http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-05-29

โอ้ว มาม่า โดย จอห์น วิญญู

.

โอ้ว มาม่า
โดย จอห์น วิญญู spokedark.tv www.facebook.com/spokedarktv 
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1658 หน้า 79


สัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ได้กระทำการอันเรียกเสียงครางอั้ยหย่ะจากชาวอเมริกันและชาวโลกโดยการออกมาประกาศจุดยืนว่าตนสนับสนุนให้ชาวรักร่วมเพศสามารถแต่งงานกันได้โดยถูกต้องตามกฎหมายเช่นเดียวกับคู่รักต่างเพศทุกประการ 
การประกาศครั้งนี้ แม้ว่าจะดูค่อนข้างอ้อมแอ้ม ไม่เท่ ไม่ปลุกความคึกฮึกเหิมเหมือนแคมเปญ Yes We Can! อันโด่งดัง แต่ก็ยังเจ๋งกว่าประธานาธิบดีหรือผู้นำระดับสูงคนใดของสหรัฐอเมริกาเคยทำมาก่อน 

วิญญูชนพึงทำความเข้าใจและต้องทำใจให้ได้ว่าถึงโอบาม่าจะเท่ตาย ว่าขนาดไหน เค้าก็ยังคงเป็นนักการเมืองอยู่ดี (นักการเมืองที่เท่จริงๆ คือนักการเมืองที่ตายแล้ว) ประกาศของโอบามาไม่ทันใจหลายๆ คนมากไปหน่อย
คนที่อยากเห็นประธานาธิบดีออกมาพูดชัดๆ หรือสนับสนุนจริงๆ จังๆ มองว่าพี่แกเป็นเสือปืนฝืด ออกมาพูดอะไรกันป่านนี้ ที่ ณ ปัจจุบันอเมริกันชนเกินครึ่ง (CNN Poll 2010) สนับสนุนการให้สิทธิการสมรสกับคู่รักร่วมเพศเท่ากับคู่รักต่างเพศ การประกาศในเวลานี้ดูไม่เป็นการ "นำ" ประชาชน แต่เป็นการ "ตาม" กระแสมากกว่า

บางคนก็เสียความรู้สึกนิดๆ ที่ประธานาธิบดีออกมาพูดเรื่องนี้ก่อนออกเดินทางไปหาเสียงกับเหล่าผู้มีอิทธิพลในฮอลลีวู้ด (ซึ่งเป็นพวกเสรีนิยมจัดๆ กระเป๋าหนัก และมีรัศมีดาราช่วยหาเสียงได้มากมาย)
ไม่ว่าจะอย่างไร ชาวเกย์และเหล่าผู้สนับสนุนความเท่าเทียมในสังคมก็ยังคงแสดงความยินดีกับเรื่องดังกล่าวมากน้อยก็ว่ากันไปตามดีกรี



เอาเถอะ วันนี้ผมไม่ได้มาพูดเรื่องโอมาม่าหรือสิทธิชาวเกย์
แต่สิ่งที่ผมพบว่าน่าสนใจมากคือเรื่องของกลุ่มคนที่คัดค้านแนวคิดนี้แบบหัวชนฝาตะหาก 
คนพวกนี้มักผลิตเสียงได้ดังกว่าคนอื่นหลายสเต็ป แม้ตรรกะของการคัดค้านจะเบลอมากถึงหาไม่เจอเลยก็ตาม 
การทำเสียงดังและอีโมเยอะๆ เอาไว้ก็ทำให้คนกลุ่มนี้สามารถยึดพื้นที่สื่อเอาไว้ได้ 
เพราะไม่มีอะไรที่สื่อจะชอบมากไปกว่าดรามา

สาระแห่งการต่อต้านแบบเป็นฟืนเป็นไฟก็วนเวียนอยู่ไม่กี่เรื่อง 
หนึ่ง พระเจ้าห้าม พระเจ้าก็คือที่เค้าเรียกกันว่า God 
เรื่องของว่าคัมภีร์ไบเบิลห้ามพฤติกรรมรักร่วมเพศหรือไม่นั้นก็แล้วแต่จะเชื่อกัน เพราะจนทุกวันนี้คนในวงการศาสนาก็ยังมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องดังกล่าว

และหากเราศึกษาพระคัมภีร์ในแง่เอกสารทางประวัติศาสตร์ที่มีที่มาที่ไปไม่แน่ชัดล่ะก็ การห้ามโน่นห้ามนี่ของเอกสารนี้ ใครจะเชื่อตามตัวอักษร ก็---แล้วแต่จะสบายใจละกัน
ยังไม่นับที่เค้าเคลมกันว่าศาสนาคริสต์คือศาสนาแห่งความรัก แล้วคนมันจะรักกันไม่ดีหรือไง? 
คำถามที่คาใจที่สุดคือ ก็ถ้าคนคนนั้นเค้าไม่นับถือพระเจ้าคริสต์ล่ะ? 
ทำไมเค้าจะต้องติดร่างแหการจำกัดสิทธิทางโลกเพราะเหตุผลทางศาสนา โดยเฉพาะในประเทศที่ประกาศตนชัดเจนว่าเป็นรัฐฆราวาส (Secular State)?

สำหรับชาวคริสต์ที่เป็นเกย์ด้วย อันนี้ก็ลำบากหน่อย 
แต่นั่นก็น่าจะเป็นเรื่องระหว่างตัวท่านเองกับองค์กรทางศาสนาของท่าน ไปเคลียร์กันเอาเอง 
พวกที่คัดค้านอีกกลุ่มไม่อ้างพระคัมภีร์มากนัก แต่อ้างสถาบันครอบครัว ว่าการยอมให้เพศเดียวกันแต่งงานและมีสิทธิเท่าเทียมกับคู่หญิงชาย จะทำลายสถาบันครอบครัว 
พวกนี้ยิ่งหนักกว่าอีกเพราะอัตราหย่าร้างในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันก็สูงมากอยู่แล้ว 
การแต่งงานระหว่างหญิงกับชายไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสถาบันครอบครัวแต่อย่างใด

และถ้ากังวลเรื่องครอบครัวเกย์มีลูกไม่ได้ล่ะก็---ลองไปเช็กดูจำนวนเด็กเกิดใหม่ก็ได้นะ---เรื่องคนจะหมดโลกน่ะ ไม่ต้องกลัวหรอกนะฮ้าาฟฟว์

ส่วนที่เหลือ แค่มีอาการโฮโมโฟบิก (อาการกลัวเกย์) จนไม่สามารถจะใช้เหตุผลอะไรด้วยได้ ง่ายๆ แค่นี้ เค้าไปแต่งงานหรือไปปล้ำกันบนหัวพวกท่านหรือเปล่า? 
ข้อโต้แย้งมันฟังขึ้นมั้ยเนี่ย?


เรื่องสนุกที่สุดสำหรับผมคือ กลุ่มคนที่คัดค้านเสียงดังมากกลุ่มนึง ประเภทประกาศเลยว่าจะถอนการสนับสนุนจากประธานาธิบดีโอบามาเลยก็คือกลุ่มแอฟริกันอเมริกันเคร่งศาสนา (คริสต์) 
ที่ว่าสนุกก็เพราะคนผิวดำถูกลักพาตัวมาจากแอฟริกาและถูกบังคับให้เป็นทาสที่สหรัฐอเมริกาอยู่ร้อยกว่าปี หลังจากที่การมีทาสกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายคนผิวดำก็ยังคงถูกจำกัดทุกสิ่งทุกอย่างด้วยนโยบายการแบ่งแยกสีผิว องค์กรKKK และสารพัดอย่างที่คนขาวจะทำได้เพื่อกดขี่คนดำ 
จนถึงปัจจุบันคนผิวดำในหลายๆ ที่ในสหรัฐอเมริกาก็ยังรู้สึกได้ถึงความไม่เท่าเทียมในทางการปฏิบัติและแม้ว่าทางการจะไม่ยอมรับก็ตาม คนแอฟริกันอเมริกันร้อยละ 49 ไม่เห็นด้วยกับการให้สิทธิการสมรสแก่ชาวเกย์ ในขณะที่ตัวเองก็ยังคงร้องแรกกับความไม่เท่าเทียมกันระหว่างคนดำและคนขาว

ในทางศาสนา คนขาวก็เคยใช้ไบเบิลเล่มเดียวกันนี่แหละ สร้างความถูกต้องในการใช้แรงงานทาส โดยอ้างพระคัมภีร์เก่าว่าคนแอฟริกันนั้นแท้จริงแล้วเป็นพวกที่ถูกสาปให้เป็นทาส (เรื่องของ Ham, son of Noah) 
มันจึงโอเชร ที่จะไปจับคนแอฟริกันมาเป็นทาสต่อ 
ยิ่งกว่านั้น ในพระคัมภีร์ยังไม่มีตรงไหน "ห้าม" การมีทาสอีกด้วย 
แอฟริกันอเมริกันเคร่งศาสนาเห็นว่าพฤติกรรมโฮโมเซ็กช่วล ขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า 
คิดไปคิดมาก็แปลก ตัวเองก็เคยโดนแบบนั้น แต่ก็ยังมาทำแบบนั้นกับคนอื่น เอ้อ



ตัดกลับมาที่ประเทศไทย ผมเคยเข้าไปอ่านเว็บบอร์ดของคณะนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่ง (ดังจริงๆ นะ เก่าด้วย แฮ่!) มีการพูดถึงการเรียกร้องสิทธิของกะเทยแปลงเพศว่าควรจะได้เปลี่ยนคำนำหน้านามเป็นนางสาว และได้รับสิทธิในแบบเดียวกันกับผู้หญิง 
คนที่ต่อต้านเสียงดังที่สุด ปากร้ายที่สุด ใจดำที่สุดกับสาวประเภทสอง ก็คือผู้หญิงนั่นเอง 
ผู้หญิงที่เคยต้องต่อสู้ (และยังคงต้องต่อสู้อยู่) กับความอยุติธรรมในโลกที่ผู้ชายเป็นคนวางกฎ
ผู้หญิงทำเป็นจำไม่ได้ว่าเคยตกเป็นผู้เยาว์ทันทีหลังแต่งงาน อ่ะงงสิงง ก็สมัยก่อนหลังแต่งงานผู้หญิงจะต้องกลายเป็นผู้เยาว์ตามกฎหมายซึ่งหมายความว่าไม่มีสิทธิทำนิติกรรมอันใดด้วยตัวเองได้ หุหุ

หรือกฎหมายครอบครัวข้อที่ว่า "สามีอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาหรือภริยามีชู้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้" กว่าจะแก้ได้ต้องนั่งฟังการ "ให้เหตุผล" ของนักกฎหมายชายที่ฟังไม่ขึ้นจนอยากจะอ้วกออกมาตั้งเท่าไหร่ต่อมิเท่าไหร่---เฮ่ออออ 
การโดนมาก่อน (หรืออาจจะกำลังโดนอยู่) ไม่ได้ช่วยให้คนหลายคนคิดได้ 
ฮากว่านั้นอีก คนที่กำลัง "โดน" อยู่บางส่วนนั่นเอง ก็ช่วยขัดขวางการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั่นด้วย

เคยได้ยินกะเทยหลายคนบอกว่าเกิดมาชาตินี้ขอเป็นกะเทยชาติสุดท้าย เพราะการเป็นกะเทยแปลว่าชาติที่แล้วทำบาปมาก 
ได้ยินกะเทยบางคนตำหนิกะเทยที่พยายามเรียกร้องสิทธิในทำนองว่า ทำไมไม่อยู่เงียบๆ ในมุมของตัวเองไป---อยากเป็นกะเทยก็เป็นนางโชว์ ช่างทำผม ช่างแต่งหน้า หรือ แม่ค้าไปสิยะ จะไปอยากรับราชการ เป็นทนายความ หรือผู้บริหารทำไม? 
แบบนี้เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนด้อยโอกาสที่สนับสนุนการปกครองแบบอำนาจนิยมและผู้นำเผด็จการที่ไม่ใส่ใจต่อสิทธิมนุษยชนแม้ในระดับพื้นฐานโดยไม่ได้สำเหนียกเลยว่า คนที่ตัวเองนั่งหัวเราะสมน้ำหน้าสะใจอยู่นั้น ก็เป็นคนระดับเดียวกันกับตัวเองในสังคมช่วงชั้นแห่งนี้ ซึ่งพวกเขาคงลืมไปว่าหากการละเมิดเช่นนี้เกิดกับคนอื่นได้ ก็ย่อมเกิดกับตัวเขาเองได้เช่นเดียวกัน 

ถ้าคนเราจะจับหนึ่งมาบวกกับสองด้วยตัวเองเป็นมั่ง ป่านนี้เรื่องประธานาธิบดีโอดรามา สิทธิเกย์ และอีกหลายเรื่องในสังคมคงไม่ต้องเป็น "ประเด็น" ด้วยซ้ำ

ชิมิฮัฟว์!?



.