.
ปรากฏการณ์ "โซระ อาโออิ" นางสงกรานต์"แฟนตาซี" บ่งชี้ "ความจริง" สังคมไทย
คอลัมน์ ในประเทศ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1653 หน้า 14
หากมองในบางแง่มุม ผู้หญิงญี่ปุ่นนาม "โซระ อาโออิ" ก็ไม่ต่างอะไรกับ "ครูอังคณา แสบงบาล" ที่เคยถูกลูกศิษย์พาดพิงถึง จนมีชื่อเสียงโด่งดังก้อง "โซเชียล มีเดีย" อย่างไม่น่าเชื่อ
นั่นคือ หากประเมินด้วยระบบคุณค่าบางชนิด
ข่าวคราวการเดินทางมาร่วมงานสงกรานต์ที่จังหวัดบุรีรัมย์ (ซึ่งไม่เคยมีชื่อเสียงในการจัดงานด้านนี้มาก่อน) ของดาราสาวผู้โด่งดังมาจากแวดวง "หนังผู้ใหญ่" แห่งแดนอาทิตย์อุทัย ก็ไม่น่าจะมีคุณค่าเป็นข่าวใหญ่โตอะไรมากมายนัก
ทว่า "ข่าว" และ "ภาพ" ของ "อาโออิ" กลับสามารถยึดครองพื้นที่ข่าวหน้าหนึ่งของสื่อสิ่งพิมพ์ ตลอดจนข่าวโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ตกระแสหลัก ซึ่งดำรงชีพอยู่ได้ด้วยยอดจำหน่าย/เรตติ้ง/ยอดคลิก และโฆษณา เอาไว้ได้ทั้งหมด
ราวกับว่า "นางสงกรานต์" ประจำปีนี้ มิได้ชื่อ "กิมิทาเทวี" แต่ชื่อ "โซระ อาโออิ"
ท่ามกลางกระแสอันครึกโครม ก็มีคำถามก้องดังขึ้นว่า ข่าวคราวเกี่ยวกับ "อาโออิ" นั้น มีบ่อเกิดมาจากปัญหาที่ว่า
สื่อมวลชนทั้งหลายในสังคมไทยกำลัง "หากินแบบง่ายๆ" ด้วยการรวมหัวกับอดีตนักการเมืองผู้ผันตนมาเป็นประธานสโมสรฟุตบอลอันดับหนึ่งของประเทศ ซึ่งกำลังมีแววก้าวไกลไปสู่ระดับทวีปเอเชีย เพื่อมอมเมาประชาชน
ส่วนผู้บริโภค/คนอ่าน/คนดูก็ "โง่" "ไม่รู้เท่าทันสื่อ" "รู้เขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอก" เสพติดแต่ข่าวสารไร้สาระ
เท่านั้นหรือ?
หากลองพิจารณาค้นคว้าหาคำตอบของคำถามดังกล่าว
เราอาจพบว่า การเดินทางมาร่วมเล่นน้ำเล่นโฟมของนักแสดงหนัง "เอวี" อย่าง "โซระ อาโออิ" กำลังสะท้อนให้เห็นภาพงานสงกรานต์แบบที่เป็นอยู่ "จริง" ในสังคมไทย (ส่วนเรื่อง "ดี" หรือ "ไม่ดี" ถือเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งต้องถกเถียงกันต่อไป)
เมื่องานสงกรานต์ร่วมสมัยเต็มไปด้วยข่าวคราวสาวๆ (หรือสาวประเภทสอง) แต่งกายวับๆ แวมๆ เต้นท่ายั่วยวนบนท้องถนน ขณะเล่นน้ำ หรือ ข่าวการล่วงละเมิดทางเพศ ทั้งที่ชายกระทำต่อหญิง สาวประเภทสองกระทำต่อชาย หรือกระทั่งหญิงกระทำต่อชาย
นอกจากนั้น ก็ดูเหมือนผู้บริโภคสื่อจะให้การตอบรับข่าวประเภทนี้เป็นอย่างสูง ในช่วงเวลาหยุดยาว ซึ่งไม่มีข่าวหนักๆ ให้ติดตามกันมากนัก
อย่างไรก็ดี น่าสนใจว่าการนำตัว "โซระ อาโออิ" เข้ามาร่วมเทศกาลสงกรานต์ปี 2555 โดยสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลับพยายามเจือจางหรือลดทอนภาพลักษณ์ "ความเป็นดาราเอวี" ของเธอให้เลือนรางไป
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น เพราะเมื่อคราวที่ "อาโออิ" เดินทางมาแสดงภาพยนตร์ไทยเรื่อง "ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น" ภาพลักษณ์ในหนังกับชื่อเสียงเก่าๆ ของเธอ ก็เคยดำรงอยู่อย่างสวนทางกันมาแล้วครั้งหนึ่ง
แม้ว่าชื่อของ "อาโออิ" จะขายได้ เพราะสถานะและชื่อเสียงดั้งเดิมก็ตาม
ในวันที่ 14 เมษายน 2555 ณ จังหวัดบุรีรัมย์ "อาโออิ" แปลงร่างเป็น "สปอร์ตเกิร์ล" และหญิงสาวผู้สวมใส่ "ชุดขาวบริสุทธิ์" ที่มีกิริยาเรียบร้อยสวยหวาน รวมทั้งหลงรักเมืองไทย
โชว์บนเวทีและการเล่นโฟมกับคนดูของเธอไม่มีอะไรน่าเกลียด วาบหวิวเกินควร หรือมีนัยยั่วยุทางเพศอย่างประเจิดประเจ้อ
ดาราสาว "หนังผู้ใหญ่" จากญี่ปุ่น สามารถกลืนกลายตนเองเข้ากับงานสงกรานต์ "แบบไทยๆ" ได้อย่างลงตัว
ภาพการปรากฏตัวของดาราสาวชาวอาทิตย์อุทัย ณ เบื้องหน้าสนามนิว ไอ-โมบาย สเตเดี้ยม เป็นดังการประนีประนอมกันระหว่าง ความโป๊เปลือยยั่วยวนทางเพศที่เกิดขึ้นจริงๆ ในช่วงวันขึ้นปีใหม่ไทย กับอุดมคติที่เชื่อกันต่อๆ มาว่างานสงกรานต์ คือ ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม
ภาพของ "อาโออิ" จึงแสดงให้เห็นถึงเทศกาลสงกรานต์ร่วมสมัยในสังคมไทยที่ผ่านการปรุงแต่งปรับประสานต่อรองมาแล้ว
คือ ไม่ใช่การสาดน้ำอย่างดิบกร้าน ที่วัฒนธรรมชนชั้นกลาง-ชนชั้นสูงรับไม่ได้ แต่ดำรงอยู่จริงในแทบทุกหนแห่ง
และมิใช่ความดีงาม "แบบไทยๆ" อย่างเดิม ที่คล้ายว่าจะไม่มีอยู่จริงอีกแล้ว
การปรากฏกายของ "อาโออิ" จึงถือเป็นการยอมรับความจริงว่าด้วยรสนิยมและการปลดปล่อยตัวเองในช่วงเวลา "พิเศษ-ไม่ปกติ" ของคนไทยจำนวนมาก
ทว่า ความจริงดังกล่าวก็ถูกนำเสนอออกมาในรูปลักษณ์ของ "แฟนตาซี" ซึ่งไม่แตกต่างอะไรกับหนังเอวีญี่ปุ่น เมื่อชายหนุ่มตัวเปียกชุ่มน้ำทั้งหลายทำได้เพียงชื่นชม
หากไม่สามารถล่วงล้ำก้ำเกิน "นางเอกในโลกจินตนาการ" ของพวกตนได้
แม้เธอจะหลุดออกจากจอโทรทัศน์ มาอยู่หน้าสนามฟุตบอลที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้วก็ตาม
เพราะเชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับวิถีชีวิตของสามัญชนจำนวนมากในสังคมไทยเช่นนี้แหละ
ข่าวคราวของ "โซระ อาโออิ" ถึงมีตำแหน่งแห่งที่ในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ ในภาพนำหลักของเว็บไซต์ข่าว ในช่วงเวลา "ไพรม์ไทม์" ของข่าวโทรทัศน์ และตกเป็นเป้าสนใจของมวลชนมหาศาล
หากสื่อมวลชนปฏิเสธกระแสความสนใจของมวลชนเสียแล้ว ก็ยากยิ่งที่สื่อเหล่านั้นจะดำรงอยู่ได้ในสังคม
"โซระ อาโออิ" จึงมิใช่ภาพแทนแห่งความเบาหวิว กลวงเปล่า และไร้ประโยชน์ แต่ดารา "หนังผู้ใหญ่" เช่นเธอ กลับมีความหมายผูกพันกับความเป็นไปของสังคมอย่างใกล้ชิดลึกซึ้ง
ห่างออกไปจากประเทศไทย
ไกลออกไปจากปี พ.ศ.2555
เคยปรากฏข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ว่า "หนังสือโป๊" นั้น มี "ความเป็นการเมือง" อย่างยิ่ง
เมื่อมันถูกตีตราให้เป็น "หนังสือต้องห้าม" ในช่วงก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศส
ว่ากันว่าหนังสือประเภทนี้ถือเป็นอาวุธสำคัญในการคัดง้างต่อสู้กับขนบประเพณีดั้งเดิมและอำนาจของชนชั้นสูง
จนนำมาสู่การปฏิวัติในที่สุด
++
โซลอีตเตอร์ เล่ม 2-3 ว่าด้วยสมาร์ทโฟน
โดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ คอลัมน์ การ์ตูนที่รัก
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1653 หน้า 75
เล่มหนึ่งเล่าเรื่องแท็บเล็ต เล่มสองและสามจะเล่าเรื่องสมาร์ทโฟน
เมื่อขึ้นเล่มสองจึงเป็นที่เปิดเผยว่าครูซอมบีและด๊อกเตอร์สไตน์แกล้งแปรพักตร์เป็น "คิชิน" เพื่อทดสอบวิชาฝีมือของนักล่าวิญญาณทั้งสามทีมเท่านั้นเอง
เล่มสองบทที่สอง คิด ลูกชายยมทูตและปืนสองสาวฝาแฝดปะทะแบล็กสตาร์โดยที่แบล็กสตาร์ใช้เคียวโซลอีตเตอร์หรือโซลเป็นอาวุธ เสมือนจะสาธิตให้ดูว่าระหว่างผู้ใช้อาวุธและอาวุธต้องผสานเป็นหนึ่งให้ได้เสียก่อน
แต่แบล็กสตาร์และโซลไม่เข้าขากันจึงตกเป็นฝ่ายถอย
ข้างคิดซึ่งดูเหมือนจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำกับสรรพสิ่งต้องสมมาตรก็แพ้ภัยตนเองเมื่อพบว่าทรงผมของตัวเสียทรงไร้สมมาตร ถึงกับสติแตกกลับไปพบจิตแพทย์
เล่มสองบทที่สี่ เปิดตัว โครนา ผู้ใช้ดาบมารแร็กนาร็อก ทีมนักล่าวิญญาณพบโครนายืนอยู่คนเดียว แต่มันมิได้อยู่คนเดียว มันไม่ถืออาวุธ ข้างในตัวมันมีอาวุธคือดาบมารแร็กนาร็อก มิหนำซ้ำเลือดของเธอเป็นสีดำ
ชวนให้นึกถึงไซมึ้งชวยเสาะ (จากหนังสือเล็กเซี่ยวหงส์ของโก้วเล้ง) เมื่อตัวมันเองคือกระบี่ มิใช่เพียงกระบี่อยู่ที่ใจ
โครนามิเพียงใช้ดาบมารแร็กนาร็อกในตัวเป็นอาวุธ เลือดสีดำของเธอยามหลั่งออกมาก็เป็นอาวุธด้วย เมื่อมากะและโซลเข้าต่อกรด้วยจึงตกเป็นรอง มากะจนมุมหนีไม่พ้นดาบมารที่ฟันลงมาแน่นอนแล้ว โซลเข้าขวางจึงถูกฟันร่างเป็นทางยาว
ด๊อกเตอร์สไตน์ในฐานะผู้ใช้อาวุธและเดธไซส์พ่อของมากะในฐานะอาวุธจึงเข้าคู่กันปฏิบัติการพิเศษหยุดยั้งโครนาและดาบมารให้ได้ก่อนมันที่จะกลายเป็น "คิชิน" ข้างโซลเข้ารับการผ่าตัดช่วยชีวิตด่วนโดยหารู้ไม่ว่าอาจารย์พยาบาลเมดูซาที่คอยดูแลคือหัวหน้า "แม่มด" ศัตรูตัวร้ายของโรงเรียนนักล่าวิญญาณ "ชิบุเซ็น"
ก่อนหน้าจะมีชิบุเซ็น ยมทูตให้ผู้ใช้อาวุธและอาวุธล่าวิญญาณตามบัญชีรายชื่ออยู่แล้ว วันหนึ่งมีนักล่าที่ทนความกลัวจากการต่อสู้ไม่ไหวจึงเก็บเกี่ยววิญญาณคนดีนอกบัญชีเพื่อเพิ่มพลังพิเศษทางลัด จึงเกิด "คิชิน" ที่ชั่วร้ายขึ้นเป็นครั้งแรก โรงเรียนชิบุเซ็นก่อตั้งขึ้นเพื่อฝึกอบรมนักล่าและอาวุธตั้งแต่เด็กมิให้กลายเป็นคิชินได้อีก
ถึงตอนนี้หนังสือบอกเป็นนัยว่าโซลเป็นหนึ่งในคนที่อาจจะเป็นคิชินต่อไป
บัดนี้โซลมีเลือดสีดำ เขามักฝันว่าตนเองเป็นอาวุธที่อยู่ในร่างมากะและสะดุ้งตื่นโดยงอกออกมาจากร่างมากะเสมอๆ
ระหว่างที่โซลกำลังพักฟื้นนั้นเอง คิดและแบล็กสตาร์ออกเดินทางหาดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ในตำนาน บทเรียนตอนนี้สอนให้รู้ว่าไม่ใช่ผู้ใช้ที่เลือกอาวุธแต่เป็นอาวุธที่เลือกผู้ใช้ ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์เป็นกรณีตัวอย่างเรื่องดาบเลือกคน อาวุธร้ายกาจย่อมเลือกคนร้ายกาจ อาวุธชั่วร้ายย่อมเลือกคนชั่วร้าย
บทเรียนเรื่องอาวุธยังไม่จบเท่านี้ เล่มสามบทที่เจ็ด จะชี้ให้เห็นว่าอาวุธไม่เพียงเลือกคนแต่อาวุธใช้คนด้วย ตอนนี้สึบากิศาสตรามืดสาวผู้เป็นอาวุธของแบล็กสตาร์กลับบ้านเกิดไปเผชิญหน้าพี่ชายเรียวคุผู้ใช้ดาบภูตมาซามุเนะ หลังจากต่อสู้สักพักจึงรู้ว่าไม่ใช่เรียวคุที่ใช้ดาบแต่เป็นดาบที่ใช้เรียวคุ ดาบภูตมาซามุเนะมีเรื่องแค้นฝังใจกับตระกูลโฮชิของแบล็กสตาร์แต่กาลก่อน มันใช้สองพี่น้องเรียวคุ-สึบากิเพื่อล้างแค้น
ในการต่อสู้ยกสุดท้าย สึบากิหายเข้าไปในดาบภูต การต่อสู้นัดตัดสินเกิดขึ้นภายในดาบนั้นเอง
เมื่อครั้งไซมึ้งชวยเสาะกลายเป็นเทพแห่งกระบี่ มันมิเพียงคือกระบี่ แต่กระบี่คือมัน นี่คือระดับสุดยอดเหนือกว่ากระบี่อยู่ที่ใจมากนัก อี้จับซาเพราะพบว่ากระบี่คือมันและกระบี่มีชีวิตของตัวเองมันจึงตัดสินใจยุติชีวิตในการดวลกับซาเสียวเอี้ย
(จากหนังสือซาเสียวเอี้ยของโก้วเล้ง)
เมื่อมองไปรอบตัวทุกวันนี้เราไม่เพียงเห็นวัยรุ่นที่ถือและงมกับมือถืออีกต่อไปแล้ว เราเห็นคนทุกวัยและคนเกือบทุกคนก้มหน้างมอยู่กับสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะบนรถไฟฟ้า รถไฟ รถเมล์ รถตู้ รถส่วนตัว แม้แต่คนขับรถ
ตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านอาหารเราจะเห็นกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงานหนุ่มสาวอายุสามสิบก้มหน้ากันทุกคนแต่พวกเขากำลังคุยกันเอง บางประโยคด้วยวาจา บางประโยคด้วยแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน รวมทั้งคุยกับเพื่อนๆ หรือเจ้านายในที่ห่างไกลไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ ที่ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศไปพร้อมๆ กัน
ดูเผินๆ เหมือนคนทุกคนกำลังใช้สมาร์ทโฟน แต่ถ้าใช้กรอบของโซลอีตเตอร์เรื่องผู้ใช้อาวุธและอาวุธ ที่แท้แล้วสมาร์ทโฟนกำลังใช้คน จะเป็นคนใช้สมาร์ทโฟนต่างอาวุธคู่กายหรือสมาร์ทโฟนใช้คนเป็นเครื่องมือ ก็ต้องการคุณสมบัติที่สำคัญคือ "เข้าขา" กัน (เช่น มากะกับโซล)
พอพูดเรื่องเข้าขากันจึงมีคำถามว่าใครเลือกใคร คนเข้าร้านไอทีเพื่อเลือกสมาร์ทโฟนหรือสมาร์ทโฟนกำลังเลือกคนที่เข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในร้านที่ตั้งเครื่องทุกรุ่นให้ทดลองใช้เราจะเห็นปรากฏการณ์เครื่องกำลังเลือกคนชัด เมื่อคนลองใช้แล้วเดินจากไป ไม่ช้าก็เร็วเขาจะหันมาดูเครื่องที่เลือกเขา (เช่น ดาบเอกซ์คาลิเบอร์ที่เลือกกษัตริย์อาเธอร์)
เมื่อเลือกแล้วจึงถึงเวลาใช้งาน สมาร์ทโฟนที่ดีย่อมเป็นอวัยวะของร่างกายคนใช้จึงใช้ได้รวดเร็วดังใจ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย ส่งข้อความ ส่งเมล์ แช็ต แอปแอนด์อัพ ชู้ตแอนด์แชร์ เช็กวันเวลา แผนที่ อุณหภูมิ คิดเลข เปิดพจนานุกรม ตบแต่งรูป ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม คนใช้และเครื่องจึงต้องรวมกันเป็นหนึ่ง (เช่น โครนาและดาบมาร)
เมื่อรวมกันเป็นหนึ่งก็มีคำถามต่ออีกว่าใครรวมกับใคร
ทุกวันนี้ข้อมูลของผู้ใช้ลื่นไหลเข้าไปในสมาร์ทโฟนทุกวัน
รูปถ่ายจำนวนเป็นพันต่อเครื่องแทบจะบอกเล่าตัวตน นิสัย ประวัติ ความสามารถและการเดินทางของผู้เป็นเจ้าของ
ยังไม่นับหลักฐานการแอปแอนด์อัพ ชู้ตแอนด์แชร์ เสิร์ชเอนจิ้น และอี-เมล์ ความเป็นตัวตนของเจ้าของถูกดูดกลืนลงไปในสมาร์ทโฟนจนหมดสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นความเป็นตัวตนของมนุษย์ทุกคนยังไปปรากฏบนสมาร์ทโฟนของคนอื่นที่เราพูดคุยหรือแชร์รูปภาพด้วยเสมอ (เช่น กรณีพี่น้องเรียวคุ-สึบากิหายเข้าไปในดาบภูต)
ใครกำลังครองโลก คนหรืออาวุธกันแน่
.
Selected Messages & Good Article for People Ideas and Social Justice .. หวังความต่อเนื่องของพลังประชาธิปไตยและการเลือกตั้งของปวงชนอันเป็นรากฐานอำนาจอธิปไตย เพื่อกำกับกติกาและอำนาจการเมือง-อำนาจตุลาการ ไม่ว่าต่อคนชั่ว(เพราะใคร?) และคนดี(ของใคร?) ไม่ให้อยู่เหนือนิติรัฐของประชาชน
http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย