http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-04-07

นิ้วกลม: แจกลายเซ็น รับอะไร/ จอห์น: พบพิรุธ อุ่นเงาะ

.

แจกลายเซ็น รับอะไร
โดย นิ้วกลม www.facebook.com/Roundfinger.BOOK
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1651 หน้า 52


ขออภัยคุณผู้อ่านที่หายตัวไปจากหน้ากระดาษของมติชนสุดสัปดาห์ไปสองสัปดาห์ เนื่องจากติดภารกิจถ่ายรายการ "พื้นที่ชีวิต" ที่ประเทศอินเดีย กลับมาพร้อมความเพลียและความผอม เพราะอาหารแขกกับลิ้นของผมไม่ค่อยจะถูกกันสักเท่าไหร่ แถมยังได้ถ่ายท้องแถมท้ายทริป ยิ่งช่วยให้เอวกิ่วเอวคอดลงไปอีกครึ่งนิ้วเป็นอย่างน้อย

วันรุ่งขึ้นหลังจากกลับมาก็ได้เวลาขายหนังสือ
รีบบึ่งตรงไปยังงานหนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์เพื่อแจกลายเซ็นที่บู๊ธมติชน
ขออนุญาตใช้หน้ากระดาษของคอลัมน์ครั้งนี้เขียนถึงความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการแจกลายเซ็นสักนิดนะครับ
ถือเป็นการขอบคุณผู้อ่านทุกท่านไปพร้อมๆ กันเลยด้วย


ขณะที่กำลังนั่งเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ผมไปแจกลายเซ็นมาสองวันติดกัน (เสาร์-อาทิตย์) เริ่มหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ตั้งแต่สี่โมงกว่าๆ กว่าจะได้ยกก้นขึ้นจากเก้าอี้ก็เป็นเวลาเกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว

ผมแอบถามผู้อ่านบางคนว่าต่อแถวรอลายเซ็นอยู่นานแค่ไหน
บ้างตอบว่าชั่วโมงกว่า บ้างตอบว่าสองชั่วโมง
ผมได้แต่กล่าวคำขอบคุณ และขอโทษที่ต้องให้รอนาน

สำหรับคุณผู้อ่านที่เคยได้รับลายเซ็นไปก็จะเข้าใจว่าทำไมถึงต้องรอนาน อันที่จริงคนต่อแถวอาจจะไม่ได้เยอะมากมาย แต่ไอ้คนเขียนนี่แหละที่เซ็นแต่ละเล่มยาวเหลือเกิน แถมบางเล่มยังเพลิดเพลินไปกับการวาดรูปผู้อ่าน รวมทั้งถามไถ่สารทุกข์สุขดิบราวกับญาติสนิทมาเจอกันในวันเช็งเม้ง
กิจกรรมแจกลายเซ็นเป็นกิจกรรมหนึ่งที่มีความสุข
ผมคิดว่ามันไม่ใช่แค่ "ลายเซ็น" หรอกที่เราหยิบยื่นให้กัน มีมิตรภาพบางอย่างลอยอยู่กลางอากาศที่ไม่มีใครเห็น แต่คนเขียนกับคนอ่านสามารถสัมผัสได้
ผ่านรอยยิ้ม แววตา และบทสนทนาสนุกๆ

การแจกลายเซ็นจึงไม่ใช่กิจกรรมที่ผู้อ่านต่อแถวเพื่อมารอ "รับ" ลายเซ็นจากนักเขียน นักเขียนก้มหน้าก้มตาเซ็นชื่อของตัวเองลงไปแล้วก็รีบยื่นให้โดยไม่มองหน้า (ผมยังไม่เคยเห็นนักเขียนคนไหนทำแบบนี้เลยสักคน ผมได้รับรอยยิ้มที่น่ารักจากนักเขียนรุ่นพี่ที่ผมไปต่อแถวขอลายเซ็นอยู่เสมอๆ) เพราะถ้าต้องการแค่ลายเซ็น ก็พิมพ์ใส่มาในหนังสือได้ตั้งแต่ต้น

ลายเซ็นเป็นสิ่งพิเศษก็เพราะมันไม่ได้ถูก "พิมพ์" ขึ้นมา
แต่ละลายเซ็นอาจจะคล้าย แต่ไม่เคยเหมือนกันเด๊ะ
ลายเซ็นจึงเป็นตัวหนังสือที่มีชีวิต
ยึกยือ โย้เย้ ตามอารมณ์และความเมื่อยนิ้วของผู้เขียน
และอาจจะเป็นเพราะไอ้เจ้าความมีชีวิตนี่เองที่ทำให้ผู้อ่านสามารถรอต่อแถวเป็นเวลานานได้
เพราะจะได้เจอกับคนเขียนตัวเป็นๆ หลังจากที่เคยอ่านแต่ตัวหนังสือในหน้ากระดาษ

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่แน่ใจว่าผู้อ่านจะรู้หรือไม่ นั่นคือ ผู้เขียนเองก็อยากเจอผู้อ่านตัวเป็นๆ เช่นกัน



งานเขียนหรือหนังสือนั้นเป็นเหมือนจดหมายที่ใส่ซอง ติดแสตมป์ แต่ไม่ได้จ่าหน้าซองถึงผู้รับ ผู้เขียนไม่รู้ว่ามันจะเดินทางไปถึงมือใคร ที่ไหน กี่คน

และยิ่งไม่รู้ว่า เมื่อแกะซองออกอ่านแล้วเขาจะรู้สึกอย่างไร อ่านจบไหม อ่านเร็วหรืออ่านช้า หรือว่าเขาจะขว้างทิ้ง?

คำตอบอยู่ในสายลม
ระหว่างเขียนและอ่าน ผู้เขียนกับผู้อ่านเหมือนอยู่ใกล้กันเพียงแค่หน้ากระดาษกั้น แต่ในความเป็นจริงหากยกกระดาษแผ่นนั้นออกไป ระยะทางแท้จริงย่อมทอดไกลหลายกิโลเมตร

การแจกลายเซ็นจึงคล้ายกับการที่ผู้รับยื่นซองจดหมายให้ผู้ส่งเพื่อที่จะจ่าหน้าซองถึงเขาหรือเธอคนนั้น
เป็นการยืนยันว่าจะมีผู้รับจดหมายฉบับนี้แน่ๆ (ส่วนอ่านแล้วจะขว้างทิ้งหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง-ฮ่าฮ่า)

นอกจากนั้น ยังเป็นการยืนยันว่าจดหมายฉบับก่อนหน้านี้ที่เคยทยอยส่งไปก็ได้รับการกวาดตาอ่านเช่นกัน
เมื่อเจอกันก็เล่าสู่กันฟังถึงความรู้สึกขณะอ่าน สิ่งที่ได้รับ บรรทัดที่ชอบ
สำหรับอาชีพที่นั่งทำงานคนเดียวในห้องเงียบๆ อย่างคนเขียนหนังสือ จะมีอะไรที่เติมพลังได้ดีไปกว่ารอยยิ้มและคำพูดดีๆ จากผู้อ่านของเขาอีกเล่า


มองจากสายตาของคนที่ไม่ได้เขียนและไม่ได้อ่าน การที่ใครสักคนอดทนรอต่อแถวเป็นเวลาสองชั่วโมง และใครอีกคนอดทนนั่งทับริดสีดวงทวารหนักของตัวเองนานสี่-ห้าชั่วโมงเพื่อแจกลายเซ็น ก็คงเห็นเป็นเรื่องตลก

แต่สำหรับผม-ซึ่งเป็นคนเขียนหนังสือคนหนึ่ง-ผมเห็นว่ามันเป็นช่วงเวลาที่น่ารักระหว่างผู้อ่านและผู้เขียน
จึงใช้เวลากับแต่ละ "ลายเซ็น" ไม่น้อย
เพราะนานๆ เราจะเจอกันสักหน

ผมเชื่อว่านักเขียนทุกคนย่อมรู้สึกดี เวลาที่รู้ว่ามีคนชื่นชอบตัวหนังสือของเรา
รอยยิ้ม แววตา และคำชมเชยเหล่านั้น บอกกับผมว่า "อย่าทรยศคนอ่าน"
แน่นอน, นักเขียนไม่จำเป็นต้องเขียนหนังสือเพื่อเอาใจใคร และไม่จำเป็นต้องมานั่งขบคิดวางแผนว่าจะเขียนอย่างไรให้ถูกใจผู้อ่าน

คำว่า "ไม่ทรยศคนอ่าน" น่าจะหมายถึงการตั้งใจทำงานเขียนให้ดีที่สุด เท่าที่ฝีมือ สมอง และเวลาในชีวิตจะอำนวย

ตั้งใจ พิถีพิถัน เอาจริงเอาจัง

หากทำแบบนั้นแล้วคนอ่านไม่ชอบ อย่างน้อยเราก็มั่นใจได้ว่าเราได้ทำเต็มที่แล้ว

ก็ไม่ได้เป็นญาติมิตรที่สนิทชิดเชื้อกันขนาดนั้น แต่ผมคิดว่าสถานะระหว่างนักเขียนกับผู้อ่านย่อมไม่ใช่ "พ่อค้า" กับ "ลูกค้า" เป็นแน่
ผมคิดว่า หากมีพ่อครัวในร้านอาหารแห่งหนึ่งทำอาหารแล้วมีลูกค้าประจำแวะเวียนเข้ามาที่ร้านของเขาบ่อยๆ กินเสร็จก็บอกกับเขาว่า "อาหารวันนี้อร่อยเหาะเลยครับ" คงไม่ใช่แค่รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา คงไม่ใช่แค่หัวใจที่พองโตอยู่ใต้นมข้างซ้ายเท่านั้น แต่ในหัวของเขาคงครุ่นคิดอยู่เสมอว่า "พรุ่งนี้ฉันจะทำเมนูใหม่อะไรให้เขากินดี ที่สำคัญ...มันต้องอร่อย"
ความสัมพันธ์ของพ่อครัวคนนี้กับลูกค้าคนนั้น ย่อมไม่ได้ผูกพันกันด้วยการค้าหรือเงิน

และการที่พ่อครัวคนนี้พยายามจะพัฒนาฝีมือในการทำอาหารของตัวเองก็ไม่ได้เพื่อแข่งขันกับใคร มิใช่เพราะกลัวจะขาดรายได้ แต่เขาคิดว่า "ฉันจะไม่ทำให้คนที่มาลิ้มรสอาหารของฉันต้องผิดหวัง"
นั่นอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ลูกค้าไม่เคยรู้ ว่าเขาเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พ่อครัวอยากทำอาหารให้อร่อยขึ้น

ส่วนจะทำได้หรือไม่นั้นก็คงต้องใช้ทั้งทักษะ ประสบการณ์ ความรู้ และความพยายาม
ร้านอาหารที่พ่อครัวเดินออกมาถามไถ่ลูกค้าว่า "อาหารรสชาติเป็นอย่างไรบ้างครับ" อยู่บ่อยๆ อาจจะมีเมนูใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์และเอร็ดอร่อยเพิ่มมากขึ้น
เพราะช่วงเวลาที่พ่อครัวเดินออกจากครัวคือช่วงเวลาแห่งการเติมพลังให้ตัวเอง

อาหารอร่อยๆ อาจเติมพลังให้คนที่ได้กินมันเข้าไป แต่คำว่า "อร่อย" จากปากผู้ที่ได้กินกลับเติมพลังให้คนทำ

สำหรับนักเขียน เราอาจเรียกช่วงเวลาของการเดินออกจากครัวว่า "แจกลายเซ็น"

แต่อันที่จริง มันเป็นช่วงเวลาที่ผู้อ่านมา "แจกพลัง" ให้กับผู้เขียนต่างหากล่ะ!


ฒิฬ: ผมจะไปนั่ง "รับพลัง" ในงานหนังสือ วันเสาร์-อาทิตย์ที่ 7-8 เม.ย. เวลา 16.00-18.00 น. ที่บู๊ธมติชน ขอเรียนชวนมา ณ โอกาสนี้นะครับผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านฒฝิฬ



++

พบพิรุธ อุ่นเงาะ!
โดย จอห์น วิญญู spokedark.tv www.facebook.com/spokedarktv
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1650 หน้า 79


กะว่าจะเขียนเรื่อง "พ็อง ด็อง" แต่ทั้งฟังทั้งอ่านมาระยะหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงอาการ "พายเรือในอ่าง" และการพร้อมใจกันทำเป็นไม่เห็น "ช้างสีชมพู" ตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ที่มุมห้องนั้นมันก็ช่างเป็นมุขเก่า เชย เช้ย เชย สิ้นดี เขียนไปคุณผู้อ่านก็จะพาลหดหู่ซะเปล่าๆ

เปลี่ยนไปตั้งเป้าเขียนเรื่องปฏิกิริยาของพรรคเพื่อไทยต่อคอมเมนต์ "ตายแล้วก็พูดไม่ได้" ของ บิ๊กบัง บุญยรัตกลิน ว่าการมาซอกแซกถามกันแบบนี้เรียกว่าเป็นการ "ฟื้นฝอยหาตะเข็บ" ควรมองไปข้างหน้าจะดีกว่า!

ก็เห็นว่า นักการเมืองก็เป็นแบบนี้แหละ

จะร้องแรกแหกกระเชอหาความยุติธรรมก็ต่อเมื่อตัวเองไม่ได้อยู่ในฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น

ไหนเลยพรรคเพื่อไทยและเด็จพี่จะมีอะไรแตกต่าง

ถอนหายใจเบาๆ และแค่จำไว้

เช่นเดียวกับข่าวดีเอสไอพบ "พิรุธ" การครอบครองที่ดินบนเขาแพงที่เกาะสมุยของ นายแทน เทือกสุบรรณ ลูกชายอดีตนายกฯ เอ๊ย รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ

ดีเอสไอนี่หูตาไวและจริงใจต่อหน้าที่มาก ทิ่มตาคนทั้งประเทศมาสองสามปีแล้ว

และในที่สุดเมื่อดนตรีเปลี่ยนทำนองและคนร้อง ดีเอสไอซึ่งประหนึ่งนักดนตรีมืออาชีพก็เล่นลงจังหวะเผง "พบพิรุธ" ในเรื่องดังกล่าวจนได้

ว้าวๆๆ



เอาใหม่! หาเรื่องจรรโลงใจเขียนกันดีกว่า

ไทยรัฐออนไลน์ พาดหัว : "เสื่อมหนัก "ตุ๊กตายางฟีเวอร์" อึ้งเวอร์ชั่นใหม่ ออรัลเซ็กซ์ ปรับร้อน-อุ่น ได้!"

ว้ายยยยย! อกอีแป้นแล่นทุบตึก!

แม้ว่าไทยรัฐออนไลน์จะพาดหัวว่า "เสื่อม" ตั้งต้นข่าว ด้วยการบอกว่าโอ๊ยสังคมวิปริตหยั่งงั้นหยั่งงี้ และได้รับแจ้งเรื่องนี้จากผู้ปกครองที่เป็นห่วงเป็นใยสังคมไทยว่าจะวิปริตกันไปใหญ่

แต่เนื้อข่าวที่เหลือต่อจากนั้นมันช่างคลึงคล้าย tie in โฆษณาเสียนี่กระไร อิอิ

ถ้าใครกำลังคิดอยากจะได้ตุ๊กตายางขั้นเทพมาอยู่ในครอบครองซักตัวล่ะก็ ข่าวชิ้นนี้เป็น introduction to อะ นิว ตุ๊กตายาง ฟอร์ ยู แบบทุกขั้นตอนเลยทีเดียวเชียว อั้ยหยะ! แค่พูดก็อุ่นเงาะแล้ว ก๊าก

จะอะไรซะอีกล่ะ ก็มันมี "ผู้ปกครอง" เค้าชี้ "เบาะแส" วิธีการซื้อตุ๊กตายางมาน่ะสิครับ โอ๊ย ตาย เสื่อมมากๆ

บอกคำ search บนกูเกิ้ลให้เสร็จสรรพเรียบร้อย แบบว่า ถ้าตะเองอยาก "เสื่อม" อ่ะนะ ให้เข้ากูเกิ้ลไปนะ แล้วพิมพ์คำว่า "ตุ๊กตายาง" นะ แล้วมันจะแสดงผลขึ้นมาเต็มไปหมดเลย โอ๊ย เสื่อมมาก สังคมสังคัง มาร่วมเกา เอ๊ย เส็งเคร็ง มาร่วมแก้กันเร้ววว แย่มากๆ (อย่าลืมทำเสียงสูงๆ ดีดดิ้นหน่อยตอนอ่าน)

คุณผู้อ่านครับ ของแท้จากญี่ปุ่นตัวละเป็นแสน แต่ของก๊อบเกรดเอไทยแลนด์ ทำจากซิลิโคนระดับเดียวกันแต่นำเข้าจากเมืองจีน อะไรต่อมิอะไรปรับอุณหภูมิให้อุ่นมากอุ่นน้อยได้ น้ำหนักแค่ 7-10 กิโลกรัม "สัดส่วน อก 86 ซ.ม. เอว 55 ซ.ม. สะโพก 94 ซ.ม. สูง 160 ซ.ม."

"ถ้าเป็นมนุษย์จริงก็เรียกได้ว่าตัวเล็กแต่น่าฟัด โดยเฉพาะหน้าอกที่ใหญ่ได้ใจหนุ่มๆ"

แถม ร้องได้ สั่นได้ ฮู้ย ทำได้อีกหลายอย่าง

ราคาเบ็ดเสร็จ สามหมื่นเก้า!

เฮ้ย ลืมไป หน้าเหมือนดาราเอวีด้วยนะ!! หรือจะเอาแบบบิ๊กอายสุดแบ๊ว แบบหน้าเหมือนตัวการ์ตูน หรือสวยเฉี่ยวเปรี้ยวปริ๊ดส์ก็มีให้เลือกได้มากมาย

ว้าวๆๆ

นี่ข้อมูลและลีลาการเขียนจากเนื้อข่าวล้วนๆ เลยนะครับ

แค่นั้นยังไม่พอ สำหรับหนุ่มๆ ที่อาจจะยังไม่ค่อยมีสตางค์มาก ทางผู้ผลิตขอแนะนำ "ตุ๊กตาเป่าลม" ราคา 3,900 บาทเท่านั้น! เค้าบอกว่า

"ตัวนี้ก็ขายดี แม้จะไม่ดีเท่ากับซิลิโคนแต่ก็พอใช้ได้แก้ขัด น้ำหนักก็ไม่มากแค่ 2-3 กิโลกรัมเท่านั้น แต่อาจไม่ทนทานเท่า"

และ "ถ้าสนใจโอนเงินมัดจำมาก่อน แล้วรออีก 15 วัน จะส่ง EMS ไปให้ที่บ้าน"

บอกวิธีสั่งซื้อเสร็จสรรพ

มันก็น่าเป็นห่วงน้องตุ๊กตายางอยู่หรอก ของแบบนี้คงต้องมัดจำหนักมากๆ

เพราะซื้อแล้วคงไม่มีใครยอมรับเปลี่ยน น่าจะออกแนวเดียวกับสินค้าจำพวกกางเกงใน

ไม่ว่าจะห้างใหญ่โตขนาดไหน ซื้อไปแล้วไม่รับเปลี่ยนคืนแหงมๆ อิอิอิ



ยังครับ ข่าวยังไม่จบ นอกจากตุ๊กตายางหญิงแล้ว ทางผู้ผลิตยังมีตุ๊กตายางชายไว้นำเหนอท่านผู้สนใจอีกด้วย รูปร่างหน้าตามาจากดาราชาย หล่อเข้มล่ำบึ้ก ปรับท่าทางได้ด้วยอีกตะหาก

(ตรงนี้ไม่ได้อ่านละเอียดครับเพ่ ไม่ได้อยู่ในความสนใจมากนัก อิอิอิ)

โอ๊ย เสื่อม เรียก "เจ้าหน้าที่" มาเกา เอ๊ยกวาดล้างเร้วววว!

ครับผม! ใครช่วยตามหาอัจฉริยะที่คิดค้นนวัตกรรมสุดยอดนี้ให้ผมทีเหอะ ผมจะส่งชื่อไปให้คณะกรรมการโนเบลพิจารณาให้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพให้คนคนนี้หรือคนหมู่คณะนี้ให้จงได้!

ตุ๊กตายางเหมือนจริงนี่แหละ คือคำตอบของมนุษยชาติ คุณไม่ติด HIV จากตุ๊กตายางนะครับ (ยกเว้นว่าคุณจะแบ่งกันใช้หลายคน---แต่อย่างน้อยการฆ่าเชื้ออาจจะทำได้ง่ายกว่า)

ปริมาณของผู้ให้บริการทางเพศอาจจะลดลง (เพราะ demand ลด)

และถ้าใครเชื่อว่าการดูหนังโป๊เป็นสาเหตุของการข่มขืน ดังนั้น ถ้าคนส่วนมากมีตุ๊กตายางอยู่ในครอบครอง ตามตรรกะนี้ ผู้หญิงที่จะต้องโดนข่มขืนก็จะน้อยลงจริงป่ะครับ

ผมคิดว่าเหล่าตุ๊กตายาง ...ของที่สังคมว่าเสื่อม ได้สร้างคุณูปการแก่โลกใบนี้แล้ว ด้วยการแบ่งเบาค่าความเสี่ยงซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสื่อมจริงๆ อันได้แก่ การข่มขืนหรือการล่วงละเมิดทางเพศนั้นลงไปบ้าง ไม่มากก็น้อย

ผมจึงอยากแสดงความนับถืออย่างจริงใจแก่พวกเธอและเขา

ด้วยการออกไปซื้อมาคารวะสักตัวสองตัว

อ่าส์



.