http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-04-06

ศิลา: หัวใจในบทเพลง/ ปรารถนา: ..เป็นมาและ..ไม่มีปัญหา

.
การ์ตูนที่รัก - เมื่อวานเจ๊ทานอะไร? (2) โดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
บทแนะนำเก่า - เพลงเป็นเหตุ โดย ทราย เจริญปุระ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

หัวใจในบทเพลง
โดย ศิลา โคมฉาย คอลัมน์ แตกกอ-ต่อยอด
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1651 หน้า 67

แวะเข้าไปทักทายน้าหว่อง คาราวาน กำลังรอขึ้นเวทีงานแสดงมุทิตาจิต กวีรัตนโกสินทร์ นับเป็นโชคเหลือหลายได้พบและคารวะ ชาย เมืองสิงห์
นักร้องที่ยกไว้ในฐานะครู
คนรุ่นผมโตและรู้จักฟังเพลงในช่วงที่นักร้องหนุ่มหน้ามน จากสิงห์บุรี แจ้งเกิดและโด่งดังสุดขีด ที่สำคัญเพลงลูกทุ่งยุคนั้น มีคุณูปการกับการเป็นนักเขียนไม่น้อย การฟังเรื่องเล่าผ่านบทเพลง ปลุก กระตุ้น และฝึกฝนจินตนาการ ได้เห็นการเลือกใช้คำ ทั้งที่งามวิจิตรและเรียบง่ายกระชับ หากก่อผลสะเทือนรุนแรง สำบัดสำนวน การเปรียบเทียบ ลุ่มลึกแหลมคม เมื่อผนวกเข้ากับท่วงทำนองต้องกัน
ศิลปะแห่งบทเพลงสะทกสะเทือนอารมณ์ความรู้สึก

ทักทายถามไถ่ น้าหว่อง ถึงการฟื้นฟูสุขภาพ จากความป่วยไข้ขั้นรุนแรง ในวันที่ยังต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัว ได้คำตอบว่าเป็นไปในทางดี
ก่อนจะช่วยกันฟื้นความจำกับบางเรื่องเก่าๆ เพื่อยืนยันข้อมูล อย่างการยกวงคาราวานเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งแรก หลังการเปิดตัวคืนสู่รัง ในคอนเสิร์ต ฟอร์ ยูนิเซฟ เมื่อปี 2525 เมื่อได้รับเชิญจากสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ไปออกรายการ เสียงของเอเชีย อะไรทำนองนั้น
ร่วมกับแขกรับเชิญอีกรายจากฮ่องกง เติ้ง ลี่ จวิน

ข่าวคราว คนป่าคืนเมือง ของคาราวาน ช่วงเวลานั้นคงดังและแพร่กระจายไปไกล นักร้องชั้นนำของเอเชียอย่าง เติ้ง ลี่ จวิน จึงพยายามมองหาศิลปินไทยแลนด์ แต่หาเท่าไรก็ไม่เห็น กระทั่งปะเข้ากับน้าหว่อง ในสารรูปปกติของนักดนตรีเพื่อชีวิต ที่กำลังเดินไปห้องน้ำ เธอตัดสินใจสอบถามว่า รู้จักวงคาราวานไหม? พวกเขาใช้ห้องแต่งตัวห้องไหน?
น้าหว่องยืดอกตอบ...ผมนี่แหละ คาราวาน
เติ้ง ลี่ จวิน เพ่งมองแล้วร้อง...ฮ้า! นึกว่าช่างไม้ คนทำฉาก


ผมถามไถ่ชาย เมืองสิงห์ ถึงข่าวคราววงชาดก วงดนตรีไทยประยุกต์ทิศทางเดียวกับวงฟองน้ำ หากเป็นแบบบ้านๆ มากกว่า ลูกชายซึ่งเป็นนักเรียบเรียงเสียงประสานดนตรีสากล กับ ปู ดอกกระโดน คนระนาดมือดีและทีม ช่วยกันพัฒนาสืบทอดมาจากที่เคยมีในวงดนตรี ชาย เมืองสิงห์ ยุคท้ายๆ
ได้รับคำตอบว่า ออกงานมาแล้ว 2 ครั้ง ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี

ก่อนจะลงลึกไปถึงเบื้องหลังประดาเพลงดังมากมาย อย่างเพลง ทำบุญร่วมชาติ แม้จะฟังเป็นลูกทุ่งง่ายๆ แต่ผู้แต่งเอาความคิด อารมณ์ความรู้สึกที่ได้จากการอ่านวรรณกรรมคลาสสิค กามนิต-วาสิฏฐี มารังสรรค์
ผมจึงต้องฟังเพลงนี้อย่างน้อมใจ...ชาติก่อนเราเพียงคู่เคียง เก็บดอกไม้ร่วมต้น แต่ว่าเราสองคนไม่สนใจใส่บาตรร่วมขัน...


ชาย เมืองสิงห์ ย้อนลึกลงไปในชีวิต แยกแยะตัวตนของศิลปินให้เห็นองค์ประกอบอันหลากหลาย บิดาสืบเชื้อสายไทเบิ้งจากโคราช มีลายเพลงของตัว กับมารดาทะแยมอญ ทั้งกำเนิดอยู่ในถิ่นลิเก หมอทำขวัญ เพลงพื้นบ้าน
ทุกสิ่งทุกอย่างซึมซ่านในสายเลือด
เมื่อผสมผสานคั้นกลั่น แล้วปั้นแต่ง จึงเป็นเพลงแบบ ชาย เมืองสิงห์

เพลงที่คณะกรรมการพิจารณามอบรางวัลในอดีต จนปัญญาจะจำแนกประเภท แต่เป็นเพลงนับพันที่ยืนยันความเป็นศิลปินแห่งชาติ


ขณะสนทนาผมพลันคิดไปถึงบทสัมภาษณ์ ของ ไมค์ ภิรมย์พร เจ้าของ "ยาใจคนจน" ขวัญใจชาวแรงงานที่ประกาศว่า แม้แนวเพลงในกระแสจะเป็นลูกทุ่งแนวใหม่ แต่งานเพลงชุดใหม่ของเขา "ไม่สายเกินรอ" จะเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง คือเพลงลูกทุ่งชนิดเดิมๆ
ต้องการสื่อให้เห็นว่า เพลงลูกทุ่งยังเป็นวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับคนไทย ไม่อยากให้สูญหาย หรือถูกแนวที่ไม่ใช่ลูกทุ่งแท้เข้ามาเบียดขับ กลืนกิน ไร้ซึ่งเอกลักษณ์ของเพลงลูกทุ่ง

"ลูกทุ่งมันเป็นศิลปะ มีภาษาไทยที่สื่อสารกันเข้าใจ"
ผมรู้สึกชื่นใจ จนนึกอยากร้องเพลงพันธุ์แท้ขึ้นทันทีทันใด



บางช่วงขณะเฝ้าพิจารณา ความโรยราและพิษของความเจ็บป่วย ที่คุกคาม น้าหว่อง คาราวาน ผู้ยังคงสภาพศิลปินเพลงเพื่อชีวิต เดินสายทำการแสดงอย่างสม่ำเสมอ ผมคิดไปถึงงานแถลงข่าวคอนเสิร์ต "คิดถึงลันตา" เมื่อหลายปีก่อน
ครั้งนั้นน้าหว่องพูดถึง ปัญหาการอำลาเวที ที่ทำไม่ได้เด็ดขาดอย่างตั้งใจ เพราะยังมีแฟนเพลงเรียกร้องต้องการเพลงคาราวาน ทั้งศิลปินรุ่นใหม่ก็ยากที่จะหาใครก้าวขึ้นมาทดแทน เพราะส่วนข้างมากไม่ได้หัวใจ อาจรับแค่รูปแบบหรือเปลือก
ผมคิดเอาว่า น่าจะเป็นเปลือกส่วนที่ เติ้ง ลี่ จวิน เห็น แล้วร้อง ฮ้า! คิดว่าเป็นช่างไม้
หรือรูปแบบวิธีการประกอบวง การร้อง บรรเลง ซึ่งสร้างสรรค์บนความเรียบง่าย

ขณะน้าหว่องยังคงตระเวนร้องเพลง "ผีโป่ง" เปิดโปงขบวนลักลอบตัดไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติ เลือกเวลาปฏิบัติการคืนฝนตก โดยสร้างเรื่องผีขึ้นหลอกข่มขู่คน
เพลงเพื่อชีวิตยอดนิยมหมาดๆ ได้รับรางวัลมหานครอะวอร์ด ครั้งที่ 8 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อราวๆ ช่วงกลางเดือนมีนาคม

ชื่อเพลง ดอกรักบานบนต้นงิ้ว
โอ...น้าหว่อง คาราวาน คงต้องทำหน้าที่ ดูแลรักษาหัวใจของเพลงเพื่อชีวิตไปอีกนาน...



++

ความเป็นมาและความไม่มีปัญหา
โดย ปรารถนา รัตนะ คอลัมน์ Se[XO]ver
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1651 หน้า 82


การเดินทางสู่ไซยะบุรี ครั้งนี้เป็นการวางแผนที่ชัดเจนมากกว่าทุกครั้ง เพราะได้ผู้นำทริป คือ พี่หญิง จิตรา ผดุงศักดิ์ ที่ข้าพเจ้าเห็นเธอโพสต์ภาพเส้นทางการเดินทางในลาว ผ่านเฟซบุ๊ก
มันเป็นการเดินทางของนักธุรกิจหญิง อันเปี่ยมปรัชญาชีวิต รู้สึกอยากรู้จักเธอมากๆ เธอเป็นดั่งผู้เชื่อมสัมพันธ์ตัวจริงในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ไม่มีจัดฉาก ไม่ต้องมีแถวต้อนรับ เธอเป็นจริง จริงกว่าจริง
วันหนึ่งเมื่อเห็นเธอประกาศว่า "ทนเสียงเรียกร้องไม่ไหวจากผู้อยากไปลุยลาว จึงเปิดรับผู้ร่วมทางขาลุยสู่เมืองลาวรุ่นแรก" ผ่าน ท่าลี่ สู่ ปากลาย และไซยะบุรี มุ่งสู่หลวงพระบาง

โอกาสไม่รอใคร ข้าพเจ้าไม่รอช้า ตกลงร่วมเดินทาง และแอบส่งเมล์หาพี่หญิงนัดแนะจุดหมายปลายทางชีวิตและความฝัน



บทที่ 1 sabaidi สะพานมิตรภาพ วันกะลาแตก

ครั้งแรกกับภาคอีสานพึ่งเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าไม่นานนัก เพราะสมัยเป็นนักศึกษา ข้าพเจ้าไม่เคยเลือกเดินทางขึ้นเหนือหรืออีสานเลย ด้วยความรักทะเล ทุกทริปของการเดินทางจะเป็นเกาะกลางทะเลเท่านั้น จนคราวหนึ่งด้วยหน้าที่การงานได้ไปกับคณะนักธุรกิจ และผู้ใหญ่ของหนองคายได้เดินทางทั่วถึง
รู้ตัวเองว่าสนใจแต่เรื่องไกลตัว ที่สุดแล้วก็สำนึก ข้าพเจ้าก็เป็นคนไทยในกะลาครอบมาก่อน
Mind set เดิม จึงถูกทำลายลงอย่างราบคาบ พินาศยับเยิน และยังเป็นการทำลายที่อัจฉริยะมาก มันได้ทำลายสมองอันรกเรื้อโกโรโกโสลงไป
ในที่สุด ข้าพเจ้าได้หัวสมองใหม่ใหญ่และกว้างขวางกว่าเดิม


บทที่ 2 Sabaidi Bolikhamsai

ครั้งที่สองที่ไปลาว ได้ไปที่แขวงบอลิคำไซ ทางตอนกลางของลาว (ตรงข้ามบึงกาฬ) ไปกับกลุ่มเยาวชน ที่ได้รับอิทธิพลจากหนัง สบายดีหลวงพระบาง หนังที่ทำให้คนไทยกลายเป็นนักท่องเที่ยวที่มากที่สุดที่ไปหลวงพระบางก็ว่าได้
ในวันนั้นจำได้ว่าเยาวชนไทยเรา อยากเป็น คำลี่ พิลาวง สาวลาวที่ผสมผสานความเป็นหญิงสาวลาวยุคใหม่ ทำลายกรอบความคิดเดิมไปสิ้น

ข้าพเจ้าเองก็ชื่นชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวที่สามารถเปิดโลกทัศน์กับประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กัน แต่ไม่เคยรู้จักกันเลย เพราะมีแต่อาการดูถูกเหยียดหยามกันที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น
ไม่แปลกที่เห็นผู้ร่วมทางยกซิ่นกันยกโหล ข้าพเจ้าเป็นแค่นักสังเกตการณ์ หวังจะหัดให้ไปนุ่งซิ่นนั้น ชีวิตนี้ท่าจะไม่ทันแล้ว(ฮา)


บทที่ 3 แด่ เวียงจันทน์ ด้วยความคิดถึง
(แซบอีลี่ เยื้องวัดอินแปง)

การเยือนลาวรอบที่สาม เพื่อหามุมมองอย่างด่วนและ ถือว่าสุดยอดมากๆ เพราะเป็นการเดินทางคนเดียว เป็นทางผ่านกลับจากเชียงใหม่ คือนั่งรถอ้อมว่างั้นเถอะ นั่งรถเชียงใหม่ ถึง กรุงเทพฯ มันเร็วไป เรานั่ง (นอน) เชียงใหม่ อุดร (ทำให้รู้ว่า มีรถ) และหนองคายข้ามเวียงจันทน์

สถานที่ประทับใจคือ ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ที่รอบนี้จะไปนั่งคุยกับเจ้าของร้านให้ได้ เพราะในทริปนี้ได้ออกเดินทางก่อนชาวคณะ คือไปผ่านเวียงจันทน์ก่อน ไม่งั้นจะไม่คุ้ม ด้วยสำนึกบุญคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเรา

หลังจากนั้น จะได้สัมผัสเนื้อในเมืองลาวสักที ก่อนจะไป สบายดี หลวงพระบาง หนังเรื่องนี้ส่งผลให้เกิดภาคสอง และเสน่ห์ของสาวลาวนุ่งซิ่นนี่ทำให้ขาดใจตายทีเดียว
ขณะที่ท่านได้อ่านบทความนี้ ข้าพเจ้าอาจจะกำลังขึ้นเขาลงห้วย อยู่บนเส้นทาง ไซยะบุรี สู่หลวงพระบาง อันหวังเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาใช้สอยตาม Functional และ Emotional (ได้โปรดรอคอย)



บทสรุป ไม่มีความคิดเห็น ไม่เสนอแนะ แต่สงสัย

เยาวชนที่ไปด้วยกันเมื่อสี่ปีที่แล้ว ถามคำถามสองคำถามที่ข้าพเจ้ายังจำได้ไม่ลืม เมื่อเด็กลาว-ไทย ได้ใช้ชีวิตร่วมบ้านกัน เด็กๆ ถามว่า ประชาธิปไตยแบบไทยกับสังคมนิยมแบบลาวแบบไหนดีกว่ากัน (โดยมีน้ำเสียงว่า ลาวดูดีกว่า) และทำไมเราต้องซื้อไฟฟ้าจากลาวมากขนาดนี้ (เยาวชนสงสัยว่า ทำไมคนไทยใช้ไฟมากขนาดนี้)

รอบนี้นับแล้วมีเวลาห้าวันเต็มๆ ในลาวทีเดียว ข้าพเจ้าจะพยายามเชื่อมโยง ไปผูก ไปลาก ห้อยโหน โดยข้าพเจ้าตั้งตัวเอง (เออ) เป็น world citizen พยายามทำความเข้าใจเมกะเทรนด์ พอตัวเราอยู่ไหน ก็ทำให้ที่นั่นเป็นบ้านเราซะ (ฮา-มักง่ายดี)

จบบทวิจัยไว้แค่นี้ก่อน ยินดีมากที่ได้ออกมานอกบ้าน เย้ๆ!!!



+++

เมื่อวานเจ๊ทานอะไร? (2)
โดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ คอลัมน์ การ์ตูนที่รัก
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1651 หน้า 79


หนังสือ Male Homosexuality in Modern Japan : Cultural Myths and Social Realities เขียนโดย Mark J.McLelland สำนักพิมพ์ RoutLedge Curzon ปี 2000 เขียนว่า มีผู้ชายจำนวนมากชอบเข้าครัวทำอาหาร และเชฟระดับโลกจำนวนมากเป็นผู้ชาย

อย่างไรก็ตาม การเข้าครัวทำอาหารยังคงเป็นลักษณะทั่วไปของผู้หญิง เป็นตัวบ่งชี้ความเป็นหญิงในหลายสังคม แม้ว่าโลกจะก้าวมาถึงจุดที่ผู้หญิงต้องทำงานนอกบ้านแล้วก็ตาม
แทนที่ผู้หญิงทำงานนอกบ้านจะทำให้เรื่องเข้าครัวทำกับข้าวลดความสำคัญลงไป การเข้าครัวทำกับข้าวกลับทวีความสำคัญในแง่ที่เป็นตัวบ่งชี้ความเป็นหญิง
สตรีทำงานนอกบ้านจำนวนมากพยายามเอาชนะแรงกดดันของสังคมที่บีบบังคับให้เธอต้องออกไปทำงานหาเงินด้วยการหาอาหารมาเข้าครัวด้วย ซึ่งก็แน่นอนว่าด้วยคุณภาพที่ลดต่ำลง

กลายเป็นปัจจัยทางสังคมที่เปิดโอกาสให้เกย์ได้แสดงฝีมือทำกับข้าวที่เหนือกว่าด้วยสัมผัสกลิ่นที่ว่องไวกว่า
"สัมผัสความรู้สึกอิ่มเอมใจราวกับปิดคดีได้อย่างสวยงามสักวันละครั้งเนี่ยมันช่างสุดยอดจริงๆ การทำอาหารเย็นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ถ้าทุกวันจบลงด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบอย่างนี้ ก็คงจะดี..." คาเคย์รำพึงหลังจากปรุงอาหารวางเรียงรายบนโต๊ะเรียบร้อย

จะเห็นว่าการทำอาหารของเกย์อาจจะไม่มีเรื่องทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้องตามที่มักปรากฏในคำอธิบายตามกระแสหลัก นอกจากปัจจัยทางสังคมที่เปิดโอกาสให้เกย์ได้พัฒนาและวิวัฒน์ฝีมือทำกับข้าวแล้ว ยังเป็นประเด็น mastery&competence มากกว่าจะเป็นประเด็น sex&orgasm ดังที่จิตวิเคราะห์เคยเข้าใจ
"มันช่างสุดยอดจริงๆ" มิใช่ "มันช่างเสมือนจุดสุดยอดจริงๆ"



"ทําไมต้องเล่าให้ลูกค้าฟังขนาดนั้นด้วย" คาเคย์เอ็ดใส่เคนจิในวันหนึ่งเมื่อทราบว่าเคนจิคุยไปเรื่อยเรื่องราวที่เขาสองคนอยู่กินด้วยกัน "ฉันต่างจากนายรู้ไว้ด้วย ฉันไม่พูดเรื่องพรรค์นี้ที่บริษัท แล้วฉันก็ไม่ชอบที่มีใครที่ไหนก็ไม่รู้ดันมารู้ว่าฉันเป็นเกย์"
ตามด้วยคำพูดเล็กๆ ต้องเพ่งอ่าน "แล้วบทหญิงอะไรเนี่ยหมายความยังไง ฉันแค่บอกว่าถ้าให้เลือกฝ่ายไหนฉันขอเป็นฝ่ายรับเท่านั้นเอง" ประเด็นเกย์ชายเกย์หญิงคิงหรือควีนเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สังคมอาจจะเข้าใจสับสน พวกเขาเป็นเกย์ซึ่งไม่มีชายหรือหญิง

"ขะ ขอโทษ" เคนจิก้มหน้าร้องไห้ "ผู้จัดการร้านเขายังคุยเรื่องลูกเมียของเขาให้ลูกค้าฟังเลย" เคนจิว่าทั้งน้ำตานองหน้า
"แล้วทำไมมีแต่ฉันเท่านั้นที่คุยเรื่องของคนที่อยู่ด้วยกันให้ใครฟังไม่ได้..."


ตอนสมัยฝึกงานกฎหมาย คาเคย์ชอบซะกึโมโตะเอามากๆ หล่อเนี้ยบหน้าตาออกลูกครึ่ง เมื่อทั้งสองพบกันอีกครั้งตอนอายุก่อนสี่สิบ ชายหนุ่มหล่อเนี้ยบสาวกรี๊ดที่ว่าก็ออกอาการหัวล้านไปครึ่งหนึ่ง
ตอนอายุราวๆ ยี่สิบคนหนุ่มที่หน้าตาดีในระดับเดียวกับ คาเคย์ ชิโร เดินกันเกลื่อนกลาดหาไม่ยาก แต่เมื่อถึงช่วงอายุสามสิบ มีให้เห็นประปราย พอย่างเข้าสี่สิบ เหลือเบาบาง เบาบางทั้งจำนวนทั้งเส้นผม
"ความหล่อของผู้ชายที่เป็นแมนน่ะมันไม่ยั่งยืนหรอก" คาเคย์อธิบายให้เคนจิฟัง "พวกนี้เขาไม่มีความรู้สึกอยากจะเก็บความงามนี้เอาไว้เลยสักนิด"

ซากึโมโตะเป็นฝ่ายพูดว่า "เอ่อ คือว่าฉันไม่ค่อยดูแลสุขภาพตนเองเท่าไรน่ะ เมื่อสองปีก่อนเลยต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยตับอ่อนอักเสบ"
ชายหนุ่มทั่วไปมักดื่มเหล้าจัดและรักษาความหล่อฉาบฉวยไว้ด้วยการแต่งกายให้ดูดีไปเป็นวันๆ ต่างจากคาเคย์ที่พิถีพิถันกับอาหารการกินจนไม่มีน้ำหนักส่วนเกินแม้อายุสี่สิบสามแล้วก็ตาม "ที่ต้องดูแลสุขภาพใช่เพื่อความสวยงามแต่เพื่อชะลอความตายต่างหาก" คาเคย์ว่าขณะทำครัวในเย็นวันหนึ่ง เพราะเหตุที่เขาไม่เคยเจ็บป่วยเลยอีกทั้งขี้งกเขาจึงไม่เคยใส่ใจเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีที่บริษัทจัดให้ แต่ก็แอบไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลของรัฐตามความจำเป็นที่ซึ่งค่าใช้จ่ายน้อยกว่าบ้าง
เป็นชีวิตพอเพียงอีกด้านของคาเคย์


คาเคย์พอเพียงแม้กระทั่งเรื่องงาน
"ถ้าเป็นคดีที่ง่ายๆ สบายๆ ไม่ว่าจะน่าเบื่อแค่ไหนก็ส่งมาเถอะครับ ผมรับหมด" คาเคย์พูดในที่ทำงาน "ขอแค่ให้ผมได้กลับบ้านตอนหกโมงเย็นก็พอ"
แต่คนที่พูดแบบนี้กลับเป็นที่ต้องการตัวทุกที

"เฮ้ย คาเคย์ เพื่อนฉันกำลังเดือดร้อนฟ่ะ ฉันก็เลยบอกเบอร์โทรศัพท์ของบ้านนายให้เขาไป" เพื่อนเก่าโทร.มาสั่งไว้
"หา! เดี๋ยวก่อนสิ อย่าซี้ซั้วเอาเบอร์โทรศัพท์ของคนอื่นไปบอกให้คนที่ไม่รู้จักได้มั้ย" คาเคย์โวยวาย ก็บอกแล้วว่าเขาไม่ใช่คนขยัน
"ชิโรจ๊ะ คือว่าลูกชายของเพื่อนที่เรียนชงชาด้วยกันเขาเดือดร้อนมาก แม่เลยให้เบอร์มือถือของลูกเขาไป" คราวนี้เป็นคุณแม่โทร.มาสั่งไว้
"อย่างงี้ผมก็แย่สิ คุณแม่ทำยังงี้ได้ไง" เขาโวยวาย

บางทีงานของทนายคล้ายงานของจิตแพทย์ ถูกรบกวนถึงบ้านไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว หลายครั้งก็เป็นคดีหรือกรณีที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
"สมัยผมเป็นนักเรียน ที่บ้านของครูสอนพิเศษ ผมถูกผู้หญิงยั่วยวนจนทนไม่ไหว ตั้งแต่นั้นมาเขาข่มขู่ผมตลอด" เป็นลูกความคนหนึ่งเล่าให้คาเคย์ฟัง
"คุณมีอะไรกับเด็กสาวที่บ้านครูสอนพิเศษ ว่างั้น" คาเคย์เซ็ง
"ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่นักเรียนด้วยกัน คนที่ผมพลาดท่าเสียทีน่ะเป็นแม่ของเขาต่างหาก" ลูกความก้มหน้าร่ำไห้ "แถมพ่อเขาเป็นยากูซ่าด้วย"


แม้กระทั่งคดีทำร้ายร่างกายในครอบครัว ครั้งนี้เหยื่อเป็นพ่อบ้าน
"ผู้ชายอะ" พนักงานซุบซิบ "ผู้ชายจริงๆ ด้วย" ทนายคนอื่นๆ ตะลึง
"สามวันนี้ถูกภรรยาซ้อมเอาๆ จนไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย" พลเมืองดีนำตัวพ่อบ้านคนหนึ่งมาหาคาเคย์ หน้าตาฟกช้ำ
"เอาเป็นว่าวันนี้ผมขอตัวกลับบ้านก่อน" เหยื่อซึ่งเป็นพ่อบ้านให้ปากคำเสร็จก็จะกลับบ้าน
"ฟังน่ะครับ ก่อนอื่นเราต้องถ่ายรูปบาดแผลบนร่างกายไว้ก่อนเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน" คาเคย์รู้งาน "วันพรุ่งนี้เราจะยื่นคำร้องต่อศาลขอความคุ้มครองห้ามคู่กรณีเข้าใกล้ตามกฎหมายความรุนแรงในครอบครัว" คาเคย์บอกสิ่งที่ต้องทำขั้นที่สอง "ช่วยหาโรงแรมถูกๆ แถวนี้หรือห้องว่างที่หอพักบริษัทก็ได้ให้คุณคนนี้เข้าพักด้วย" คาเคย์หันมาสั่งการเป็นขั้นที่สาม "คุณต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายแล้วขอใบรับรองแพทย์เป็นหลักฐานไปยื่นให้กับศาลด้วย" คาเคย์หันมาที่ลูกความอีกครั้งเป็นขั้นตอนที่สี่ "ไม่ต้องกลัวครับ ถ้าจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลเราสามารถใช้ชื่อปลอมได้เพื่อไม่ให้ภรรยาของคุณรู้ว่าเราอยู่ไหน" คาเคย์สั่งเป็นขั้นตอนที่ห้า

จะเห็นว่าการ์ตูนญี่ปุ่นแท้ๆ แต่แจกแจงระเบียบปฏิบัติกรณีถูกคู่สมรสทำร้ายร่างกายได้ดีกว่าคู่มือจริงๆ เสียอีก
แล้วคาเคย์ก็บังคับตัวเองกลับบ้านไปเยี่ยมแม่อีกครั้ง ทั้งที่รู้ว่าแม่ไม่เคยพูดอะไรเข้าหูสักที
"ไม่ว่าชิโรจะเป็นเกย์หรือฆาตกร แม่ก็พร้อมจะยอมรับตัวตนทั้งหมดของลูกเสมอ" แม่ว่า
"สุดท้ายสำหรับแม่แล้ว" คาเคย์นึก "เราก็เทียบเท่ากับฆาตกร"



เล่ามายืดยาวเพื่อให้คนที่ไม่เคยสัมผัสการ์ตูนญี่ปุ่นได้เห็นภาพชัดๆ
และสำหรับคนที่ไม่เคยรู้ว่ามีการ์ตูนเนื้อหาแบบนี้ในรูปแบบฉบับลิขสิทธิ์ในท้องตลาดได้รับทราบ

และสำหรับคนที่เหมาโหลว่าการ์ตูนญี่ปุ่นต้องไม่ดีหรือการ์ตูนเกย์ต้องลามกได้รับรู้
การ์ตูนเกย์ดีๆ ก็เขียนได้



+++

บทแนะนำ 2554 ครบปี

เพลงเป็นเหตุ
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1597 หน้า 80


ช่วงนี้มีภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่งเข้าฉาย หลายๆ คนอาจได้ไปชมมาแล้ว เป็นเรื่องราวของเด็กมัธยมที่อุตริจะตั้งวงดนตรีขึ้นมาเพื่อจะไปร่วมประกวด กับใครต่อใครเขาทั้งที่ตัวเองเล่นดนตรีกันไม่เป็น แต่ทำเพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นทางลัดสู่ความเจ๋งได้อย่างง่ายที่สุด เพื่อน พี่ น้อง หลายคนที่ฉันรู้จักมีส่วนร่วมกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และปกติฉันก็ดูหนังไทยแบบไม่มีเกี่ยงงอน
แต่ขอที, เรื่องนี้ฉันไม่ดู
ใช่ว่ามีปัญหากับเรื่องราวอะไร
เพียงแต่เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้มันเกินกว่าใจจะรับได้จริงๆ


หากคนรักเก่าของฉันสามารถฟ้องร้องเรียกเอาค่าเสียหายได้ฉันคงล้มละลายหมดตัว ด้วยว่าฉันทั้งเขียนถึงเขา พูดถึงเขา และคิดถึงเขา
แต่เหตุการณ์แบบนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะระหว่างคนต่อคนก็ยังคงมีน้ำใจกันอยู่บ้าง และหากจะตัดเขา-ซึ่งทรงอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการกระทำหลากหลายในช่วงชีวิต 3-4 ปีที่ผ่านมาของฉัน-ออกไป ฉันคงไม่เหลืออะไรจะเล่า และไม่เหลืออะไรไว้คิด
มาถึงตอนนี้ที่ฉันดีขึ้นหลายขุมแล้ว จะหาเรื่องพาตัวเองให้จมดิ่งลงไปสู่จุดเริ่มต้นด้วยการไปฟังดนตรีที่เขาทำ และเสียงของเขาที่ร้องเพื่ออะไรกัน



ต่อให้เป็นคนที่ไม่ชอบ ฟังเพลงขนาดไหน ก็คงจะต้องมีเพลงซักเพลง เสียงดนตรีซักชุดหนึ่งที่จะดังขึ้นมาในหัวเวลาเราไปเจอเรื่องบางเรื่อง หรือคิดทบทวนย้อนอดีตไป
เพลงเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลเป็นอย่างยิ่ง
ฉันไม่สนใจว่ามันจะมีอิทธิพลต่อโลกหรือไม่ เป็นตัวกำหนดยุคสมัยหรือเปล่า หรือใครลอกใครมาสำหรับฉัน เพลงมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อความทรงจำ
เท่านั้นก็เพียงพอ

"หลายครั้งที่เราฟังเพลงแล้วนึกอยากจะจินตนาการเรื่องราวต่อจากเพลง ในหนังสือเล่มนี้คุณเผ่าจ้าวได้เขียนเรื่องสั้นซึ่งมาจากแรงบันดาลใจที่ได้ จากเพลงที่เขาชอบ เรื่องสั้นเหล่านี้อ่านแล้วจะเหมือนเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง คล้ายๆ เป็นโลกภายในจินตนาการของเขา เป็นโลกส่วนตัว แต่น่าแปลกที่โลกภายในใบนี้ มีความเป็นสากลบางอย่างอยู่-นั่นก็คือ มีสิ่งที่ทำให้คนอ่าน "รู้สึก" ถึงได้ จะว่าไปแล้ว การอ่านเรื่องสั้นของคุณเผ่าจ้าวก็อาจจะคล้ายๆ กับการฟังเพลง คือมันให้ความรู้สึกมากกว่าความหมายหรือไม่, ความหมายต่างๆ ก็ตามมาทีหลังเสมอ"*



มีหลายเพลงในใจของฉันที่ตรงกันกับเพลงต้นเหตุในหนังสือเล่มนี้ แต่เชื่อเถิดว่าเรื่องราวที่คิดต่อยอดออกมานั้นไม่ตรงกันอย่างแน่นอน

ความเข้าใจและเข้าถึงในเพลงเป็นเรื่องส่วนตัวพอๆ กับความลับในชีวิตของเรา

บางทีเราก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมฟังเพลงนี้แล้วใจไพล่ไปคิดถึงเรื่องนั้น

มันอาจไม่ได้มีความหมายใดที่เกี่ยวข้องกันระหว่างเนื้อเพลง และเหตุการณ์ แต่เพียงเสียงโน้ตดนตรีขึ้นมาซักสองสามตัว เหตุการณ์ที่มันเชื่อมโยงอยู่ก็จะหลั่งไหลเข้ามาเป็นฉากๆ โดยที่เราไม่อาจ ห้ามปรามมันอาจจะเหมือนเรื่องราวที่เขียนขึ้นมาใหม่

แต่เชื่อฉันเถอะ, ใครที่แอบนึกเรื่องต่อจากเพลงที่เพิ่งฟังมาได้เป็นเรื่องขนาดนี้ ย่อมมีความรู้สึกส่วนตัวแฝงอยู่ในตอนต่อหรือภาคขยายของเพลงกันทั้งนั้น



แค่นี้ล่ะค่ะท่านผู้อ่านที่รัก ฉันขอตัวไปฟังเพลงก่อน เพราะช่วงนี้มีเหตุการณ์มากมายหลายอย่างเกิดขึ้นในชีวิต มากชนิดที่ว่าจัด Play List เพลงได้สบายๆ
แต่เพลงก็คือเพลง จะมากจะน้อยเดี๋ยวเราก็เบื่อ แล้วก็ต้องดิ้นรนหาเพลงอะไรใหม่ๆ มาฟังพร้อมๆ กับก้าวออกไปหาเรื่องราวและ ผู้คนมาเพิ่มในชีวิตแต่ละวันเราเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ
เพื่อรอวันให้เพลง เก่าๆ บางเพลงดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับความทรงจำที่หวนคืน


* * * * * * * * * * * * * * * * *
*ข้อความจากคำนิยมของหนังสือ
"อ่านออกเสียง" รวมสิบสามเรื่องสั้นประพันธ์จากเพลง เขียนโดย เผ่าจ้าว กำลังใจดี ฉบับพิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2554 โดยสำนักพิมพ์แซลมอน บุ๊คส์



.