http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-05-25

สภาพัฒน์ แบงก์ชาติ ว่า ศก.“ฟื้น”, ลึกไม่ลับ 25พ.ค.55

.
คอลัมน์ เทศมองไทย - เศรษฐกิจกับตัวเลข และประเทศไทย
รายงาน - จาก ภาพฉาว ถึง ภาพหมู จาก ปรองดอง ถึง งบฯ กลาโหม จาก "แม้ว" ถึง กองทัพ จาก "ประยุทธ์" ถึง ขบวนการล้ม "บิ๊กตู่"
คอลัมน์ โล่เงิน - สะพัดซื้อเก้าอี้ "ผกก.แม่สอด" หางเลข "ผกก.ไทรงาม" ปล้นเงิน ปมร้อนเขย่าซ้ำ "สำนักปทุมวัน"
คอลัมน์ อาชญากรรม - ทยอยคืนยุติธรรม 18 ศพเหยื่อ จนท.รัฐ ขึ้นพิจารณาชั้นศาล ตามหา "คนสั่งฆ่า" โดย อาชญา ข่าวสด

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

สภาพัฒน์ แบงก์ชาติ ประสานเสียง เศรษฐกิจ“ฟื้น” สวนกับ ประชาธิปัตย์
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1658 หน้า 8


ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประมาณการเศรษฐกิจไทยเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม แล้วปรับเพิ่มการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2555 เป็นร้อยละ 6 
จากครั้งก่อนหน้านี้ที่คาดจะขยายตัวร้อยละ 5.7 
นี่นับเป็นเรื่องเหลือเชื่ออยู่แล้ว แต่เมื่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ศสช.) ออกมาแถลงว่า 
เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ขยายตัวอย่างอ่อนๆ แค่ร้อยละ 0.3  
แต่แนวโน้มเศรษฐกิจทั้งปี 2555 ประเมินว่าจะยังคงขยายตัวร้อยละ 5.5-5.6 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.5-4 

สร้างความตื่นเต้นให้กับ นายทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นอย่างมาก ถึงกับยอมรับว่า 
"เป็นตัวเลขการขยายตัวที่สูงกว่าการประมาณการของธนาคารแห่งประเทศไทย เพราะในการประมาณการเศรษฐกิจล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 จะขยายตัวติดลบร้อยละ 1.7" 

นี่ย่อมเป็นประมาณการอันแตกต่างไปจากที่ดังมาจากพรรคประชาธิปัตย์


การประชุมของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมนั้น เป็นการประชุมเพื่อทำรายงานถึงแนวโน้มเงินเฟ้อ 
แต่สิ่งที่ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันก็คือ 
ขณะนี้เห็นชัดแล้วว่า ตัวเลขของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการฟื้นตัวของภาคการผลิต ปรับตัวดีกว่าที่คาดไว้จากเดิมที่คาดไว้ว่าการฟื้นตัวหลังน้ำท่วมจะเกิดขึ้นเต็มที่ในไตรมาสที่ 3 ของปี แต่ในขณะนี้หลายภาคอุตสาหกรรมกลับมาผลิตเต็มกำลังแล้ว 
ขณะที่ภาคที่ถูกกระทบมาก เช่น รถยนต์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และวงจรอิเล็กทรอนิกส์ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด

นอกจากนั้น ในส่วนของการใช้จ่ายของภาคเอกชนและการสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายจากภาครัฐบาลด้วยมาตรการต่างๆ ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี รายได้ของประชาชนยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น 
เช่นนี้เอง นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย จึงฟันธง 
"ขณะนี้เห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยชัดเจนทั้ง 4 ด้าน ทั้งด้านการผลิต การใช้จ่าย การลงทุน และการส่งออก โดยด้านการอุปโภคบริโภคและการลงทุน ตัวเลขล่าสุดขยายตัวสูงกว่าในช่วงก่อนเกิดอุทกภัย"

นี่ย่อมสวนทางกับความเห็นอันมาจากพรรคประชาธิปัตย์ อันมาจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อันมาจาก นายกรณ์ จาติกวณิช



จากนี้จึงเห็นได้ว่า การเสนอคำขวัญ "แพงทั้งแผ่นดิน" อันเคยกระหึ่มในเบื้องต้นเริ่มแผ่วลงๆ เป็นลำดับ 
มิได้แผ่วลงเพราะกระแส "ถูกทั้งแผ่นดิน" กลบทับ 
หากแต่แผ่วลงเมื่อทั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประสานเสียงตรงกัน 
ตรงกันว่า เศรษฐกิจฟื้นตัว

เป็นการฟื้นตัวขณะที่มีเงินกว่า 350,000 ล้านบาทรอการไหลลงไปเพื่อการบริหารจัดการน้ำและการสร้างอนาคตประเทศ 
นี่คือปัจจัยผลักดันอันทรงพลานุภาพ 



++

คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ  โดย จรัญ พงษ์จีน 
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1658 หน้า 8


ความพ่ายแพ้จากศึกเลือกตั้งในจังหวัดปทุมธานี 2 กรรม 2 วาระซ้อน คือ "ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี" ลาออกจาก ส.ส.เขต 5 แล้วไปลงชิงชัยนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในนามพรรคเพื่อไทย และแพ้หมดรูปต่อ "นายชาญ พวงเพ็ชร์" อดีตนายก อบจ. คนเดิม
กับกรณี "นายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์" ผู้สมัคร ส.ส. เลือกตั้งซ่อม แทน "ว่าที่ ร.ต.สุเมธ" สังกัด "เพื่อไทย" พ่ายต่อมวยโนเนม "เกียรติศักดิ์ ส่องแสง" ผู้สมัครจากประชาธิปัตย์ 
ปราชัยทั้งๆ ที่ว่า จังหวัดปทุมธานี คือฐานที่มั่นใหญ่ของพรรคเพื่อไทย และ "คนเสื้อแดง" มีอิทธิพลในพื้นที่เลือกตั้งค่อนข้างสูง ย่อมถือว่า เสียหาย และเสียหน้าเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่ศึกเลือกตั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เครือข่ายระบอบทักษิณ กวาดที่นั่งไปเรียบวุธ

จากศึกเลือกตั้งเมืองปทุม มีการตามไปดู ศึกชิงนายก อบจ. จังหวัดเชียงราย และอุดรธานี กันตาไม่กะพริบ 
"เชียงราย" เป็นเสมือนหนึ่งเมืองหลวงของ "เสื้อแดงภาคเหนือ" เช่นเดียวกับ "อุดรธานี" เป็นเมืองหลวงในภาคอีสาน
นายก อบจ.เชียงราย ได้ฤกษ์ลั่นกรองรบในวันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม ส่วนนายก อบจ.อุดรฯ นัดชิงดำกันในวันที่ 17 มิถุนายน

พรรคเพื่อไทยส่ง "สลักจฤฏดิ์" หรือ "สลักจิต" ติยะไพรัช" ภรรยาของ "ยงยุทธ ติยะไพรัช" ลงสมัครรับเลือกตั้ง สู้กับ "แชมป์เก่า" คือ "รัตนา จงสุทธนามณี" นายก อบจ. คนเก่าซึ่งถึงวาระครบเทอม
จริงอยู่ตระกูล "จงสุทธนามณี" ยึดเมืองเชียงรายมายาวนาน ทั้งสนามระดับชาติ และสนามเล็ก คือ เป็นทั้ง ส.ส.-สจ.-นายก อบจ. นายกเทศบาล
"ติยะไพรัช" เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง สนามใหญ่ "ยงยุทธ" กุมอำนาจไว้เสร็จสรรพ เพราะเป็นคนใกล้ชิด "นายใหญ่ดูไบ" 
การผันตัวเองจากสนามระดับชาติ คือ ส.ส. และ ส.ว. ของ "สลักจฤฏดิ์" ดูทุกองคาพยพแล้ว แม้จะมือใหม่ ในฐานะ "ผู้ท้าชิง" แต่กลับได้เปรียบกว่า 
ปัญหามีอยู่ว่า "สลักจิต" ลงสมัครในฐานะตัวแทนพรรคเพื่อไทย มีก้างขวางคอชิ้นเขื่อง เพราะ "สฤษฎิ์ อึ้งอภินันท์" ส.ส.เก่า พรรคเพื่อไทย กับ "น.ส.พนิดา มโนธรรม" แกนนำกลุ่มเชียงรายตะวันแดง ลงประกบด้วย
ทำให้ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย กับฐานเสื้อแดง ขาดเอกภาพ แตกออกเป็น 2-3 เสี่ยง ส่งผลให้ "รัตนา จงสุทธนามณี" ที่เป็นรอง ดีขึ้นโดยอัตโนมัติ

เช่นเดียวกับ เลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ปรับเปลี่ยนมติ ป้องกันการพ่ายแพ้อยู่ 2-3 รอบ ท้ายสุดตัดสินใจส่ง "วิเชียร ขาวขำ" ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลงชิงชัย 
ลำพังดวลเดือดกับ "หาญชัย ทีฆธนานนท์" นายก อบจ.เก่าที่ครบเทอม ก็หนักหน่วงเป็นทุนอยู่แล้ว ยังต่อสู้กับคนกันเองจาก "เพื่อไทย-เสื้อแดง" อีก 
เพราะศึกเลือกตั้ง อบจ.อุดรธานีคาบนี้ ยังมีเครือข่าย "เพื่อไทย-คนเสื้อแดง" ลงแย่งคะแนนกันคึกคักประกอบด้วย "น.ส.โอปอล์ หัตถสงเคราะห์" ลูกสาวของ "กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์" กับ "ประมินทร์ พิมานเมฆินทร์" ลูกชายของ "พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆินทร์" ล้วนแล้วแต่เป็น ส.ส.อุดรฯ พรรคเพื่อไทย 
ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน "เพื่อไทย" เสียรังวัดมาหนหนึ่งแล้ว เมื่อครั้ง "สมพล ศรีปัตติวงศ์" ที่แกนนำบางคนให้การสนับสนุน แพ้ให้กับ "อิทธิพนธ์ ศรีวัฒนสุวรรณ" ชิงนายกเล็ก

การเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงราย และนายก อบจ.อุดรธานี หากโรคระบาดจาก "ปทุมธานี" ไปถึง หมายความว่า ทั้ง "สลักจฤฏดิ์ ติยะไพรัช" และ "วิเชียร ขาวขำ" พ่ายให้กับ "รัตนา จงสุทธนามณี" และ "หาญชัย ทีฆธนานนท์" ถือว่าเสียหายต่อพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงใหญ่หลวงเลยทีเดียว



ข่าวคราวเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือผู้ว่าฯ กทม. แม้ว่า "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" ยังมีเวลาบริหารเสาชิงชาอยู่อีกนานหลายเดือน แต่กลับมีข่าวเล็ดลอดออกมาเล่าสู่กันฟังตลอด 
บางกระแสลือสะพัดว่า "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เกิดบริโภคเกาเหลากับ "คุณชายสุฯ" มีแนวโน้มจะสลับร่าง หาคนใหม่มาลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. สืบแทน 
"ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์" เลยประกาศเสียงดังฟังชัด ผ่านคนกันเองว่า กรณีพรรคต้นสังกัดไม่ส่ง จะฉีกตัวไปลงสมัครในนามอิสระ เพราะมั่นใจในฐานเสียงของตัวเอง ช่วงที่ชนะเลือกตั้งเข้ามาบริหาร กทม.

บ้างก็ว่า ตัวตายตัวแทน คนใหม่ที่มาชิงดำ ผู้ว่าฯ กทม. ประชาธิปัตย์บางส่วน เชียร์ "องอาจ คล้ามไพบูลย์" ส.ส. หลายสมัย ที่ฐานเสียงดีเยี่ยม
ผู้สมัคร ชิงผู้ว่าฯ กทม. ไม่เพียงพรรคประชาธิปัตย์ จะมีปัญหาพรรคเดียว ค่าย
"เพื่อไทย" เอง จนป่านนี้แล้ว ยังสรุปไม่ได้ว่า จะส่งใครลงชิงชัย


เต็งหนึ่ง "คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" ก็สองจิตสองใจ ไม่อยากเสี่ยง แพ้เป็นคำรบที่สอง เลยหลบๆ เลี่ยงๆ 
มีบางคนเสนอแนะ "นายใหญ่ดูไบ" ว่า เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในปี 2556 น่าจะดึงมวยใหญ่ จากประชากรบ้านเลขที่ 111 ที่จวนเจียนจะพ้นโทษแบนในไม่กี่วันข้างหน้า อาทิ "จาตุรนต์ ฉายแสง-พงศ์เทพ เทพกาญจนา-วราเทพ รัตนากร" อะไรทำนองนั้น มาลงสมัคร 
แต่ยังไม่ได้บทสรุปที่แน่ชัด "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" กำลังส่องกล้องหาบิ๊กเนมอยู่  

บุคคลที่น่าจับตายิ่งอีกหนึ่งรายในช่วงนี้ คือ "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พี่ชายของ "คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์" 
"พล.ต.อ.เพรียวพันธ์" เข้ามาเป็น ผบ.ตร. ช่วงปลายปี 2554 และจะเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้แล้ว
เข้ามาเป็น ผบ.ตร. ไม่ทำให้กองเชียร์ผิดหวัง โชว์ฟอร์มระดับเทพในหลายเรื่อง ที่โดดเด่นสุดคือจับ-ปราบปรามยาเสพติด สร้างผลให้ได้ยอดเยี่ยม ชงให้ชื่อเสียงผงาดขึ้นมาไม่น้อย

ปรับ ครม. "ปู 3" มีพรายกระซิบว่า เขาน่าจะเป็นหนึ่งที่มีชื่อติดโผรัฐมนตรี ไม่ระดับว่าการ ก็ต้องรองนายกฯ
หรือกรณีที่ไม่ติดทำเนียบนามในรัฐบาล "ปู 3" นั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ อาจจะตกเป็นหนึ่งตัวเลือก ที่ "นายใหญ่" และ "น้องหญิงจันทร์ส่องหล้า" เซฟตัวไว้ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ในปีหน้า

โปรดจับตาดูว่า "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์" จะลงตัวตรงไหนหลังเกษียณในเดือนตุลาคม 2555




+++

เศรษฐกิจกับตัวเลข และประเทศไทย
คอลัมน์ เทศมองไทย ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1658 หน้า 102


รายงานประเมินสภาวะเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกของธนาคารโลก เผยแพร่ออกมาเมื่อ 23 พฤษภาคม ในช่วงเวลาพอเหมาะพอดีกับที่สถานการณ์ในหลายๆ ด้านกำลังเข้าเมือกเข้าไคล ยุโรปกำลังป่วนกันแบบฝุ่นตลบ จีนเพิ่งประกาศนโยบายให้น้ำหนักในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ในขณะที่สหรัฐอเมริกาดูเหมือนเศรษฐกิจยังโตได้ไม่ทันใจใครต่อใครหลายคน 
น่าสนใจมากที่ในยามที่ 3 ภูมิภาคหลักของโลก อีนุงตุงนังขนาดนี้ รายงานของธนาคารโลกยังประเมินสภาวะเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกในปีนี้ไว้ค่อนข้างดี แม้จะปรับลดลงบ้างก็ตาม
เอเชียตะวันออกในความหมายของเวิร์ลด์แบงก์นั้น นอกจาก 10 ชาติอาเซียนที่มีไทยรวมอยู่ด้วยแล้วยังกินความรวมถึงจีนและเกาหลีใต้ โดยที่ไม่รวมเอา ญี่ปุ่น กับ อินเดีย เข้าไว้ในการจัดกลุ่มดังกล่าวนี้

ธนาคารโลกประเมินว่าเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกที่ว่านี้ จะขยายตัวในระดับที่ลดลงแต่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 7.6 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ เมื่อเทียบกับ 8.2 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา
ส่วนอัตราการขยายตัวของประเทศในเอเชียตะวันออก ไม่รวมจีนนั้น ธนาคารโลกคาดว่าน่าจะขยายตัวราว 5.2 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 4.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่ผ่านมา โดยมีการฟื้นตัวจากภาวะน้ำท่วมใหญ่ในไทยเป็นปัจจัยสำคัญ
ในส่วนของจีนซึ่งการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลงมาอยู่ที่ 8.1 เปอร์เซ็นต์ต่ำที่สุดในรอบ 3 ปีนั้น ธนาคารโลกคาดว่าจะขยายตัวทั้งปีราว 8.2 เปอร์เซ็นต์และน่าจะเพิ่มเป็น 8.6 เปอร์เซ็นต์ในปี 2556 ตัวเลขที่ว่านี้ปรับลดลงเล็กน้อยจากการประมาณการครั้งที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 8.4 เปอร์เซ็นต์ 
แต่ถ้านำไปเทียบกับระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมาแล้วต่างกันสุดกู่ เพราะในปีที่แล้วนั้น จีนสามารถขยายตัวถึง 9.2 เปอร์เซ็นต์


ประเด็นที่น่าสนใจก็อยู่ตรงเรื่องของจีนนี่แหละครับ เพราะรายงานของธนาคารโลกชี้ไว้ชัดเจนว่า ถ้าเศรษฐกิจจีนลดลงในระดับ "เกินความคาดหมาย" แล้วละก็ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกทั้งภูมิภาคจะมีปัญหา 
เหตุผลที่นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกยกมาก็คือ 40 เปอร์เซ็นต์ของสินค้าออกจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกทั้งหมด เป็นการส่งออกไปสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ทั้ง 3 ตลาด มีปัญหาอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นในเวลานี้ ดังนั้น ถ้าหากจีนเดี้ยงไปอีกราย เรามีปัญหาแน่นอน 
จริงอยู่ ในรายงานชิ้นนี้ ยอมรับว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกส่วนใหญ่ อยู่ในสภาพที่ดีในการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ปั่นป่วนจากยุโรปที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามมาในอีกไม่ช้าไม่นาน บางประเทศหันมาใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินกันแล้วด้วยซ้ำไป

แต่รายงานชิ้นเดียวกันนี้ เตือนให้ระวังความเสี่ยงจาก "อัตราเงินเฟ้อ" ที่ในทางหนึ่งเกิดขึ้นจากราคาพลังงาน ในอีกทางหนึ่งเกิดขึ้นจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ดังนั้น ผู้กำหนดนโยบายจึงควรเตรียมพร้อมยกเลิกการผ่อนคลายที่ว่านี้ให้ทันท่วงที  
เมื่อดูจำเพาะเจาะจงลงไปเป็นรายประเทศ ในบรรดาชาติอาเซียนสำคัญๆ ด้วยกัน อินโดนีเซียจะขยายตัวในปีนี้สูงสุดที่ 6.1 เปอร์เซ็นต์ และจะปรับสูงขึ้นอีกเป็น 6.4 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้า ไทยกับมาเลเซียจัดว่าอยู่ในระดับไล่เลี่ยกัน มาเลเซียปีนี้จะอยู่ที่ 4.6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปีหน้า 5.1 เปอร์เซ็นต์

ไทยเราปีนี้อยู่ที่ 4.6 เปอร์เซ็นต์ ก่อนที่จะขยับขึ้นอีก 5 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้า เช่นเดียวกับ ฟิลิปปินส์ ขยายตัวอยู่ที่ 4.2 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้และ 5 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้าเช่นเดียวกัน

ทั้งหมดนั่นอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า ตลาดโลกยังคงชะลอตัวไม่ขยับขยายมากไปกว่านี้ และการขยายตัวในประเทศของแต่ละประเทศขึ้นอยู่กับการกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายใน กับการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นสำคัญ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การกระตุ้นและอัดฉีดที่ว่านี้ต้องไม่ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องชวนกังวลมากที่สุดของธนาคารโลกในเวลานี้ครับ



+++

จาก ภาพฉาว ถึง ภาพหมู จาก ปรองดอง ถึง งบฯ กลาโหม จาก "แม้ว" ถึง กองทัพ จาก "ประยุทธ์" ถึง ขบวนการล้ม "บิ๊กตู่"
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1658 หน้า 16


หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยมีประกาศิตต่อบรรดานายทหารแกนนำ ตท.10 และทหารแตงโมที่ไปพบเขาในหลายๆ แห่งก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะเมื่อครั้งไปกัมพูชา ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ให้ "หยุดแค้น" และ "ให้อภัย" เพื่อให้ประเทศเดินหน้าสู่ความปรองดองได้มาแล้ว 
คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประกาศต่อหน้าคนเสื้อแดง เมื่อ 19 พฤษภาคม ในโอกาสรำลึกครบรอบ 2 ปี เหตุสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์ เพื่อให้ลืมความแค้น และยังอ้างว่าเป็นความเข้าใจผิด เพื่อเรียกร้องให้ปรองดองนั้น ไม่ได้ทำให้ฝ่ายกองทัพ แปลกประหลาดใจ 
ด้วยเพราะก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ รุกคืบในการต่อสายเคลียร์กับทั้งแกนนำอำมาตย์ และผู้นำกองทัพ มาตลอด
จนมีสัญญาใจ 2 ข้อ คือ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย จะไม่แทรกแซงก้าวก่าย ไม่ล้วงลูกกองทัพ แต่กองทัพก็ต้องเป็นทหารอาชีพ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และเป็นกลไกของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อประชาชน

ถ้าจำกันได้ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยฝากข้อความเช่นนี้ ผ่านนายทหารที่สนิทสนมไปยังผู้นำเหล่าทัพ โดยเฉพาะบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พร้อมคำขอบคุณที่ช่วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในการแก้ปัญหาต่างๆ มาด้วยดี มาแล้ว 
อีกทั้งในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นี้ ไม่ได้ปรากฏความขัดแย้งที่รุนแรง ไม่มีการล้วงลูกการโยกย้ายทหาร ไม่ว่าจะในยุคของ รมว.กลาโหม ที่แสนใจดี อย่าง บิ๊กอ๊อด พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา หรือมาในยุคทหารอากาศสายเหยี่ยว อย่าง บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เพื่อนรักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่แตะต้องกองทัพ 
ตรงกันข้ามมีแต่ภาพของความหวานชื่น ใกล้ชิดสนิทสนมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับผู้นำกองทัพ โดยเฉพาะกับ พล.อ.ประยุทธ์ จนกลายเป็น ผบ.ทบ. คู่บุญนายกรัฐมนตรีหญิงไปแล้ว



แต่ปัญหาประการหนึ่ง คือ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการปรองดองกับกองทัพ แต่คนเสื้อแดง ซึ่งรอดชีวิตจากคมกระสุนทหารมา บ้างก็ต้องบาดเจ็บและสูญเสีย นั้น ไม่ต้องการปรองดองกับทหาร แต่ต้องการเอาคนที่สั่งปราบปรามคนเสื้อแดงมาลงโทษ
แล้วยิ่งทำให้กระแสการต่อต้านกองทัพยิ่งแรงขึ้น เพราะดูเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการจะให้คนเสื้อแดงลืมและให้อภัย กรณี 91 ศพ ต่อทั้งอำมาตย์ และกองทัพ 
อีกทั้งบทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่คอยเป็นพระเอก ช่วยเหลือนางเอกปู มาตลอด จึงยิ่งทำให้กองทัพถูกผลักไสให้เป็นพวกเดียวฝ่ายเดียวกับรัฐบาล และส่งผลให้มิตรในฝ่ายสีเหลือง ฝ่ายอำมาตย์ เริ่มไม่ชอบทหาร และอาจกลายมาเป็นศัตรู 
เพราะมีทั้งความไม่พอใจในท่าทีของกองทัพ ที่จะอ่อนให้กรณีพื้นที่โดยรอบปราสาทเขาพระวิหาร เพราะมีแนวโน้มว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย จะตกลงกับ สมเด็จฮุน เซน ที่จะให้เร่งปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก ที่ให้ถอนทหาร และให้ผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดนีเซียเข้าไปดูแล 
พล.อ.ประยุทธ์ เองก็พยายามที่จะไม่ชน ไม่ปะทะ หรือมีความขัดแย้งกับรัฐบาล และคนเสื้อแดง 
แม้ว่าจะไม่ค่อยแฮปปี้และเคลือบแคลงแนวทางแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของพรรคเพื่อไทย ทั้งเขตปกครองพิเศษ และการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนทางยุทธศาสตร์ และการให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นหลักก็ตาม แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องทำใจ แต่ก็หาทางออก ด้วยการเจรจากับ บิ๊กอ๊อด พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ในการใช้กลไก กอ.รมน. ให้มากขึ้น

ยิ่งเรื่องการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง ด้วยแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ติงๆ แค่ว่า ไม่ควรไปตั้งในพื้นที่ภาคใต้เพราะสถานการณ์ยังไม่สงบ แต่ในภาพรวมแล้วเขาเลี่ยงที่จะวิจารณ์ ตรงกันข้าม กลับระบุว่า "ทหารก็ไปดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร" และย้ำว่า "ก็เขายังไม่ทำเรื่องอะไรเลย ก็ว่ากันไป" 
แม้แต่ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. ก็เลี่ยงที่จะวิจารณ์หมู่บ้านเสื้อแดง "ผมไม่รู้ระบบการจัดตั้ง ก็แล้วแต่เจตนา ถ้าดีก็ดี" 

ขณะที่ทั้ง บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. และ บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ก็พยายามหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์ในประเด็นที่เกี่ยวกับการเมือง อย่างเห็นได้ชัด 
ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และการปรองดองด้วยแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ สั่งการในที่ประชุม ทบ. เลยว่า ให้หลีกเลี่ยงการพูดถึง ทั้งตัวเขาเอง และ ผบ.หน่วย ไม่ว่าในที่ประชุม ที่เปิดเผย หรือในวงสนทนาส่วนตัว เพราะเขารู้ดีว่า หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง ไม่มีความลับในโลก
ขนาดว่า พล.อ.ประยุทธ์ ขู่ลูกน้องไม่ให้นำเรื่องในที่ประชุมไปแพร่งพรายให้นักข่าวรู้ "ถ้าผมรู้ว่าเป็นใคร ผมจะงดบำเหน็จเลย ที่จะก้าวหน้าก็จะไม่ก้าวหน้า" บิ๊กตู่ กล่าว



ด้วยสถานการณ์การเมืองที่ร้อนขึ้น ก็ทำให้กองทัพร้อนไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อถูกย้ำ "แผลเก่า" เรื่องงบประมาณกลาโหม ที่เมื่อครั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่ก็ถูกมองว่า พรรคประชาธิปัตย์ เอาใจทหาร ตอบแทนกองทัพที่ช่วยปราบปรามเสื้อแดง ให้รัฐบาลอยู่รอดมาได้ 
มารัฐบาลยิ่งลักษณ์ งบประมาณกลาโหมปี 2556 ที่เพิ่มจากปีก่อน 1.68 แสนล้านบาท เป็น 1.8 แสนล้านบาท นั้น ก็ถูกมองว่าเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เอาใจกองทัพ และตอบแทนทหารที่ไม่ปฏิวัติ วางตัวดี และช่วยงานรัฐบาลมาตลอด จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ อารมณ์เสีย 

แต่ทว่า งบฯ กลาโหมปีนี้ ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่า มีการตั้งงบประมาณ 1.45 หมื่นล้านบาท ในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน ที่มากขึ้น ทั้งๆ ที่สถานการณ์สงบกว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีม็อบเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวตลอด
ทั้งๆ ที่งบประมาณในการรักษาความสงบฯ ของปีที่แล้ว ยังไม่เรียบร้อยดี เพราะที่ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ในยุครัฐบาล ปชป. ไฟเขียวไว้ แต่พอมาเสนอไปยัง พล.อ.อ.สุกำพล รมว.กลาโหม ก็ยังไม่ยอมเซ็นอนุมัติ จนกลายเป็นเรื่องคาใจเล็กๆ ลึกๆ ระหว่าง น้องตู่ กับ พี่โอ๋ 
ที่สำคัญคือ แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นไปด้วยดี ต่างจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่มีการยิงปะทะ ทำสงครามย่อมๆ กับเขมร แต่งบประมาณการป้องกันประเทศก็เพิ่มสูงขึ้น จาก 1.65 เป็น 1.77 แสนล้านบาท  
แถมมีข่าวว่าแผนการระดมกำลังทหารไปอุดที่ชายแดนรอบปราสาทพระวิหาร ตามแผนป้องกันประเทศนั้น ก็ทำให้รัฐบาลไม่พอใจนัก จนทำให้เกิดปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณ เบี้ยเลี้ยงทหาร ที่ยังไม่มีจ่ายให้ทหารราว 2 พันนาย เดือนละ 30 ล้านบาท มาหลายเดือน ตั้งแต่ตุลาคม 2554 จนทหารส่งเรื่องร้องเรียนกันกระหน่ำ 
ที่น่าสังเกตคือยังมีงบประมาณเพิ่มขึ้น ตามแผนการสร้างความปรองดองความสมานฉันท์ และฟื้นฟูประชาธิปไตย ของแต่ละเหล่าทัพ รวมเกือบร้อยล้านบาท ซึ่งอาจจะดูเป็นงบฯ แปลกใหม่ ฉวยตามสถานการณ์และนโยบายรัฐบาล 
แต่วงในระบุว่า เป็นแผนงานที่ตั้งขึ้นตามแผนงานของรัฐบาล โดยเอาตัวเงินไว้ก่อน แล้วค่อยเขียนรายละเอียดในภายหลัง

โดยเฉพาะงบฯ ปรองดองของ ทบ. ซึ่งเป็นเหล่าทัพใหญ่ที่สุด มากถึง 30 ล้านบาท ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า ทบ. ซึ่งถูกมองว่าเป็นอุปสรรคของระบอบประชาธิปไตยนั้นจะทำอะไรบ้างในการสร้างปรองดองและฟื้นฟูประชาธิปไตย



ในระยะหลังๆ นี้ พล.อ.ประยุทธ์ รู้สึกตัวว่ากำลังกลับมาเป็นเป้า เป็น ตำบลกระสุนตก อีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีการแพร่ภาพทหารเซ็กซ์หมู่ในหน่วยทหาร และพื้นที่ทหาร ในเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย จนกลายเป็นข่าวหน้า 1 ต่อเนื่องมาหลายวัน โดยเฉพาะมีการแพร่กระจายในหมู่คนเสื้อแดง และคอมเมนต์กันอย่างรุนแรง ทั้งต่อทหารในภาพรวมและตัว ผบ.ทบ. 
จนต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ ที่ก็เคลียร์ได้แต่ภาพที่เกิดในบ้านพักสวัสดิการทหาร ม.พัน 26 บนเขาค้อ ซึ่งไม่ใช่หน่วยทหาร เท่านั้น แถม 3 ทหารเกณฑ์ก็ปลดประจำการไปแล้วเอาผิดไม่ได้ ส่วนภาพบุฟเฟ่ต์หมู่ในกองร้อยนั้น ยังหาไม่ได้ว่าเป็นหน่วยไหน จน ทบ. กำลังสงสัยว่าอาจเป็นหน่วยอื่น เช่น บก.กองทัพไทย 
จากนั้นมีการนำคลิปทหารเกณฑ์กับสาวจ้ำบ๊ะเปลือยกาย ในงานเลี้ยงปลุกใจเสือป่า หลังกลับจากการฝึกภาคสนาม ของหน่วยกำลังรบใน จ.ลพบุรี ออกมาเผยแพร่ ทั้งๆ ที่เป็นภาพเก่าเกือบสิบปีแล้ว ที่เป็นเรื่องที่รับรู้กันมานาน แต่พอนำมาออกสื่ออย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังสงสัยว่า มีขบวนการทำลาย และดิสเครดิตกองทัพ โดยเฉพาะตัวเขาเอง ที่ต้องเป็น ผบ.ทบ. จนถึงปี 2557 อยู่

ยิ่งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ไม่ใช่การข่มขืน และเป็นการสมยอม หรือฝ่ายหญิงนั้นไม่ปกติ ประมาณว่า อยากมีกิจกรรมกับทหาร ก็ยิ่งทำให้ถูกโจมตี 
บ้างก็มองว่า เป็นความพยายามจากบางฝ่ายที่จะเบี่ยงเบนประเด็นข่าว ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กำลังถูกโจมตีเรื่องของแพง เพราะข่าวภาพฉาวนี้ยึดพื้นที่ข่าวไปไม่น้อย 
บ้างก็ว่า เป็นแผนในการเลื่อยขาเก้าอี้ พล.อ.ประยุทธ์ และทำลายภาพพจน์ ผบ.ทบ. ที่กำลังกลายเป็นฮีโร่ ตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา

"เป็นเรื่องธรรมดา ในขณะที่ทหารพยายามทำความดี มีแต่เรื่องดีๆ ก็ต้องมีมารมาผจญ" บิ๊กตู่ เคยเปรยไว้ หลังจากที่มีเรื่องรูปฉาวออกมา 
แต่ที่ฮือฮาสุด ก็เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ กระฟัดกระเฟียด แสดงความไม่พอใจที่สื่อลงภาพตัวเขาที่มีหัวหมูเครื่องเซ่นไหว้ เป็น foreground และมีการนำไปโพสต์ในโซเชียลมีเดีย

ยิ่งเมื่อถูกถามเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการปรองดอง พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งไม่อยากตอบเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็เอาเรื่องภาพมาเป็นเหตุ 
"สื่อต้องเริ่มทำก่อน และสื่อต้องทำให้ได้ ถือว่ามอบการบ้านให้สื่อไปดำเนินการก่อน ทำอย่างไรก็ได้ ให้บ้านเมืองปลอดภัย และทำอย่างไรให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน แต่ตราบใดที่ยังถ่ายรูปผม และเอารูปผมไปคู่กับอะไรซักอย่าง บอกไว้ก่อนว่า ผมรับไม่ได้" บิ๊กตู่ กริ้ว 

ด้วยเพราะก่อนหน้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ ถึงขั้นนำเรื่องนี้มาเปรยในที่ประชุม ทบ. ในเชิงตัดพ้อและน้อยใจ ประสมไม่พอใจ กับภาพหมูไม่ปรองดองนี้ 
"หรือเห็นว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม ไม่มีใครช่วยผมเลยรึไง ต้องให้ผมชี้แจงเอง พูดเองใช่ไหม มันเป็นการไม่ให้เกียรติผม ถ้าไม่ตั้งใจถ่ายมุมนี้ ก็ต้องจงใจเลือกรูปนี้" บิ๊กตู่ ลั่นกลางที่ประชุม ก่อนที่จากนั้น ลูกน้องจะโทรศัพท์ไปตำหนิสื่อที่นำภาพนี้ไปลง 
แม้ว่าภาพนี้จะแสดงให้เห็นความน่ารักของหมู และเป็นเรื่องของมุมกล้อง ที่เห็นกันทั่วๆ ไปก็ตาม แต่ พล.อ.ประยุทธ์ มองว่าเป็นการนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับหมู และเป็นการล้อเลียน หรือสื่อความหมายต่างๆ เพราะ ผบ.ทบ. ไม่ใช่หมู หรือ ผบ.ทบ. ท่านไม่ได้หมู

อย่าลืมว่า ทหารเสือฯ อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ นั้นเป็น ผบ.ทบ. ที่ไม่สมควรนำมาเปรียบเทียบกับหมูไหว้เจ้า หรือหมูเครื่องเซ่นสังเวย แต่การออกมาเต้นของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยิ่งทำให้ภาพภาพนี้เป็นที่สนใจและหาดูกันไม่แพ้ภาพฉาวนั่นเลย 
"ผมเป็น ผบ.ทบ. คุมทหารกว่า 2 แสนคน ผมไม่ใช่หมู ไม่ใช่หมานะ ที่สื่อจะมาเขียนด่า หรือไม่ให้เกียรติผม ผมต้องปกป้องศักดิ์ศรีกองทัพ และศักดิ์ศรีของตัวผมเอง" พล.อ.ประยุทธ์ เคยบ่นเรื่องนี้ หลังจากที่เคยถูกสื่อบางสำนักเขียนวิจารณ์


แต่ทว่า ความเด็ดขาด โผงผาง อารมณ์เสียของบิ๊กตู่ ก็มีทั้งผลดีอยู่ไม่น้อย เพราะเคยทำให้ฟอร์มการเล่นของทีมฟุตบอล Army United ดีขึ้น หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ปรี๊ดแตกกลางที่ประชุม ทบ. ต่อความพ่ายแพ้ในหลายเกม อย่างมากก็แค่เสมอ 
"ผมไม่ได้ทำทีมเพื่อให้แพ้ หรือแค่เสมอ จะต้องชนะ" บิ๊กตู่ กร้าว 
พร้อมกระแสข่าว ฮึ่มๆ ที่จะเปลี่ยนตัวนายทหารผู้จัดการทีม จนทำให้นัดที่แข่งกับ ชลบุรี เอฟซี ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไปดูด้วยตนเอง เชียร์เอง ชนะ 1 ต่อ 0 แถมทั้งบรรดานักฟุตบอล ก็ถูกกดดันอย่างแรงว่าต้องชนะเท่านั้น 
"ตอนนั้น ผมเป็นคนโทร.ไปบอกว่าให้ปรับแผนบ้าง ไม่ใช่ดันแต่กองกลาง ไม่บุกเลย" บิ๊กตู่ เปรยในวงประชุม อย่างพอใจ 
พร้อมทั้งเตือนอีกว่า แมตช์หน้าจะต้องชนะ อย่าประมาททีมที่จะแข่งด้วย อย่าไปคิดว่าเขาอ่อนกว่าเรา และที่สำคัญคือ ทีมทหารบก จะต้องเป็นสุภาพบุรุษ ห้ามไปมีเรื่องชกต่อยวิวาทกันในสนาม



เหรียญย่อมมี 2 ด้าน แต่อย่าลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์ นั้นเป็นปุถุชน ที่ย่อมมีความรู้สึกต่างๆ ยิ่งในยามที่การเมืองรุนแรง เขาก็ต้องตกเป็นเป้า จนเกิดความหวาดระแวงทุกอย่างไปเสียหมด ทั้งๆ ที่บางครั้งอาจเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้น แต่ก็ไปสงสัยว่า มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เป็นขบวนการต่างๆ 
ในเวลานี้ ไม่ใช่แค่ พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้นที่เป็นโรคหวาดวิตก ว่า กำลังถูกจับผิด ถูกโจมตี แต่บิ๊กๆ ใน ทบ. แม่ทัพนายกอง โดยเฉพาะ ตท.12 ทั้ง บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง ผบ.ทบ. และ บิ๊กนมชง พล.ท.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รอง เสธ.ทบ. เพื่อนรัก ที่รู้ตัวว่าถูกจับตามอง ก็ระวังตัวเหมือนกันหมด 
ยิ่งในยามที่โทรศัพท์มือถือที่มีกล้องถ่ายรูปแพร่หลาย และมีทหารแตงโมขยายพันธุ์มากขึ้นๆ ในกองทัพด้วยแล้ว อาจจะถูกถ่ายภาพ หรือถ่ายคลิป เมื่อใดก็ได้ 
จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่พูดเรื่องการเมือง หรือเรื่องสำคัญๆ ในที่ประชุม แต่จะเลือกพูดกับนายทหารที่สนิทสนมและเพื่อนซี้เท่านั้น

สถานการณ์การเมืองที่กรุ่นร้อนขึ้นนี้ และสถานการณ์ที่กองทัพกำลังเผชิญอยู่ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จะเรียกนายทหารระดับคุมกำลัง ตั้งแต่ผู้บังคับกองพัน ทั่วประเทศขึ้นไป มาประชุมพร้อมหน้า ในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ 
โปรดติดตามตอนต่อไป...



+++

สะพัดซื้อเก้าอี้ "ผกก.แม่สอด" หางเลข "ผกก.ไทรงาม" ปล้นเงิน ปมร้อนเขย่าซ้ำ "สำนักปทุมวัน"
คอลัมน์ โล่เงิน ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1658 หน้า 99


มีข้อคิดจากเหตุปล้นรถขนเงินอุกอาจเมื่อวันที่ 26 มีนาคม คนร้ายขับรถปิกอัพยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ศธ 6097 กรุงเทพมหานคร ใช้ปืนอาก้า และปืนพกสั้น ยิงถล่มรถขนเงินธนาคารกสิกรไทย บริเวณถนนสุขาภิบาล 1 ทางเข้าตลาดอินทร์บุรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เป็นเหตุให้ นายธเนศ วรยาโณ อายุ 35 ปี พนักงานประจำรถขนเงินถูกยิงบาดเจ็บสาหัส ขณะลำเลียงถุงเงินถุงแรกลงจากรถ ซึ่งกลุ่มคนร้ายคว้าถุงเงินไปได้ 1 ใบ ภายในมีเงิน 4.1 ล้านบาท 
ขณะโชเฟอร์รถขนเงินไหวตัวเร่งเครื่องหนีกระสุนมรณะที่สาดใส่ ทว่า โชคช่วยเหยื่อรอดได้หวุดหวิด เงินสดที่เหลืออยู่ในรถอีกประมาณ 13 ล้านบาทรอดเงื้อมมือโจรไปได้ 
ต่อมาพนักงานสอบสวน สภ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เจ้าของท้องที่ ขออนุมัติหมายจับ 7 คนร้าย ซึ่งศาลอนุมัติตามคำร้อง 
แต่ที่น่าตกตะลึง 2 ใน 7 ผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ

คนแรก ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรไทรงาม จ.กำแพงเพชร พ.ต.อ.พิจิตร กรมประสิทธิ์ และ ส.ต.อ.นารายณ์ ทิพย์ปรีชาธร ผบ.หมู่งานสืบสวน กก.สส.ภ.จว.นครสวรรค์ 
ผู้ต้องหาอีก 5 คน เป็นพลเรือน ประกอบด้วย นายคมกริช กล้าณรงค์ นายนิรุธ เพชรรัตน์ นายพรชัย พูลเกษม นายมนต์ธร หาวัน และ นายศิวัช วารี


หลังเกิดเหตุ 1 เดือนเศษ ตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 (บก.สส.ภ.1) ตามรวบ นายคมกริช นายนิรุธ และนายพรชัย ได้ ขณะที่นายศิวัช ทนการกดดันของเจ้าหน้าที่ไม่ไหวเดินทางเข้ามอบตัวในเวลาต่อมา 
จากการสอบสวนกลุ่มผู้ต้องหาที่จนมุมเปิดปากยอมรับกับเจ้าหน้าที่ว่า ร่วมปล้นกับ "นาย" 
"นาย" ที่กลุ่มลูกน้องซัดทอด คือ พ.ต.อ.พิจิตร ทำหน้าที่ขับรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า แอคคอร์ด สีบรอนซ์ทอง ติดตามคุ้มกันและดูผลงาน

ต่อมาตำรวจตามยึดรถคันดังกล่าวได้ที่ทุ่งนา ใน อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ห่างจาก สภ.ไทรย้อย จ.พิษณุโลก 6 กิโลเมตร 
ซึ่งทั้งรถปิกอัพยี่ห้ออีซูซุและรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า ล้วนติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอม เพื่ออำพรางความผิด 
หลังจากนั้นนายตำรวจใหญ่ที่ตกเป็นผู้ต้องหาติดต่อเข้ามอบตัว แต่สุดท้ายก็หนีหายเข้ากลีบเมฆ 
โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ระบุว่า พ.ต.อ.พิจิตร เผ่นเข้าประเทศพม่าแล้ว พร้อมสำทับด้วยข่าวเรื่องการตรวจสอบข้อมูลการติดต่อสื่อสารของ พ.ต.อ.พิจิตร ที่วนเวียนอยู่แถวๆ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เขตติดต่อกับชายแดนพม่า เช่นเดียวกับ ส.ต.อ.นารายณ์ มีข่าวว่าใกล้ชิดสนิทสนมกับนักการเมืองดังมายาวนานก็หายตัวไร้เงา 

ทว่า คดีปล้นสะเทือนวงการสีกากีครั้งนี้ มีคำถามตามมาว่า พ.ต.อ.พิจิตร นำเงินไปทำอะไร หากแผนการปล้นรถขนเงินสำเร็จตามเป้า กลุ่มคนร้ายจะได้เงินมากถึง 17 ล้านบาท



หลายข้อสันนิษฐานจึงถูกตั้งขึ้น ทั้งใช้หนี้ เล่นพนัน ปล่อยเงินกู้ 
หรือซื้อตำแหน่ง?! 

แม้ทั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. ที่ควบคุมคดี จะยืนยันว่ายังไม่มีพยานหลักฐาน และอย่าไปกล่าวหาใครลอยๆ 
หากแต่ปฏิบัติการปล้นรถขนเงิน ของ พ.ต.อ.พิจิตร จุดกระแสฝังใจเรื่องการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในวงการสีกากีขึ้นมาอีกครั้ง 
กระแสหนึ่งว่า พ.ต.อ.พิจิตร ติดหนี้หลายล้านหลังนำเงินมาซื้อเก้าอี้ ผกก.สภ.แม่สอด จ.ตาก แต่พลาดหวัง จนถังแตกไม่มีเงินใช้หนี้ทั้งต้นและดอกเบี้ย จึงลงมือปล้น 
และจากการตรวจสอบเชิงลึกของตำรวจพบว่า เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2554 พ.ต.อ.พิจิตร กู้เงินจากสหกรณ์ 1.5 ล้านบาท และจากธนาคารออมสิน 2 ล้านบาท รวมทั้งชุดสืบสวนสอบสวนกำลังตรวจสอบบัญชีธนาคาร 3 แห่ง จำนวน 6 เล่มของ พ.ต.อ.พิจิตร ด้วย

ไล่ย้อนเส้นทางชีวิตรับราชการของ พ.ต.อ.พิจิตร พบว่าเลื่อนตำแหน่งจาก รอง ผกก.ป.สภ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร ขึ้นเป็น ผกก.สภ.ไทรงาม นอกวาระแต่งตั้งประจำปีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2554 แทน พ.ต.อ.เกริกฤทธิ์ นิยมเสริม ที่ถูกยิงเสียชีวิตที่หน้าบ้านพัก 
กระทั่งถึงวงรอบการแต่งตั้งโยกย้ายวาระประจำปี 2554 ที่เพิ่งคลอดและมีผลไปเมื่อวันที่ 5 เมษายน มีการตั้งข้อสังเกตว่าวันลงมือปล้นประจวบเหมาะกับการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายพอดี 
ปฏิบัติการปล้นวันที่ 26 มีนาคม ตรงกับปฏิทินการแต่งตั้งเดิมที่กำหนดให้ทุกหน่วยประชุมพร้อมกันในวันนั้น 
โดยให้มีคำสั่งวันที่ 29 มีนาคม และให้มีผลในวันที่ 2 เมษายน แต่ต่อมา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ สั่งเลื่อนวันมีคำสั่งแต่งตั้งออกไป โดยให้มีคำสั่งพร้อมกันในวันที่ 31 มีนาคม แล้วมีผลใช้บังคับในวันที่ 5 เมษายน


กับข้อสังเกตเรื่องการซื้อขายตำแหน่ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ควรสืบสวนสอบสวนให้กระจ่าง เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยเก่า ตราบาปในใจสีกากีกว่า 200,000 นาย 
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2553 มีเรื่องร้องเรียนการซื้อขายเก้าอี้สีกากีหนาหู ปรากฏชื่อนายหน้านอกราชการรับวิ่งเต้น ชนิดไร้ใบเสร็จ 
มีการซื้อขายต่อรองเก้าอี้เป็นราคาบ้านและคอนโดมิเนียม หากเป็นทำเลทองราคาอาจสูงเทียบเท่าคฤหาสน์หลังงาม 
ร้อนถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ต้องตั้งเรื่องสอบ โดยทาบทาม พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อร้องเรียนเรื่องการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการตำรวจระดับสารวัตร (สว.) ถึงรองผู้บังคับการ (รอง ผบก.)

ต่อมา พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการ ผบ.ตร. ขณะนั้น สั่งรื้อบัญชีโยกย้ายระดับ สว.-รอง ผบก. ในสังกัด บช.ภ.2 พร้อมตั้งให้ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ขณะนั้น ไปรักษาการแทน ผบช.ภ.2 พร้อมจัดทัพปรับโผใหม่ 

คำถามคือ สีกากียุคนี้ ยังคงมีการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งอีกหรือไม่ วงจรอุบาทว์ถูกสลายไปหรือยัง หรือยังคงแทรกซึมลึกอยู่ทุกอณู กรณี พ.ต.อ.พิจิตร จึงเป็นโมเดลที่ต้องการคำตอบ!!



+++

ทยอยคืนยุติธรรม 18 ศพเหยื่อ จนท.รัฐ ขึ้นพิจารณาชั้นศาล ตามหา "คนสั่งฆ่า"
โดย อาชญา ข่าวสด  คอลัมน์ อาชญากรรม
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1658 หน้า 97


เริ่มทยอยขึ้นสู่การไต่สวนในชั้นศาลแล้วสำนวนคดี 18 ศพ ที่พบว่าเสียชีวิตเพราะเจ้าหน้าที่รัฐตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สลายม็อบ นปช. ระหว่างวันที่ 10 เมษายน-19 พฤษภาคม 2553 
พนักงานสอบสวนและอัยการสรุปส่งขึ้นศาลแล้ว 17 คดี เหลืออีก 1 คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ  
ศาลเริ่มไต่สวนตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา และมีกำหนดไต่สวนเรื่อยไปจนกว่าจะครบทั้งหมด  
แม้จะเป็นเพียงชั้นไต่สวนแต่สำหรับญาติผู้เสียชีวิตทั้งหมด ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญหลังจากคดีถูกดองมานาน


รำลึก 2 ปีฆ่าหมู่เสื้อแดง

ช่วงที่ศาลเริ่มนัดไต่สวนคดีชุดแรก 18 ศพ เป็นวาระเดียวกับครบรอบ 2 ปี เหตุการณ์ 19 พฤษภาคม 2553 โดยกลุ่ม นปช. ร่วมจัดงานรำลึกที่แยกราชประสงค์ โดยใช้ชื่อว่า "ครบรอบ 2 ปี การเข่นฆ่าประชาชน เพื่อนเราต้องไม่ตายเปล่า" 
คนเสื้อแดงจำนวนมากเกินกว่าครึ่งแสน ทยอยเดินทางมาร่วมงานจนต้องปิดถนนโดยรอบแยกราชประสงค์ ขณะที่ตำรวจจัดกำลังอำนวยความสะดวกและดูแลความเรียบร้อย 
นางธิดา โตจิราการ ประธาน นปช. กล่าวว่า จุดยืนของ นปช. ที่มารวมตัวกันในโอกาสครบรอบ 2 ปีนี้คือ มาแสดงพลังประชาธิปไตยที่ยังคงอยู่ หลายคนคิดว่าเมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คนเสื้อแดงจะหายไป เราจึงมาเพื่อบอกว่าคนเสื้อแดงยังอยู่และมาสดุดีวีรชน รำลึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 
"ขณะเดียวกันก็ต้องการทวงความยุติธรรมและทำให้ความจริงปรากฏ ขอให้เหตุการณ์พฤษภาคม 2553 เป็นครั้งสุดท้ายที่มีการเข่นฆ่าประชาชน"

ถึงช่วงบ่ายเป็นพิธีการนำรูปวีรชนมาร่วมประกอบพิธีสงฆ์ จากนั้นญาติของผู้เสียชีวิต อาทิ นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงที่วัดปทุมวนาราม และ นางนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ หรือ "เจ๊จ๋า" ที่ถูกจำคุกข้อหายิงเฮลิคอปเตอร์ที่แยกคอกวัว ก่อนศาลยกฟ้อง ร่วมประณามการสั่งการสลายการชุมนุมของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีต ผอ.ศอฉ. พร้อมเรียกร้องลงโทษคนสั่งฆ่าประชาชนให้ได้ 
ถึงช่วงเย็น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. เดินทางมาสมทบ 
บนเวทีพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมยืนยันว่าคนเสื้อแดงทั้งหมดจะทวงถามความยุติธรรมกลับคืนให้ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งหมด


เปิดคดีทยอยขึ้นสู่ศาล

ในส่วนของผู้เสียชีวิตชุดแรกจำนวน 18 สำนวน ที่ดีเอสไอและตำรวจสรุปตรงกันว่าเสียชีวิตเพราะเจ้าหน้าที่รัฐ และส่งให้อัยการพิจารณาเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลไต่สวน 17 สำนวน ยกเว้นกรณี นายมานะ อาจราญ ลูกจ้างสวนสัตว์ดุสิต ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ภายในสวนสัตว์ดุสิต อัยการกำลังตรวจสอบอยู่ก่อนจะส่งศาลนัดไต่สวนต่อไป  
สำนวนทั้ง 17 คดี เริ่มสู่กระบวนการไต่สวนของศาลคดีแรกเมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา คือคดี นายชาญณรงค์ พลศรีลา ถูกยิงเสียชีวิตที่หน้าปั๊มน้ำมันเชลล์ ซอยรางน้ำ สน.พญาไท เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 
จากนั้นศาลนัดไต่สวนพยาน วันที่ 18 มิถุนายน / 25 มิถุนายน / 2 กรกฎาคม / 9 กรกฎาคม / 13 กรกฎาคม / 16 กรกฎาคม / 30 กรกฎาคม / มีพยานทั้งสิ้น 41 ปาก

ถัดมาเป็นคดี พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ถูกยิงเสียชีวิตที่อนุสรณ์สถาน ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 เชื่อว่าเกิดจากความเข้าใจผิดของแนวเจ้าหน้าที่ซึ่งตั้งด่านขวางม็อบบนถนนวิภาวดีรังสิต แล้วพลทหารณรงค์ฤทธิ์ กับพวกที่เป็นชุดเคลื่อนที่เร็วขี่รถจักรยานยนต์แล่นเป็นขบวนเข้ามาที่แนว จึงถูกยิงตาย ศาลไต่สวนคดีไปแล้วนัดแรกเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา

คดีที่ 3 คือการตายของ นายพัน คำกอง ถูกยิงที่หน้าคอนโดมิเนียมไออีโอ ใกล้สถานีรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ ถนนราชปรารภ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 ไต่สวนเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา

คดีที่ 4 ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรืออีซา ถูกยิงเสียชีวิตที่ซอยโรงภาพยนตร์โอเอ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 ไต่สวนวันที่ 28 พฤษภาคม เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก

คดีที่ 5 นายเกียรติคุณ ฉัตร์วีระสกุล ถูกยิงที่หน้าอก บริเวณใต้ทางด่วน ถนนพระราม 4 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2553 นัดไต่สวนวันที่ 28 พฤษภาคม 2555 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้



6 ศพวัดปทุมไต่สวน มิ.ย.

6.นายประจวบ ประจวบสุข ถูกยิงที่หน้าอก บริเวณใต้ทางด่วน ถนนพระราม 4 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2553 นัดไต่สวนวันที่ 28 พฤษภาคม 2555 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้

7. นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ชาวญี่ปุ่น ช่างภาพรอยเตอร์ ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 แยกคอกวัว นัดไต่สวนวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้

8.นายทศชัย เมฆงามฟ้า ถูกยิงเมื่อ 10 เมษายน 2553 สถานที่เดียวกับฮิโรยูกิ นัดไต่สวนวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พยาน 59 ปาก

9. นายวสันต์ ภู่ทอง ถูกยิงเมื่อ 10 เมษายน 2553 สถานที่เดียวกับฮิโรยูกิ นัดไต่สวนวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พยาน 59 ปาก

คดี 6 ศพวัดปทุมวนามราม ถูกยิงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดไต่สวนพร้อมกันวันที่ 18 มิถุนายน 2555 เวลา 09.00 น. มีพยานทั้งสิ้น 104 ปาก ประกอบด้วย  
10. นายรพ สุขสถิต 
11. นายอัฐชัย ชุมจันทร์ 
12. น.ส.กมนเกด อัคฮาด 
13. นายมงคล เข็มทอง 
14. นายสุวัน ศรีรักษา 
15. นายอัครเดช ขันแก้ว  

16. นายบุญมี เริ่มสุข ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อ 14 พฤษภาคม 2553 หน้าร้านอาหารระเบียงทอง ย่านบ่อนไก่ ศาลอาญานัดไต่สวนเวลา 09.00 น. วันที่ 11 มิถุนายน 

และ 17. นายชาติชาย ชาเหลา ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 ที่หน้าอาคารอื้อจือเหลียง ถนนพระราม 4 ศาลอาญานัดไต่สวนเวลา 09.00 น. วันที่ 25 มิถุนายน



ลุงชาญณรงค์-ฮิโรยูกิ

ในจำนวนคดีทั้งหมดที่ขึ้นสู่การไต่สวนชั้นศาลแล้วบางส่วน คดีที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษไม่พ้นกรณีลุงชาญณรงค์ และนายฮิโรยูกิ 
กรณีลุงชาญณรงค์ ได้รับความสนใจเพราะถือเป็นคดีแรก และเป็นคดีที่มีพยานหลักฐานมัดเจ้าหน้าที่รัฐรวมถึงคนสั่งฆ่าแบบดิ้นไม่หลุด

คดีนี้มี นายนิก นอสติทซ์ ช่างภาพอิสระชาวเยอรมัน เป็นพยานเอก เพราะอยู่ในเหตุการณ์บันทึกภาพนายชาญณรงค์ ตั้งแต่ก่อนเริ่มการปะทะ จนถูกยิงบาดเจ็บสาหัส และถูกเจ้าหน้าที่พาตัวไปจากจุดเกิดเหตุ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา 
ทุกนาทีเลือดเปิดเผยออกมาในชั้นศาล จากปากคำของผู้สื่อข่าวต่างประเทศซึ่งไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และฝ่าย นปช. 

ส่วนคดีนายฮิโรยูกิ ขึ้นไต่สวนพร้อมกับคดี นายทศชัย เมฆงามฟ้า และ นายวสันต์ ภู่ทอง ซึ่งเสียชีวิตในวันเดียวกันและเหตุการณ์เดียวกัน 
นายฮิโรยูกิ ถือว่าเป็นความสูญเสียศพแรกๆ เพราะถูกยิงตายในการปะทะครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 หลังเกิดเหตุรัฐมนตรีของญี่ปุ่นเดินทางมาเคารพจุดเกิดเหตุด้วยตัวเอง และรัฐบาลญี่ปุ่นตามจี้คดีอย่างต่อเนื่อง 
ขณะที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใดๆ

คดีนายฮิโรยูกิ ไต่สวนเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีนายยูซูเกะ มูราโมโตะ อายุ 43 ปี น้องชายนายฮิโรยูกิ เดินทางมาเบิกความและร่วมรับฟังด้วย 
ขณะที่ นางธิดา โตจิราการ ประธาน นปช. รวมทั้ง นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล เลขาธิการมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 ผู้สื่อข่าวญี่ปุ่น และสำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่ง มาร่วมฟังจำนวนมาก 
และอีกหลายเดือนจากนี้คดีต่างๆ จะขึ้นสู่การไต่สวนชั้นศาล แม้ดูตามกระบวนการแล้วใช้เวลาอีกนานกว่าจะจบสิ้น

แต่อย่างน้อยทำให้ญาติผู้เสียชีวิตอุ่นใจได้ว่า การตายไม่ได้ถูกเพิกเฉยเหมือนที่แล้วๆ มา



.