวงพาณิชย์จึงเข้า ครม.
เมื่อ "ชวนนท์" ออกมาเสนอให้ปลดตนเอง "ยรรยง" จึงออกมาแถลงข่าวโต้ นอกเหนือจากยืนยันข้อมูลของตนเองและท้าเดิมพันตำแหน่งหากมีหลักฐานว่ามีการบิดเบือนข้อมูล 
เขายังแว้งเข้า "แผลเก่า" ของพรรคประชาธิปัตย์เรื่องการแก้ไขปัญหาของแพงอย่าง "น้ำมันปาล์ม" และนโยบาย "ไข่ชั่งกิโล"
ก่อนทิ้งหมดฮุกใส่นายชวนนท์

"หน้าไม่หล่อเหมือนพระเอกโฆษกพรรคเพื่อไทยก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่หน้าตากับเหมือนปลาบู่ชนเขื่อน คือหน้าตาเจ็บๆ ไม่ไว้วางใจคนอื่น ขอให้พรรคประชาธิปัตย์เลือกคนอื่นที่หน้าตาดี ใครก็ได้ที่มีบุคลิกภาพที่ดี เป็นมิตรและมีความสามารถกว่านี้ จะช่วยให้พรรคมีฐานมวลชนเพิ่มขึ้น"
แม้จะไม่ช่วยแก้ปัญหาเรื่อง "ของแพง" แต่ก็ช่วยให้ทิศทางข่าวพลิกมุมไปเรื่องการเมืองนิดนึง


ถึงวันนี้ความรู้สึกเรื่อง "ของแพง" ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล 
และเป็นครั้งแรกที่พรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ทำคะแนนตีตื้นขึ้นมาบ้าง หลังจากรุกไล่ชกอย่างสะเปะสะปะมาพักใหญ่ 
การค้านในเวอร์ชั่น "แพงทั้งแผ่นดิน" ถือว่ามีน้ำหนักและเป็นประโยชน์มากกว่า "เกมใต้สะดือ" ที่เคยใช้กรณี "โฟร์ซีซั่น"
เพราะตรงความรู้สึกของคนส่วนใหญ่
และประชาชนได้ประโยชน์



+++

กลาโหม ฝุ่นตลบ ศึก ตท.10-แตงโม-อำมาตย์ จับสัญญาณปรองดอง กับฝันของ "บิ๊กตู่" และฝันแห่ง "ชินวัตร"
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1656 หน้า 16


แม้ในบ้านเลขที่ 111 จะมี บิ๊กแอ๊ด พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหม จะรอดพ้นพันธนาการทางการเมือง ออกมาด้วย แต่เขาก็ไม่หวังที่จะกลับมานั่งเก้าอี้ สนามไชย 1 นี้อีก เพราะเสียฟอร์มเจ้าของกลยุทธ์ "ลับลวงพราง" ระดับปรมาจารย์ แต่ยังถูก บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ลูกศิษย์ย้อนศร ปฏิวัติโดยไม่รู้ตัว แถมทั้งอายุก็ปาเข้าไป 75 แล้ว อยากจะช่วยพรรคอยู่เงียบๆ มากกว่า 
แต่ก็กลับทำให้เก้าอี้ รมว.กลาโหม ของ บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ร้อนขึ้นมา พร้อมๆ กับการเตรียมปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อต้อนรับนักการเมืองตัวเด็ดๆ ที่พ้นโทษทางการเมือง  
เก้าอี้ของ พล.อ.อ.สุกำพล ร้อนขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน เพราะยังไม่มีใครมากระซิบ ไม่ว่าจะเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อนรัก ตท.10 ซึ่งอาจเป็นเพราะยังมีเวลากว่าที่ชาว 111 จะหลุดบ่วงในปลายเดือนพฤษภาคม 
แม้ พล.อ.อ.สุกำพล จะมั่นใจว่า ผลงานในรอบ 4 เดือนบนเก้าอี้ รมว.กลาโหม ของตนเอง รวมทั้งการสานสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแบบพี่น้อง กับ ผบ.เหล่าทัพ ทำให้เขาน่าจะได้นั่งต่อก็ตาม 
โดยเฉพาะความสำเร็จหลังการไปเยือนจีนที่ยิ่งทำให้ใกล้ชิดเข้าใจกันมากขึ้น

แต่แววแห่งความกังวล ปรากฏแก่ พล.อ.อ.สุกำพล ไม่น้อย เพราะเขาเองรู้ดีว่า 1.หากนับเวลารวมก็ถือว่าพอสมควร เพราะเขาเป็นทั้ง รมว.คมนาคม กระทรวงเกรดเอ แม้จะเป็น รมว.กลาโหม มาแค่ 4 เดือนก็ตาม ที่ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ตอบแทนมากแล้ว ก็ต้องเอาไปตอบแทนให้เพื่อนและแตงโมคนอื่นบ้าง 
อีกทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล รู้ดีว่ามีคนต่อคิวที่จะเป็น รมว.กลาโหม อีกหลายคน โดยเฉพาะ บิ๊กโอ๋ พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต เพื่อนรักและเครือญาติ ที่หายใจรดต้นคออยู่ ในตำแหน่งหัวหน้าคณะนายทหารฝ่าย เสธ.ประจำ รมว.กลาโหม ฝึกงานและเตรียมเป็น รมว.กลาโหม มาหลายเพลา
ที่สำคัญ เป็นที่รู้กันดีว่า พล.อ.พฤณท์ หรือ บิ๊กโอ๋เล็ก นี้ นอกจากเป็นเพื่อน ตท.10 ของทั้ง บิ๊กโอ๋ใหญ่ และ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว กำลังจะกลายเป็น "ว่าที่พ่อตา" ของ โอ๊ค พานทองแท้ ที่กำลังคบหาดูใจกับลูกสาวสุดสวยของ พล.อ.พฤณท์ อีกด้วย
ฝันอย่างหนึ่งของ พล.อ.พฤณท์ อดีต ผบ.พล.1 รอ. ผู้เกรียงไกร แต่กลับถูกปฏิวัติ จนต้องเข้ากรุ ก็ต้องอยากกลับมากองทัพอย่างทระนง หากเป็นเบอร์ 1 แห่งกลาโหม เพื่อกู้ศักดิ์ศรีครั้งนั้น 


แต่ทว่า เก้าอี้ รมว.กลาโหม ก็เป็นความฝันของนายทหาร ตท.10 และทหารแตงโม ที่ซี้ปึ้กและช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงต่อสู้กับอำมาตย์มาตลอด จึงทำให้มีการวิ่งเต้นกันฝุ่นตลบ 
ยิ่งเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปดูการแข่งฟุตบอลที่อังกฤษ ก็มีเพื่อน ตท.10 หลายคนตามไปร่วมวงและไปเยือนถึงบ้าน ในจำนวนนี้มี บิ๊กตู่ พล.อ.พรชัย กรานเลิศ อดีต ผช.ผบ.ทบ. ที่ฝันที่จะเป็น ผบ.ทบ. สลายไปพร้อมกับการปฏิวัติ 19 กันยายน รวมอยู่ด้วย 
แม้ ตท.10 และแตงโม บางคนไม่ต้องการนั่งเอง แต่ก็เสนอชื่ออดีตบิ๊กทหารเป็นแทนก็มีโดยยังมีชื่อของ บิ๊กเกาะ พล.อ.สมทัต อัตตะนันทน์ อดีต ผบ.ทบ. ทีมเขยจอมพลประภาส จารุเสถียร กับ บิ๊กอ๊อด พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อยู่ในลิสต์ 
เพราะหาก พล.อ.พฤณท์ ไม่ต้องการเป็น รมว.กลาโหม เอง ก็จะดัน พล.อ.สมทัต พี่เลิฟขึ้นมาเช่นครั้งก่อน


แต่กระนั้น ก็ไม่อาจมองข้าม พล.อ.ยุทธศักดิ์ ที่แม้จะถูกปลดจาก รมว.กลาโหม มาแขวนเป็นรองนายกรัฐมนตรี และครั้งนี้มีข่าวว่าจะหลุดโผ ครม. ไปเลยก็ตาม แต่สถานการณ์อาจเปลี่ยน หลังจากมีเสียงจากบ้านสี่เสาเทเวศร์ เปรยออกมาว่า "เสียดายอ๊อด" ที่กำลังเป็น รมว.กลาโหม อยู่ดีๆ ก็ถูกเปลี่ยน  
อย่าลืมว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ เป็นหนึ่งในทีม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าบ้านสี่เสาฯ ไปรดน้ำขอพร ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อ 26 เมษายนที่ผ่านมา 
ไม่แค่นั้น ใน "ลับ ลวง พราง ภาค 5" ตอนหนึ่งระบุว่า ตอนที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ถูกปลดนั้นมีโทรศัพท์สายสำคัญโทร.มาแสดงความเห็นใจต่อบิ๊กอ๊อด พร้อมคำพูดอีกหลายประโยค ที่บิ๊กอ๊อดเท่านั้นรู้ดี แต่เปิดเผยไม่ได้ นอกเสียจากบอกว่า "เป็นสายจากเจ้านาย" ที่ทำให้เขาต้องพูดว่า "ขอรับกระผม" ตลอดเวลา 
แม้แต่กระแสข่าว "ทหารลูกป๋า" จะมาเป็น รมว.กลาโหม เพื่อส่งสัญญาณปรองดอง ทั้งชื่อของ บิ๊กหมง พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อดีต ผบ.สส. ที่ปฏิเสธมาหลายครั้ง หรืออดีต ผบ.เหล่าทัพและบิ๊กทหาร ในมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ที่มี บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และลูกป๋าคนโปรด คุมอยู่


ส่วนอีกคนที่ถูกจับตาอยู่คือ บิ๊กเปี๊ยก พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม ที่จะเกษียณกันยายนปีนี้ ซึ่งรู้กันดีว่า ใกล้ชิดสนิทสนมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อีกทั้ง คุณอู๊ด ณัฐณิชาช์ ภริยาระดับนายกเทศมนตรีของเขา ก็เป็นเรี่ยวแรงสำคัญของพรรคเพื่อไทยที่อุบลราชธานี จนลุ้นที่จะเป็น รมช.มหาดไทย อยู่เหมือนกัน 
เพราะหาก พล.อ.เสถียร ต้องลาออกไปเป็น รมว.กลาโหม หรือแม้แต่ รมช.กลาโหม กองทัพก็จะคึกคัก เพราะต้องตั้งปลัดกลาโหมคนใหม่ ที่ทาง ทบ. จะส่ง บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง ผบ.ทบ. ข้ามห้วยมาเสียบเร็วขึ้น จากที่รอจะมาในโยกย้ายกันยายนนี้ ตามสูตรปรองดอง ของรัฐบาลกับกองทัพ เพื่อขัดตาทัพ ก่อนที่ บิ๊กกี๋ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกลาโหม ที่มีอายุราชการถึงปี 2558 หรือ บิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม หรือ "เสธ.กลาโหม" ที่มีอายุราชการถึงปี 2559 จะขยับเป็นรองปลัดกลาโหม เพื่อจ่อคิวต่อได้ทัน
ทว่า พล.อ.เสถียร เองยังไม่รีบร้อน ต้องการรับราชการทหารจนเกษียณก่อนแล้วค่อยว่ากันเรื่องอนาคตทางการเมือง



แต่สูตรหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามคือ การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจควบเป็น รมว.กลาโหม หญิงคนแรก เพราะตลอดเวลาการเป็นนายกรัฐมนตรี เธอก็เข้ามาคุมกองทัพด้วยตัวเอง เดินสายตรวจเยี่ยมหน่วยทหาร ทุกเหล่าทัพ ไปตากแดดลุยฝุ่น ชมการฝึกของทหาร และมีความใกล้ชิดสนิทสนม และสายตรงกับ ผบ.เหล่าทัพ อยู่แล้ว 
โดยเฉพาะกับ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่ถูกมองว่า กลายเป็น ผบ.ทบ. คู่บุญของนายกฯ หญิงคนนี้ไปแล้ว อย่างชื่นมื่น และทำหน้าที่พระเอก ช่วยเหลือนางเอกปู ในทุกเรื่องด้วยดีมาตลอด จน พ.ต.ท.ทักษิณ เอ่ยปากชมน้องสาว และฝากข้อความมาขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ มาแล้ว 
ทั้งหมดอาจเป็นแผนที่วางไว้เพื่อให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ทดลองนั่งหัวโต๊ะประชุมกับขุนทหาร การเดินนำแถวทหาร ยืนหน้าแถว การไปเยือน การวางตัว และการสร้างใกล้ชิดกับ ผบ.เหล่าทัพ และได้รับการยอมรับจากทหาร เสียก่อน เพื่อกรุยทางสู่การควบ รมว.กลาโหม 
อีกทั้งที่ผ่านมา ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่ได้แก้แค้นล้างบาง ไม่ก้าวก่ายแทรกแซงกองทัพเลย ปล่อยให้มีการแต่งตั้งโยกย้ายกันเอง ดังนั้น ไม่ว่าใครจะเป็น รมว.กลาโหม ก็ไม่สำคัญ เพราะจะเห็นว่า ตอน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ก็ทำอะไรไม่ได้ มา พล.อ.อ.สุกำพล ที่มาแรง และสายเหยี่ยวแค่ไหน ก็ไม่มีอะไร เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ มีประกาศิตให้ปรองดองกับกองทัพไปก่อน

แต่หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ควบ รมว.กลาโหม ก็ย่อมต้องตั้ง รมช.กลาโหม ที่เป็นทหาร ขึ้นมาช่วยดูแลงานของกลาโหมให้ ซึ่งบรรดา ตท.10 และทหารแตงโม ก็ต้องไปลุ้นแย่งเก้าอี้ รมช.กลาโหม กันแทน 
แต่ทว่า อาจทำให้กองทัพหวั่นไหว ตรงที่การตั้ง รมช.กลาโหม เพราะนั่นหมายถึงการเพิ่มจำนวนคะแนนเสียง ตาม พ.ร.บ.กลาโหม ปี 2551 หากต้องมีการโหวตกันในคณะกรรมการกลาโหม หากไม่สามารถตกลงกันได้ โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายระดับนายพล และรวมถึงการตั้ง ผบ.เหล่าทัพ 
ด้วยเพราะเดิมมีแค่ 6 เสียง คือ รมว.กลาโหม และ พล.อ.เสถียร ปลัดกลาโหม ที่ถูกมองว่า จะโหวตเข้าข้างรัฐบาล ส่วน บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. และ บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. และ พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. จะแท็กทีมกันแน่น 
ส่วน บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. นั้นอาจเป็นตัวแปร เพราะเขาจะเลือกผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ แต่ก็มีแนวโน้มจะอยู่ข้าง ผบ.เหล่าทัพ เพื่อแสดงความเป็นเอกภาพ 
นั่นหมายถึงกองทัพจะกระเพื่อมแน่นอน โดยเฉพาะในการแต่งตั้งโยกย้ายทหารใหญ่ในเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ ที่จะมีการเปลี่ยนทั้ง ปลัดกลาโหม และ ผบ.ทอ. เนื่องจากการเกษียณราชการ และตำแหน่งห้าเสือของแต่ละเหล่าทัพ 
แต่ก็อาจทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เสียวสันหลัง เพราะคดี 91 ศพคนเสื้อแดงที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล


อย่างไรก็ตาม มีการส่งสัญญาณบางอย่าง ที่จะให้ พล.อ.อ.สุกำพล สบายใจ นั่ง รมว.กลาโหม ต่อไปก่อน ยังไม่มีการปรับออก เพื่อให้ประคองความสัมพันธ์กับกองทัพแบบปรองดอง และดูท่าทีของกองทัพและ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไปก่อน 
ต้องยอมรับว่า ความใกล้ชิดสนิทสนมของ พล.อ.ประยุทธ์ กับทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ พล.อ.อ.สุกำพล มากขึ้น มีการให้เกียรติ ด้วยการไปร่วมทุกงานที่เกี่ยวข้อง สั่งแม่ทัพนายกองมาต้อนรับ และยืนส่งกลับอย่างพร้อมหน้า รวมทั้งการแสดงความเคารพ การโค้งคำนับ
จากโผโยกย้ายปลายปี กันยายนปีที่แล้ว ตอนยุค พล.อ.ยุทธศักดิ์ มา โยกย้ายเมษายนที่ผ่านมา พล.อ.อ.สุกำพล ก็ไม่ล้วงลูกใดๆ กองทัพ ต่างแต่งตั้งตามสัดส่วนของตนเอง ไม่ว่าจะโยกย้ายระดับนายพล หรือนายพัน หน่วยคุมกำลังก็ตาม

แต่ที่ส่งสัญญาณถึงความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นและวางใจกันมากขึ้นระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เมื่อมีรายงานว่า ได้เปิดไฟเขียวให้ เสธ.โอ๋ พ.ท.สราวุธ ชินวัตร (ตท.32) หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (พล.ปตอ.) หลานชายนายกฯ ที่พลาดหวังจากการเป็น ผู้บังคับกองพันมาหลายครั้ง ทั้งๆ ที่เพื่อนในรุ่น เป็นผู้พันกันไปหลายคนแล้วนั้น ได้ขยับเป็น ผบ.ปตอ.พัน 4 รอ. ในการโยกย้ายผู้พัน ที่กำลังจะคลอดในเร็วๆ นี้ 
อันถือเป็นการส่งสัญญาณ "ปรองดอง" จาก พล.อ.ประยุทธ์ ถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้ง พ.ท.สราวุธ เองเป็นนายทหารหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ และได้รับการยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชา 
งานนี้ไม่ใช่แค่ทำให้ฝันของ พ.ท.สราวุธ ที่น้ำตาซึมมาหลายครั้ง กับนามสกุล ชินวัตร ตั้งแต่การปฏิวัติ 19 กันยายน เรื่อยมา ได้เป็นจริงเท่านั้น แต่ทำให้ฝันของตระกูลชินวัตร ที่อยากเห็นลูกหลานที่เป็นทหาร ได้เป็น ผบ.หน่วย กับเขาเสียที 
เพราะตอนรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไฟเขียวให้ ผู้พันแก๊ก พ.ท.พงศ์ณุภา เวชชาชีวะ หลานชาย มาร์ค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ได้เป็น ผบ.ม.พัน 11 รอ. แม้ว่าจะเป็น ตท.33 ที่ถือว่ายังเด็กเมื่อเทียบกันในหมู่ผู้พันทหารม้าและธรรมเนียมม้า ก็ตาม



บรรยากาศแห่งความปรองดอง ในทุกระดับ ไล่ตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลกับป๋าเปรม จนมาถึงรัฐบาลกับกองทัพ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กับ ผบ.เหล่าทัพ ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ เองก็มีรอยยิ้มสดใสอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย แบบที่เรียกว่า แฮปปี้ ทั้งเรื่องงาน เรื่องกองทัพและเรื่องส่วนตัว แม้ว่าปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ จะยังคงทำให้นอนไม่หลับ และแทงหัวใจอยู่ก็ตาม 
ท่ามกลางการจับตามองว่า วันเกิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ 21 มิถุนายน ที่ตรงกับวันเกิดของอาจารย์น้อง รศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยานั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะเตรียมของขวัญอะไรไว้ให้ เพราะตอนวันเกิด 21 มีนาคม ของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ส่งดอกไม้ผลไม้ พร้อมโทร.มาแฮปปี้เบิร์ธเดย์ด้วยตัวเองมาแล้ว ที่จะเป็นอีกสัญญาณปรองดองที่ดี 
จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็สานฝันให้ตัวเองสำเร็จ ทั้งการสร้างบ้านหลังใหม่ ใน ร.1 รอ. เสร็จแล้ว เพื่อให้เป็นบ้านระดับห้าเสือ ทบ. โดยที่เขาเองก็ย้ายเข้าอยู่ ประเดิมเมื่อ 20 เมษายนที่ผ่านมา เพราะบ้านตำแหน่ง ผบ.ทบ. ที่สร้างไว้ใน ร.11 รอ. บางเขน และบ้านห้าเสือ ทบ. รวม 3 หลังนั้น พล.อ.สนธิ ก็ขออยู่ต่อไปเรื่อยๆ โดยอ้างเรื่องความไม่ปลอดภัย 
ซึ่งบ้านของ พล.อ.ประยุทธ์ หลังนี้ ได้ถูกเรียกว่าเป็น "วอร์รูม 702"

ส่วนอีกฝันหนึ่ง ที่กำลังจะสำเร็จก็คือ การทำตามความฝันที่อยากจะโลดแล่นไปบนมอเตอร์ไซค์คันโต ที่ไม่ใช่แค่ช็อปเปอร์ทั่วไป แต่หมายถึง ฮาร์เลย์ เดวิดสัน Harley Davidson ที่ พล.อ.ประยุทธ์ รักการบิดมาตั้งแต่เป็นทหารหนุ่มๆ 
สถานการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวาย ทำให้เขาไม่มีเวลาคิดฝันเรื่องเหล่านี้ แต่เมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมา บ้านเมืองเรียบร้อยขึ้น ไม่มีม็อบสีต่างๆ ให้ทหารต้องอยู่เวรเตรียมพร้อม หรือ ผบ.ทบ. ต้องเฝ้าวอร์รูมทั้งวันทั้งคืน พล.อ.ประยุทธ์ ก็เริ่มมีเวลาที่จะสานฝันให้ตัวเอง
แม้ว่าตอนนี้กำลังศึกษาและเลือกแบบอยู่ก็ตาม แต่อย่างน้อย ไปเมืองจีนครั้งก่อน พล.อ.ประยุทธ์ ก็แอบไปเกี่ยวเสื้อแจ๊กเก็ตหนังแท้ Harley Davidson ราคาหลักหมื่นอย่างเท่มาแล้วหนึ่งตัว ตุนอุ่นใจเอาไว้ก่อน

ไม่ต่างจาก พล.อ.อ.สุกำพล ที่ตอนนี้พออุ่นใจว่า ไม่มีใครกระซิบว่าให้ลุกจากกลาโหม ก็สานฝันของตัวเองสำเร็จ เพราะเมื่อไม่ต้องฟาดฟันกับ ผบ.เหล่าทัพ ก็มีเวลาพอที่จะสานฝันในการลดน้ำหนักและสร้างความแข็งแรง ด้วยการขี่จักรยานเสือภูเขา และมีการตั้งกลุ่มขึ้นมาในหมู่ลูกน้องและเพื่อน ที่ปกติ บิ๊กโอ๋ จะขี่แถวบ้าน ก.ม.27 แต่ก็ฝันอยากจะไปขี่ในภูมิประเทศ ในต่างจังหวัด 
บรรยากาศปรองดอง ในเวลานี้ จึงมีส่วนทำให้ความฝันของนายทหารสายเหยี่ยวที่รักความเร็วและแรง ทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล และ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังเป็นจริง 
เช่นเดียวกับฝันของทหารหนุ่มสายเลือดชินวัตร และก็อาจรวมถึงเรื่องที่ไม่คาดฝันของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในอนาคตอันใกล้อีกด้วย...



+++

"ปล้น-ชิงทรัพย์" เมืองกรุงพุ่ง สวนสถิติอาชญากรรมทั่ว ปท. "ปราบ-สืบ" ปรับแผนรับมือ
คอลัมน์ โล่เงิน ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1656 หน้า 99


การแถลงสรุปสถานการณ์อาชญากรรมรอบ 6 เดือน ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดย พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ตร. แจกแจงสถิติการเกิดคดีทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2555 โดยเปรียบเทียบกับห้วงเวลาเดียวกันย้อนหลัง 1 ปี ตามประเภทคดีอาญา 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 
1.คดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ อาทิ ฆ่ากันตาย ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ วางเพลิง 1,792 คดี ส่วนปีก่อนเกิด 1,827 คดี คดีปล้น 166 คดี ปีที่ผ่านมาเกิด 176 คดี 
2.คดีความผิดต่อชีวิตและร่างกาย คดีความทางเพศ 6,756 คดี ปีที่ผ่านมา 7,200 คดี คดีข่มขืน 1,797 คดี น้อยกว่าปีที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นกว่า 2,000 คดี และมักเกิดในพื้นที่ กทม.
3.คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ 21,419 คดี ลดลงกว่าปีก่อนที่เกิดกว่า 24,000 คคี เกิดขึ้นในพื้นที่ บช.น. เช่นกัน 
4.คดีโจรกรรมรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ โดยรถยนต์หายน้อยกว่าปีที่ผ่านมา และ 5.คดียาเสพติด ยอดการจับกุมมากกว่าปีที่แล้วร้อยละ 15 จับกุมทั้งหมดกว่า 184,550 คดี โดยเฉพาะรายใหญ่ๆ ขณะปีที่ผ่านมาจับได้ 155,000 คดี จับกุมคดีอาวุธปืน 13,558 คดี และการพนันอีก 51,657 คดี

เป็นตัวเลขที่ดูแล้วใจชื้น เหตุเพราะยอดการเกิดคดีลดลง
หากแต่เมื่อโฟกัสเฉพาะคดีในเมืองหลวง กลับพบว่ายอดคดีเกี่ยวกับทรัพย์ที่ใช้ความรุนแรงเกิดมากขึ้น!!

พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) รับผิดชอบงานป้องกันปราบปราม เผยถึงสถิติคดีอาญา คดีเกี่ยวกับทรัพย์ในเมืองกรุง รอบ 7 เดือน ระหว่างเดือน ตุลาคม 2554 ถึง เมษายน 2555 ว่า มีคดีปล้นทรัพย์ 48 ครั้ง ชิงทรัพย์ 116 ครั้ง ลักทรัพย์ 4,629 ครั้ง วิ่งราวทรัพย์ 208 ครั้ง โจรกรรมรถยนต์ 191 ครั้ง และโจรกรรมรถจักรยานยนต์ 1,574 ครั้ง 
ขณะที่เดือนตุลาคม 2553 ถึง เมษายน 2554 เกิดคดีปล้นทรัพย์ 34 ครั้ง ชิงทรัพย์ รวม 87 ครั้ง ลักทรัพย์ 5,466 ครั้ง วิ่งราวทรัพย์ 232 ครั้ง โจรกรรมรถยนต์ 246 ครั้ง และโจรกรรมรถจักรยานยนต์ 1,907 ครั้ง 
จากสถิติชี้ว่าตัวเลขคดีปล้นทรัพย์และชิงทรัพย์เมืองกรุงเพิ่มขึ้น

และเมื่อผนวกกับคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญที่เกิดในห้วงนี้ถี่ยิบ ซึ่งมีทั้งคลี่คลายแล้วและยังคลำทางอยู่ อาทิ โจรบุกเดี่ยวชิงเงินสด 732,000 บาท แบงก์กสิกรไทย นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เมื่อวันที่ 10 เมษายน คดียิง นางยุพดี สุดทำ อายุ 59 ปี เจ้าแม่ร่างทรงเสียชีวิต วันเดียวกัน หลายคดีฆ่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ 
จ่อยิงแสกหน้า นายจิรโรจน์ รักวงษ์วาน อายุ 30 ปี วิศวกรหนุ่ม เมื่อวันที่ 17 เมษายน คดีฆ่า นายอุดมพร ไพงาม อายุ 35 ปี เจ้าของร้านข้าวมันไก่ ชิงสร้อยทองหนัก 10 บาท วันเดียวกัน เช้ามืดวันต่อมาเกิดคดีฆ่า นายศิริพงษ์ จิระพงศ์สกุล อายุ 68 ปี เสี่ยร้านตัดสูท "เงาะ" ย่านปทุมวัน ชิงสร้อยทองหนัก 3 บาท 
คดีชิงทรัพย์ร้านทองกวาดทองคำ 15 บาท พื้นที่ สน.ลาดพร้าว เมื่อวันที่ 20 เมษายน และคดีสังหาร นายธิบดี หรืออั้ม เยาวมาลี อายุ 37 ปี อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน เมื่อวันที่ 30 เมษายน 
รวมถึงคดีใหม่หมาดๆ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 5 โจรควงปืนปล้นบ้านเลขที่ 312/2 หมู่บ้านเมอริด เพลสเฟส 3 ซอยลาดพร้าว 87 แยก 10 แขวงเจ้าคุณสิงห์ เขตวังทองหลาง กวาดทรัพย์ไปกว่า 1 ล้านบาท
ส่งผลให้ฝ่ายป้องกันปราบปราม กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ต้องปรับแผนรับมืออย่างเร่งด่วน!!



"การประชุมที่ผ่านมาเน้นย้ำ การปฏิบัติหน้าที่ ผกก.โรงพัก และ รอง ผกก.ป. กำชับเรื่องการอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง คือให้สลับกัน ต้องมีคนใดคนหนึ่งอยู่ เพราะเมื่อมีเหตุเกิดขึ้น จะได้ควบคุมสั่งการด้วยตัวเอง 
"การปล่อยแถวออกตรวจพื้นที่ กำหนดให้ ผกก. ต้องปล่อยแถวอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง รอง ผกก.ป. ต้องปล่อยแถวอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ส่วนเวลาอื่นๆ ให้เป็นหน้าที่ของ สวป. โดย สวป. ต้องอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติงานอย่างน้อย 2 คน" พล.ต.ต.สาโรจน์ เผย
นอกจากนี้ รอง ผบช.น. ได้กำชับเรื่องการตรวจค้นอาวุธ โดยเชื่อว่าจะสามารถลดปัจจัยการเกิดอาชญากรรมได้

"การตั้งด่านตรวจ ต้องเคร่งครัดเรื่องการตรวจค้นอาวุธ รวมทั้งหัวหน้าสายตรวจที่เข้าเวรต้องตั้งด่านเคลื่อนที่ในจุดล่อแหลม จุดอับ เสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม ส่วนการเพิ่มกำลังสายตรวจ บางพื้นที่มีสายตรวจเพียงแค่ 1-2 สาย ดังนั้น ทุก สน. ต้องตั้งชุดจู่โจมเคลื่อนที่เร็ว สน.ละ 1 ชุด มี สวป. เป็นหัวหน้าชุด กำลังผู้ปฏิบัติ 4 คน 
"สาเหตุที่ต้องตั้งชุดจู่โจมเคลื่อนที่เร็ว เพราะมีอาชญากรรมประเภทแก๊งซิ่งที่มักจับกลุ่มก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ บ่อยครั้ง บางทีก็ทำร้ายเจ้าทรัพย์ ชุดจู่โจมเคลื่อนที่เร็วต้องออกปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่เวลา 22.00 น.-04.00 น. ของทุกวัน เพื่อตรวจค้นกลุ่มบุคคลต้องสงสัย และตรวจค้นอาวุธ 
"ถ้าพบวงสุรา ชุดจู่โจมเคลื่อนที่เร็วสามารถเข้าไปสอบถาม ตรวจสอบเพื่อป้องกันเหตุ เมื่อถึงเวลาพักผ่อนในช่วงบ่ายก่อนเข้าประจำจุด ให้ตรวจค้นชุมชน แหล่งมั่วสุม แหล่งรับซื้อของโจร จุดต้องสงสัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสายตรวจยิ่งขึ้นด้วย" พล.ต.ต.สาโรจน์กล่าว


ขณะที่อีกภารกิจสำคัญ คือติดตามจับกุมโจรผู้ร้ายมาดำเนินคดี หลายคดีอุกฉกรรจ์คลี่คลายแล้ว ทั้งคดียิงร่างทรง คดียิงวิศวกร คดีฆ่าเสี่ยร้านตัดสูท "เงาะ" ชิงสร้อยทอง 3 บาท คดีฆ่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2 ราย และล่าสุดจับกุมผู้ต้องหาชิงเงินธนาคารกสิกรไทย สาขานิคมลาดกระบัง ได้แล้ว
ซึ่ง พล.ต.ต.พิสิฏฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานสืบสวน บอกว่า ตำรวจมีงานป้องกันอาชญากรรมเป็นหลัก แต่เมื่อคดีเกิดขึ้นต้องพยายามจับกุมให้ได้ 
"นอกจากสิ่งแรกที่นักสืบต้องให้ความสำคัญที่สุดคือ สถานที่เกิดเหตุแล้ว สิ่งสำคัญที่นักสืบต้องมี คือ จริงจัง จริงใจ ฉลาดมีไหวพริบ เอาใจใส่ เกาะติด หลายคดีสำเร็จด้วยความอุตสาหะ บางครั้งไม่ต้องเก่งมากมาย แต่ต้องไม่ทิ้งงาน ต้องนั่งคิดทุกวันว่าคนร้ายทำอะไรและจะแกะออกได้อย่างไร 
"คดีชิงทรัพย์ธนาคารกสิกรไทย สาขานิคมลาดกระบัง ตำรวจตรวจสอบกล้องซีซีทีวี ระยะทางยาวถึง 20 กิโลเมตร กว่าจะพบผู้ต้องสงสัย ต้องดูไม่รู้กี่ร้อยกล้อง และต้องดูอย่างละเอียดทุกตัว ขอชื่นชมฝ่ายสืบสวนทุกคน"
พล.ต.ต.พิสิฏฐ์ บอกด้วยว่า มีการประเมินผลการทำงานตลอด ไม่ใช่เฉพาะคดีใหญ่ๆ ที่สื่อมวลชนสนใจเท่านั้น คดีเล็กๆ ที่กระทบต่อประชาชน เช่น คดีผู้หญิงถูกทำร้ายที่ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ หรือคดีทุบกระจกรถ ก็ประเมิน
"งานสืบสวนของ บช.น. ถือว่าน่าพอใจ ช่วยกันสืบ ช่วยกันจับ ทุกคนแข่งกันทำงาน ทั้ง บก.สส. กองสืบ บก.น. 1-9 หรือแม้แต่โรงพัก แต่ก็ยังมีที่ยังไม่เหมาะสม ไม่ตื่นตัวเท่าที่ควร งวดหน้าอาจให้ไปโบกรถหรือไปอยู่งานมวลชนสัมพันธ์ เพราะไม่เหมาะกับการดูแลคุ้มครองประชาชน ไม่เหมาะจะเป็นนักสืบ" รอง ผบช.น. ลั่น

นอกนี้ พล.ต.ต.พิสิฏฐ์ สะท้อนภาพการเกิดอาชญากรรมที่เปลี่ยนแปลงไปโดยใช้คำว่า "แปลกประหลาด"
"เมื่อก่อนไม่มีแบบนี้ เดี๋ยวนี้อายุ 14-15 ปี ก็ฆ่าแกงกันได้โดยไม่มีเหตุผล จี้ชิงทรัพย์เขากลัวก็ให้ แต่ดันไปฆ่าเขา ติดคุกไม่นานก็ออกมาก่อคดีอีก เรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข" พล.ต.ต.พิสิฏฐ์ ทิ้งท้าย 
จากนี้คงต้องติดตามวงรอบปฏิทินการเกิดอาชญากรรมเมืองกรุงในอนาคตว่าการปรับแผน ขันนอต ระลอกนี้จะช่วยลดยอดคดีได้จริงหรือไม่?!!



.