http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-04-28

ศิลา: กลางแล้งร้าย / ทราย “มิตรภาพ”แสนแพง

.

กลางแล้งร้าย
โดย ศิลา โคมฉาย คอลัมน์ แตกกอ-ต่อยอด
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1654 หน้า 67


แดดหลังสงกรานต์ แม้จะเดินกรำแค่ช่วงสั้นๆ ยังเล่นงานเอาถึงกับระคายในลำคอ เปลี่ยนเสียงอู้อี้ มีน้ำมูกใสๆ ซึมไหล และครั่นเนื้อครั่นตัว
ผมคิดเอาว่าวัยที่ล่วงเลยของตัว คงไปถึงช่วงสังขารไม่อำนวยเข้าแล้ว เปราะบางไม่สู้แดดลมอย่างที่เคยเป็น เคยห้าว...แต่ข่าวคราวที่ได้รับกลับยืนยันว่า ฤดูแล้งนี้ร้อนจริง
ร้อนระดับมีคนช็อกตายที่ลำปาง ที่ตาก

แถมภาพแม่น้ำลำคลองที่ได้เห็นในสื่อ ขอดแห้งเหลือเพียงทางน้ำเล็กๆ รินไหลอย่างเฉื่อยเนือย
ท้องน้ำกลายเป็นดินเกรียมแดดสีน้ำตาล ในโลกอันเหี่ยวแห้งซึมเซา
ลมร้อนที่พัดวูบนำไอระอุเป่ารดห่มรม แดดจัดแผดจ้าจนบาดแปลบแสบตา ภาพแม่น้ำแห้งโหย...ฉุดดึงให้ภาพแล้งร้ายรุนแรงขั้นสาหัสของชีวิตพรั่งพรูออก


เป็นภาพเคลื่อนไหวชัดเจน และคล้ายจะยังรู้สึกได้ ถึงความทุกข์ทรมานหนักหน่วง จนเรียกได้ว่าสติแตกกระเจิง ประสบการณ์วัยหนุ่มกลางภาวะสงคราม ในสมรภูมิบนเทือกเขาและสายน้ำ ตลอดแนวตะวันออกเมืองน่าน
เรากำลังเลาะเลียบชายแดนลาวย้อนขึ้นเหนือ หลังจากตระเวนเล่นดนตรีเปิดเวทีบันเทิงปลุกขวัญ ในบ้านม้ง ตอนใต้ของอำเภอแม่จริม น่านใต้ภูเขาสูงเสียดเมฆ บางเทือกใช้เวลาทั้งวันเพื่อเดินข้าม 


ภูบ่สูง แต่ว่าห้วยมันลึก...อารมณ์ขันปนขื่นของคนพื้นถิ่น บอกถึงสภาพภูมิประเทศ

หลักการเดินภูคร่าวๆ ที่เรารับรู้และยึดถือ คือออกเดินแต่เช้าตรู่ ทำระยะทางให้ได้มากที่สุดก่อนแสงแดดจะเริงแรง ดื่มน้ำเต็มอิ่มก่อนเคลื่อนขบวน ระหว่างทางอดทนงดดื่ม หากจำเป็นแค่จิบเพื่อชะล้างน้ำลายแห้งกรังเฝื่อนขมปากคอ การดื่มน้ำมาก บ่อยครั้ง ยิ่งทำให้มีเหงื่อมาก จะดึงเอาเกลือแร่ออกจากร่างกาย อ่อนระโหยสิ้นแรงเอาง่ายๆ
กับเนินลาดชันการไต่ระดับขึ้นไป ต้องค่อยเยื้องย่างโดยยึดแบบการเยื้องย้ายของช้าง ที่ก้าวไปอย่างเนิบนาบไม่เร่งโหมแรงให้เสียแรงและเหนื่อยหนัก

แต่เหตุการณ์ฉุกละหุกในตอนเช้า เป็นร่องรอยกลุ่มคนพักค้างแรมหมาดใหม่ ทำให้เราละทิ้งหลักการพวกนี้สิ้น ขณะตัดสินใจเบนจากเส้นทางคุ้นเคย ตัดภูเขาหัวโล้นกว้างไกลเหยียดยาวสุดลูกหูลูกตา
ตัดทางฝ่าทุ่งทึบรกรื้อด้วยทุ่งหญ้าคา เรียวใบแหลมคม ทั้งระคายคัน
หญ้าป่ากลางหน้าแล้งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ใบสดแก่จัดและใบแห้งที่ชูระบัด คมเหมือนใบมีด จึงไม่ต่างจากดาบ หอก เหลือคณานับชูสลอนกวัดไกว


บนสันภูหัวโล้นไม่ว่าจะเหลียวมองไปทางใด เห็นแต่ทุ่งหญ้าสีเหลืองโล่งกว้างละลานตาไร้ขอบเขต ลอนเนินทิวเขาลูกแล้วลูกเล่า เหลืองแห้งไม่เห็นที่สิ้นสุด เราคือกลุ่มคนกระจ้อยร่อยราวแมลงตัวน้อยลุยเข้าไปในภูเขาดาบ ทะเลเพลิงที่แดดจ้ากลางฟ้าโล่งเร่งทวีแรงแผดเผา
ความร้อนเร่าค่อยพุ่งทะลักไปสู่จุดเดือด
แขนตวัดใบหญ้าแหวกทาง ทำให้หลังมือเปลือยถูกคมเรียวใบกรีดเป็นแผลเจ็บแปลบ แต่ความจำเป็นต้องเบิกทาง ทั้งป้องกันใบหน้าไม่ให้ถูกบาดเฉือน มือที่ต้องใช้ราวเครื่องจักรซ้ำซากอยู่อย่างนั้น กระทั่งหลังมือยับเยินด้วยแนวบาดแผล
เจ็บแสบจนเนื้อเต้นระริก

การเร่งรีบขับเหงื่อไหลโซม ยิ่งโหมดื่มดับกระหาย ยิ่งเสียเหงื่อจนเหนื่อยอ่อน หลังมือเยินด้วยริ้วบาดแผลกรังเลือดโลมด้วยเหงื่อ เจ็บแสบแทบดิ้นทุรน ความรู้สึกที่ชวนให้ซาบซึ้ง ถึงความหมายของสำนวน "เชือดเนื้อเอาเกลือทา" ขณะทั่วเรือนร่างในร่มผ้าระคายคันชวนคลั่ง
ยามเที่ยงในดงหญ้าคาไพศาล เราได้พบว่า นรกมีจริง
หลายคนเกิดการต่อปากต่อคำกัน เรื่องการดื่มกินที่ไม่สามารถควบคุม น้ำเหลือน้อยจนอาจไม่มีแรงพอจะข้ามพ้นทุ่งหญ้าแล้งร้าย มีคนหงุดหงิดตะโกนคลั่ง เหนี่ยวไกปืนยิงขึ้นฟ้า นกหลายตัวแตกตื่นบินกระพือจากพงหญ้า เราเพิ่งคิดได้ว่าแถบนี้มันโล่งโล้น ไม่มีต้นไม้ให้นกที่บินผ่านโผลงพักเหนื่อย
และเราต้องดึงลากชีวิตเผาไหม้ ซัดเซไปเหมือนพวกเดนตาย...



แดดร้อนจัดหลังสงกรานต์ทำให้ผมคิดซ่านไปไกล บางทีมันเหมือนจะบอกว่า น้ำที่ราดรดสาดใส่ในช่วงเทศกาล สะอาดใสชุ่มเย็นแค่ผ่อนเพลาความร้อนรุ่มภายนอกเพียงชั่วขณะ
วัยที่ล่วงเลยถึงเวลาต้องราดรดลึกเข้าไปสู่ภายใน

ท่านติช นัต ฮันห์ พระเถระพุทธศาสนามหายาน มีคำสอนราวคำกวีในหนังสือชื่อปลูกรักว่า ตามคติพุทธศาสนา จิตสำนึกประกอบด้วยสองส่วนคือ ห้วงวิญญาณ กับ จิตวิญญาณ

ห้วงวิญญาณ เป็นที่ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต ประสบการณ์ทั้งหลาย ทุกสิ่งที่เราเคยทำ เคยได้รับ จะฝังตัวอยู่ที่นั่น เมื่อเมล็ดพันธุ์ได้รับน้ำ มันจะแสดงออกมาในจิตวิญญาณ
การเจริญสติก็คือ การรดน้ำพรวนดินแห่งห้วงวิญญาณเรา
เราต้องวางใจผืนดินของเรา รู้ว่าเมล็ดพันธุ์แห่งรักและความเข้าใจ เมล็ดพันธุ์แห่งการรู้แจ้ง และความสุข ล้วนมีอยู่แล้วบนผืนดินนั้น...

ไม่แต่ครูเท่านั้นจะพูดธรรมะกับเราได้ ต้นไผ่สีม่วง เบญจมาศเหลือง และแสงสีทองของดวงอาทิตย์อัศดง ล้วนพูดกับเราได้พร้อมๆ กัน สิ่งใดก็ตามที่สามารถรดน้ำให้แก่เมล็ดพันธุ์ซึ่งอยู่ลึกสุดในห้วงวิญญาณของเราได้

สิ่งนั้นย่อมเป็นธรรมะแท้

เพื่ออยู่กับชีวิตกลางวันแล้งร้าย เราคงจำเป็นต้องอยู่อย่างร้อนนอก เย็นใน



++

"มิตรภาพ" แสนแพง
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1654 หน้า 80


ฉันเพิ่งกลับจากการไปเจอเพื่อนมา
ในวัยสามสิบต้นๆ เพื่อนของคุณเป็นใครกันบ้างคะ?
เพื่อนสมัยประถม สมัยมัธยม หรือเพื่อนที่ทำงาน?
เพื่อนของฉันมาจากสังคมโซเชียล เน็ตเวิร์กค่ะ 

หนึ่งในความดีของเฟซบุ๊กนั้นเป็นคำตอบเดียวกันกับความไม่ดีของมัน คือเราจะได้ทำความรู้จักกับคนแปลกหน้ามากมาย 
บางที คนแปลกหน้าก็เหมาะกว่าที่จะใช้คุยเล่นเพื่อความสนุกสนาน หรือใช้ระบายอารมณ์แบบไม่ต้องห่วงใยกันมาก เพราะมารู้จักกันในโลกที่เราทุกคนต่างก็ใส่หน้ากากและจัดรูปแบบความเป็นตัวเองมาแล้วเรียบร้อย ไม่ต้องคาดหวังอะไรกันมาก รักกันแบบมีระยะ และเรื่องส่วนตัวก็เพียงแค่ให้คำแนะนำต่อกันแล้วก็ปล่อยให้แต่ละคนไปจัดการปัญหาของตัวเอง
จะมาโกรธมางอนอะไรกันดูเป็นเรื่องรุงรังเกินจำเป็น
เพราะสำหรับฉัน, เพื่อนเรียกตัวเองว่าเป็นเพื่อนสนิท หรือเพื่อนที่วางตัวว่าเป็นเพื่อนรู้ใจบางทีก็น่ารำคาญ

คนบางคนไม่รู้จุดที่แสดงความพอเหมาะพอดี บ้างก็ชอบล้ำเส้นด้วยเหตุที่เรียกว่าความเป็นห่วง ซึ่งบ่อยครั้งฉันเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ฉันไม่ชอบให้คนมาเซ้าซี้ หรืออำอะไรซ้ำๆ ซากๆ เพื่อแสดงตัวว่ารู้เรื่องส่วนตัวของเรามากกว่าคนอื่น เล่นตลกกับรายละเอียดในชีวิตของเราอย่างไม่สนใจอารมณ์เจ้าของเรื่องเพราะถือตัวว่าสนิท ส่งข้อความมาหาเพื่อถามว่า "ทำอะไรอยู่" โดยคิดเอาเองว่าเรายังไม่นอน

จริงๆ ปัญหามันอาจเกิดมาจากฉันก็ได้ไม่ใช่ใครอื่น
แน่ๆ เลย



ปัญหามันเริ่มต้นมาจากฉันนี่เอง
ตอนเด็กๆ ฉันคงเคยอยากให้มีคนยอมรับเหมือนกัน
แม้ไม่อาจเป็นนางพญาผึ้งในฝูง แต่การได้ประกบนางพญาก็ดูน่าสนใจ

ตอนประถมฉันถึงได้พยายามเข้ากลุ่มกลุ่มหนึ่ง
หัวหน้ากลุ่มเป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารัก มีคุณแม่แต่งตัวสวยมารับทุกเย็น มีข้าวของแบบที่เด็กผู้หญิงด้วยกันเห็นแล้วตาโตลุกโพลง
ผ้าเช็ดหน้า กล่องดินสอ กระเป๋าสวยน่ารัก
และสิ่งของต้นเหตุอันนั้น
ดินสอกด

มันเป็นดินสอกดจากแคแร็กเตอร์ตัวการ์ตูนญี่ปุ่นยอดนิยม
ในยุคที่ฉันยังต้องนั่งใช้กบเหลาดินสอไม้ของตัวเองนั้น
ดินสอกดแทบจะเป็นนวัตกรรมจากต่างดาวที่สามารถทำให้มนุษยชาติมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ยังไงยังงั้น
มันถูกส่งเปลี่ยนหมุนเวียนกันลองใช้
คนนู้นกดที คนนั้นลองเขียน คนนี้ขอเปลี่ยนไส้ดินสอ

ในที่สุดมันก็เวียนมาถึงมือฉัน
และมันหัก
ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉันหรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ แต่มันก็หักคามือทันทีที่ฉันจับ

แน่นอนว่าหลังจากการหักก็มีทั้งเสียงอุทานกรี๊ดกร๊าดจากฝูงผึ้งรอบๆ ตัว และเสียงร้องไห้ของนางพญา
จากนั้นก็เป็นเรื่องของการต่อรอง


นางพญาผึ้งบังคับให้ฉันจ่ายเงินให้เธอวันละ 5 บาท จนกว่าจะครบค่าดินสอแท่งนั้น
ด้วยความตกใจระคนมึนงง ฉันก็จ่าย
ในครั้งนั้นฉันได้เงินไปโรงเรียนครั้งละ 7 บาท
หายไป 5 บาทก็เหลือแค่สองบาทไว้กินขนมอย่างขมขื่นใจ

เหตุการณ์ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนเกือบครบเทอมโดยที่ฉันไม่ได้เอะใจแม้แต่นิดว่าราคาจริงมันเท่าไหร่
หรือที่ผ่อนจ่ายไปมันควรจะครบราคาเต็มได้แล้ว
ได้แต่ก้มหน้าก้มตาจ่าย และถูกกันไปอยู่รอบนอกของฝูงผึ้งนางพญานั้น

จนในที่สุดแม่ฉันก็เอะใจว่า ทำไมกระปุกออมสินฉันถึงไม่มีเงินเพิ่มเลยแม้แต่นิด และมาสอบถามคาดคั้นเอาความจริงจนได้
ฉันบอกความจริงกับแม่ไปด้วยความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างโล่งใจปนเครียด เพราะไม่รู้จะเป็นความผิดของฉันหรือเปล่า

ฉันไม่รู้ว่าแม่ไปจัดการเรื่องนี้ยังไง
แต่เพื่อนก็ไม่มาทวงเงินฉันอีก
และฉันก็-อย่างที่คุณคงเดาได้-ไม่มีเพื่อนอีกเหมือนกัน



แต่ฉันก็เรียนรู้ที่จะปลอบประโลมใจตัวเองว่า
ถ้ามิตรภาพต้องมีราคาขนาดนั้นล่ะก็...
ฉันไม่มีดีกว่า
ฉันยังคงใช้บทเรียนนั้นมาจนถึงทุกวันนี้


* * * * * * * * * * * * * * * * * * *

แรงบันดาลใจจากบทความ "มีบ้างไหม "เพื่อน"" จากหนังสือ "ฤดู ทำใบไม้เปลี่ยนสี หรือบางที...อาจเป็นแสง" เขียนโดย แมกไม้ ฉบับพิมพ์รวมเล่มครั้งที่ 1 มีนาคม, 2555 โดยสำนักพิมพ์โพสต์ บุ๊คส์



.