http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-04-27

“ดร.โกร่ง”ขึ้นแท่นประธานฯ“แบงก์ชาติ”/ ลึกแต่ไม่ลับ 27 เม.ย.55

.
รายงานพิเศษ  - ประกาศิต"ทักษิณ" "หยุด"แค้น-จูบปาก"ประยุทธ์" "ป๋า"ส่งซิกปรองดอง กับศึกวอร์รูม"กห.-ร.1" 
คอลัมน์ โล่เงิน - พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ปฏิบัติการ "นครศรีฯ โมเดล" ลุยปราบยา "แดนสนธยา" 

______________________________________________________________________________________________________

“ดร.โกร่ง” แปลงกาย จาก “ลูกป๋า” เป็น “กุนซือปู” ขึ้นแท่นประธานบอร์ด “แบงก์ชาติ”
คอลัมน์ ในประเทศ  ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1654 หน้า 10


แล้วชื่อ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร หรือ "ดร.โกร่ง" ก็กลับสู่สังเวียนข่าวอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เขายอมรับตำแหน่งประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ในรัฐบาลของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
และวันนี้ "ดร.โกร่ง" ก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าสู่กระบวนการสรรหา ประธานคณะกรรมการ ธนาคารแห่งประเทศไทย สืบต่อจาก "หม่อมเต่า" ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ที่กำลังจะหมดวาระในสิ้นเดือนเมษายนศกนี้ 

ทำไมต้องเป็น "ดร.โกร่ง"? 
วาระของ "ดร.โกร่ง" 1 ปี ในแบงก์ชาติคืออะไร? 
คำถามเหล่านี้กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ทั้งคนในแวดวงเศรษฐกิจและการเมือง 
ตำนานของ ดร.โกร่ง กับธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นตำนานที่หวานอมขมกลืนเป็นอย่างยิ่ง

ครั้งที่ "ดร.โกร่ง" หนึ่งในลูกป๋า ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กุนซือเศรษฐกิจผู้นี้ อยู่เบื้องหลังการลดค่าเงินบาท 2 ครั้ง 2 หน แต่ก็นำพาประเทศชาติรอดมาได้ ในยุคนั้น ป๋าเปรมแทบจะหนีบ "ดร.โกร่ง" ติดตัว โดยเฉพาะเมื่อต้องตอบคำถามลดค่าเงินบาท 
วันนั้น "วีรพงษ์" กับ "แบงก์ชาติ" ค่อนข้างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 
ผ่านยุค 8 ปีของป๋าเปรม "ดร.โกร่ง" เข้าไปข้องแวะกับการเมืองหลายครั้ง

เขาเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลของ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
เป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ 
ครั้งนั้นเขาเคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังว่าเป็นเพราะ "ป๋าเปรม" ขอร้องแกมสั่ง
คำพูดหนึ่งที่ "ดร.โกร่ง" จำได้ดี ก็คือ นักวิชาการต้องช่วยเหลือประเทศชาติยามที่เดือดร้อน

จากนั้นเขาเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ "ทักษิณ" กับ "ป๋าเปรม" ยังมีน้ำจิตน้ำใจต่อกันอยู่
แต่หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 "ดร.โกร่ง" แสดงความเห็นชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร เพราะเป็นการนำประเทศตกจากถนนสายปกติ ไปสู่ "ทางลัด" ที่เป็น "ทางตัน" 
ทั้งที่วันนั้นหลายคนมองว่า "เงา" ที่อยู่หลังการรัฐประหาร คือ พล.อ.เปรม


แม้ "ดร.โกร่ง" จะได้ชื่อว่าเป็น "ลูกป๋า" คนหนึ่ง แต่วันที่เขาตัดสินใจรับตำแหน่ง "ประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ" ในรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช 
ภาพลักษณ์ "ลูกป๋า" ของ "ดร.โกร่ง" จึงถูกตั้งคำถาม 
แต่ถ้าใครถาม "ดร.โกร่ง" เรื่องนี้ เขาก็จะนำคำของ "ป๋าเปรม" ที่เคยบอกเขาในวันที่ให้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล "บิ๊กจิ๋ว" มาเป็นคำตอบ 

ว่ากันว่าตอนที่พรรคเพื่อไทยจะลงสนามเลือกตั้ง มี "ผู้ใหญ่" ในพรรคทาบทาม "วีรพงษ์" มาเป็นหัวหน้าพรรค แต่เขาปฏิเสธ
เหมือนจะรักษา "ระยะห่าง" ของความเป็น "ลูกป๋า" เอาไว้ 
และในรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ที่เป็น "น้องสาว" ของ "ทักษิณ" ไม่มีชื่อของ "ดร.โกร่ง" อยู่ในคณะรัฐมนตรีหรือที่ปรึกษา จนกระทั่งรัฐนาวา "ยิ่งลักษณ์" ต้องเผชิญกับมหาวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ปลายปี 2554
ชื่อ "ดร.โกร่ง" ก็โผล่ในตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.)

วันนั้น ต้องยอมรับว่าชื่อ "ดร.โกร่ง" ทำให้ความมั่นใจในรัฐบาลกลับคืนมาทันทีในชั่วข้ามคืน ในฐานะแนวหลังอันแข็งแกร่ง รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์"
เบื้องหลังการรับตำแหน่งประธาน กยอ. คนถูกทาบทามบอกกับนักข่าวว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์โทรศัพท์ไปเชิญด้วยตนเอง 
ครั้งนั้น "ดร.โกร่ง" ตอบรับตำแหน่งด้วยประโยคที่กินใจคือ "ในยามที่ประเทศชาติกำลังเดือดร้อน เราจะไม่ช่วยกันได้อย่างไร"

จริงๆ แล้ว "ดร.วีรพงษ์" ในวัย 69 ปี มีงานล้นมืออยู่แล้ว เพราะมีตำแหน่งสำคัญทางภาคเอกชนหลายแห่ง นั่งเป็นประธานกรรมการ 8 บริษัท และกรรมการหรือที่ปรึกษาอีก 20 บริษัท ฉะนั้นแล้ว การเข้ามาเป็น "ตัวช่วย" รัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างเต็มใจ ย่อมไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอย่างแน่นอน
และหากพิจารณาในแง่ทรัพย์สินและความมั่นคั่ง "ดร.โกร่ง" และคู่สมรส "ลดาวัลย์" มีสินทรัพย์รวมเกือบ 200 ล้าน เกินพอไปแล้ว

และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ "ดร.โกร่ง" การมีใจให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์อย่างชัดเจน ดังเห็นได้จาก บทความ "คนเดินตรอก" ล่าสุด ในประชาชาติธุรกิจที่ว่า "คุณยิ่งลักษณ์มีความจำเป็นต้องสนับสนุนสภาเลือกตั้ง ส่วนคุณอภิสิทธิ์ทำไปทำมากลายเป็นผู้สนับสนุนสภาแต่งตั้ง คนแรกเป็นนายกฯ จากเสียงส่วนใหญ่ คนหลังเป็นนายกฯ ที่มาจากเสียงส่วนน้อย ทั้งสองฝ่ายมีขบวนการนอกสภาผู้แทนราษฎรมาช่วยจัดตั้งให้ ใครๆ ก็รู้แต่ไม่พูด" 

เพราะ "ดร.โกร่ง" เชื่อในระบอบประชาธิปไตย และเพราะ "ดร.โกร่ง" เชื่อว่า ถึงเวลาต้องปฏิรูปแบงก์ชาติ อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่นักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหญ่ถูกเสนอชื่อเข้ามาในกระบวนการสรรหา ประธานกรรมการบริหารแบงก์ชาติ

ถ้าชื่อ "ดร.โกร่ง" เข้าป้าย สิ่งที่จะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด คือ นโยบายการเงินจะปรับเปลี่ยนไปอย่างไร ทั้งเรื่องดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน เพราะที่ผ่านมา "ดร.โกร่ง" วิพากษ์วิจารณ์การทำงานแบบอนุรักษนิยมของ ธปท. มาอย่างต่อเนื่องและร้อนแรง โดยเฉพาะข้อวิพากษ์ล่าสุด ที่ว่า ธปท. ควรทำนโยบายดอกเบี้ยต่ำและให้เงินบาทอ่อนค่า 
ที่สำคัญจังหวะการเข้ามาแบงก์ชาติของ "ดร.โกร่ง" ครั้งนี้เป็นช่วงเวลาที่ "ป๋าเปรม" กับ "หลานปู" กำลังอยู่ในช่วง "กู้อีจู้" กันอยู่



ก่อนหน้านี้ "ดร.โกร่ง" เคยโชว์ฟอร์มความเก๋าทางด้านการเงินการคลังมาครั้งหนึ่ง ด้วยการเสนอแบงก์ชาติรับผิดชอบ "หนี้เน่า" ของกองทุนฟื้นฟูฯ ที่เกิดจากการต่อสู้ค่าเงินบาทของ "แบงก์ชาติ" เมื่อปี 2540 
หลังจากรัฐบาลต้องแบกภาระการจ่ายดอกเบี้ยแทนปีละ 50,000-60,000 ล้านบาท 
แค่พลิกเกมนิดเดียว รัฐบาลก็มีงบประมาณเพิ่มทันที 50,000-60,000 ล้านบาท 
นั่นคือ "ดาบแรก" จาก "ดร.โกร่ง" ทั้งที่ยังไม่มีตำแหน่งในแบงก์ชาติ

ดังนั้น หาก "ดร.โกร่ง" ขึ้นแท่นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ รับรองได้ว่าแนวคิดหนึ่งที่เขาเคยคิดดังๆ ผ่านบทความ "คนเดินตรอก" มานานจะกลายเป็นจริงอย่างแน่นอน 
นั่นคือ การตัดสินใจนำเงินบางส่วนจากทุนสำรองระหว่างประเทศออกไปลงทุน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่สูงกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งมากเกินมาตรฐานเงินทุนสำรอง 
หากรัฐบาลเพื่อไทยสามารถนำเงินทุนสำรองส่วนหนึ่งไปลงทุนในโครงการของรัฐ สร้างอนาคตประเทศไทย (พ.ศ.2555-2559) จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ทำให้เงินสะพัดทั้งตลาดในทันที

ก่อนหน้านี้ "ดร.โกร่ง" ในฐานะประธาน กยอ. ได้ สั่งให้กระทรวงการคลัง และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกันจัดทำแผนจัดหาแหล่งเงิน เพื่อลงทุนโครงการสร้างอนาคตประเทศ 2.27 ล้านล้านบาท เพื่อพลิกโฉมหน้าประเทศไทย ทั้งระบบการขนส่ง ระบบพลังงาน ระบบการสื่อสารโทรคมนาคม 
ฝันครั้งยิ่งใหญ่เพื่ออนาคตประเทศไทยมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท ย่อมต้องใช้เงินงบประมาณ เงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจ และเงินกู้ รวมถึงแหล่งเงินอื่นๆ อีก ที่จะระดมกันเข้ามา 
และแน่นอนว่า แหล่งเงินสำคัญก้อนโตอีกก้อนหนึ่งก็คือ เงินทุนสำรองที่เก็บไว้เฉยๆ ในแบงก์ชาติ ย่อมไม่น่าจะถูกต้อง และไม่น่าจะเกิดประโยชน์ใดๆ

นี่อาจเป็นวาระสำคัญที่อยู่ในใจ "ดร.โกร่ง" ในตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ การพิสูจน์ความเชื่อและทฤษฎีของคนเดินตรอกตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

แต่แน่นอนว่า คนที่อาจจะอึดอัดมากกว่าใคร

น่าจะเป็นคนชื่อ "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยนั่นเอง



++

คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ โดย จรัญ พงษ์จีน 
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1654 หน้า 8


"พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี แม้ยังกลับประเทศไทยไม่ได้ก็จริง แต่ขณะเดียวกัน ประตูเพื่อนบ้านเกือบทั่วโลกพากันเปิดกว้าง อ้าแขนต้อนรับ ก่อนหน้านี้ ทั้งญี่ปุ่น-จีน-เกาหลีใต้-ฝรั่งเศส-เยอรมนี ไฟเขียวอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศได้ ตามอัธยาศัย

ล่าสุด เจ้าตัวค่อนข้างจะดีใจและตื่นเต้นสุด กับข่าวคราวที่ว่า "ทักษิณ" ได้รับใบอนุญาตให้เดินทางเข้ากรุงลอนดอนประเทศอังกฤษได้อีกคำรบหนึ่งแล้ว 
เจ้าตัวเลยถือฤกษ์งามยามดี เข้าเมืองผู้ดี ด้วยการตีตั๋วเข้าชมฟุตบอลคู่หยุดโลก เป็นเกมดาร์บี้แมตซ์ ชี้ชะตาแชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษประจำฤดูกาลนี้ระหว่าง "แมนฯ ยูไนเต็ด" หรือ "ผีแดง" กับ "แมนฯ ซิตี้" หรือ "เรือใบสีฟ้า" ทีมเก่า ที่เคยขายทิ้ง ในค่ำคืนวันที่ 30 เมษายน ที่จะถึงนี้
ตามข่าวระบุว่า อังกฤษดำเนินการตามคำขอของกระทรวงการต่างประเทศไทย ที่ขออนุญาตให้ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เข้าอังกฤษ เมื่อเห็นชอบแล้วจึงดำเนินการผ่านไปยังกงสุลอังกฤษ ที่นครดูไบ

หลังถูก "คมช." หักโค่นอำนาจ ด้วยการปฏิวัติ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ในขณะนั้น "ทักษิณ" กำลังเดินทางไปประชุมอยู่ที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา จากนั้นระเหเร่ร่อน เหมือนคน "พลัดที่นาคาที่อยู่" ก่อนโฉบไปปักหลักถาวรกรุงลอนดอน และลงเสาเป็นบ้านหลังที่ 2 ด้วยการควักเงินซื้อคฤหาสน์หลังหรู ราคาแพงไว้ที่เขตเซอร์เรย์ 
พร้อมกับคิดปักหลักทำธุรกิจ ช้อนซื้อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สโมรสร "แมนฯ ซิตี้" หรือเรือใบสีฟ้า 
ช่วงนั้นการเมืองในไทยเกิดการเปลี่ยนขั้ว ประชาธิปัตย์พลิกเกมมาเป็นแกนนำฟอร์มรัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" พลิ้วขึ้นเป็นนายกฯ

"พ.ต.ท.ทักษิณ" หนีออกนอกประเทศ ก่อนที่ศาลฎีกาตัดสินให้จำคุกในคดีที่ดินรัชดาฯ เป็นเวลา 2 ปี ไปซุ่มกบดานอยู่ในกรุงลอนดอนในฐานะผู้ลี้ภัย แต่กลับไม่อยู่เฉย โทรศัพท์เข้ามาเอะอะพาโวย ระหว่างที่ "ม็อบเสื้อแดง" ชุมนุมอยู่บ่อยครั้ง 
รัฐบาล "มาร์ค" เลยฆ่าตัดตอน ประกาศตามล้างตามล่าสุดขอบฟ้า ในฐานะผู้ต้องหาหนีคดี พร้อมกับส่งหนังสือ โปรยขอความร่วมมือ ห้าม "ทักษิณ" เข้าประเทศว่อนไปทั่วทุกมุมโลก 
อังกฤษ ก็เป็นหนึ่งที่ต้องจำยอม ตัดสะดือ "ทักษิณ"

โดยดำเนินการให้ คณะกรรมการดำเนินงานด้านธุรกิจการบิน (Airport Operations Committee) หรือเอโอซี เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2008 ให้ "แอนดี้ เกรย์" ผู้จัดการฝ่ายกิจการตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานพรมแดนสหราชอาณาจักร สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ในขณะนั้น ส่งอีเมลถึงสายการบิน ที่เป็นสมาชิกเอโอซี เพื่อแจ้งให้ทราบว่า สำนักงานพรมแดนฯ ได้ยกเลิกวีซ่าเข้าสหราชอาณาจักรที่ถือโดยบุคคลสัญชาติไทย คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หนังสือเดินทางหมายเลข D 215863 และ "คุณหญิงพจมาน ชินวัตร" หนังสือเดินทางไทยหมายเลข D 206635 เนื่องจากวีซ่าที่ประทับในหนังสือเดินทางดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้ต่อไป จึงขอแนะนำสายการบินทั้งหลายงดให้บริการในการนำบุคคลทั้งสองเข้าประเทศอังกฤษ 
"ทักษิณ" ต้องบินไปซุกตัวอยู่ "ดูไบ" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา 
เท่ากับว่า 4 ปีกว่าแล้วเช่นเดียวกัน ที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ไม่ได้ย่างกรายเข้ากรุงลอนดอน วันเวลาใกล้เคียงกับการจากบ้านเกิดเมืองนอน



หัสเดิม คณะรัฐมนตรีชุดใหญ่ "ยิ่งลักษณ์ 2" จะยกคณะแบบเต็มทีม เพราะได้รับไฟเขียวจาก "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เข้ารดน้ำดำหัว ขอศีลขอพร ย้อนหลังเทศกาลสงกรานต์ประเพณีแบบไทยๆ ในวันที่ 26 เมษายน

แต่ชุดใหญ่ 36 คนมันดูเทอะทะ เลยหั่นยอดเหลือเฉพาะ "นายกฯ+รองนายกฯ" จะประกอบด้วย 1.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2.ยงยุทธ วิชัยดิษฐ 3.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง 4.พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา 5.ชุมพล ศิลปอาชา 
หลังจาก "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ผงาดเข้ามานั่งเก้าอี้หมายเลข 1 ตึกไทยคู่ฟ้า ดูเหมือนว่า เกมปรองดองกับ "บ้านสี่เสาฯ" ที่มองว่า ยืน "คนละขั้ว" ส่อเค้าไปในทิศทางที่ดีขึ้นมาตลอด 
"ป๋าเปรม" ค่อนข้างจะ "เมตตา" ต่อนายกฯ หญิง อย่างน่าประหลาดใจ และยังต่อยอดไปยังเครือข่ายรายอื่นๆ ด้วย

เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พี่ชายของ "คุณหญิงพจมาน ชินวัตร" ซึ่งตามศักดิ์ เท่ากับเป็น "พี่ภริยา" ของ "ทักษิณ" ก็ได้ตั๋วพิเศษ นำคณะนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ตบเท้าเข้าบ้านสี่เสาฯ ไปอวยพร รดน้ำดำหัว "ป๋า" มาแล้ว "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์" ไม่เจอ "ป๋าเปรม" นานมาแล้ว จึงมีอาการตื่นเต้นอย่างเห็นชัด 
เช่นเดียวกันช่วงที่ "พี่ใหญ่ดูไบ" บินมาลาว-กัมพูชา เพื่อให้กองทัพ "คนเสื้อแดง" แห่ข้ามเขตไปร่วมเล่นสงกรานต์ รดน้ำดำหัว


"ยิ่งลักษณ์" เกรงว่า "พี่ใหญ่" จะของขึ้น เพราะรู้นิสัยใจคอกันดี เลยโทรศัพท์ไปถามสารทุกข์สุกดิบ ก่อนทิ้งท้ายว่า "ขอให้พูดเบาๆ หน่อย"
"ทักษิณ" จึงลดดีกรีแห่งความร้อนแรงลง ผิดกับช่วงก่อนๆ 
ไม่มีอะไรพาดพิงถึง "อำมาตย์" แบบหักดิบ แถมทอดไมตรีถึงอีกฝ่ายหนึ่งต่างหาก



+++

ประกาศิต"ทักษิณ" "หยุด"แค้น-จูบปาก"ประยุทธ์" "ป๋า"ส่งซิกปรองดอง กับศึกวอร์รูม"กห.-ร.1"
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1654 หน้า 16


วินาทีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พยายามเอาชนะความรู้สึกทั้งปวงของตนเอง แม้แต่ความแค้นที่แน่นอกที่ยาวนาน เพื่อมุ่งไปสู่การนิรโทษกรรม เคลียร์คดี และกลับประเทศ 
หลังจากที่ปล่อยความเคียดแค้นให้ออกมากับเพลง Let it be และ วลี "ช่างแม่มัน" แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็สั่งทุกสาย "เอาอย่างกูว่า" หรือเดินตามผมมา ที่เขาสะท้อนผ่านเพลง My Way สุดโปรด 
จึงไม่แปลกที่จะมีข่าวว่า ในช่วงสงกรานต์ ทั้งที่ลาว กัมพูชา และสิงคโปร์ ที่บรรดาแกนนำคนเสื้อแดง และเพื่อน ตท.10 ไปพบนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีบัญชาให้ "หยุด"

หยุด หมายถึง การหยุดความแค้น โกรธเกลียด เอาไว้ก่อน เพื่อเดินตามแนวทางปรองดอง "เฮ้ย...หยุดไว้ก่อน เรื่องอื่น ตอนนี้เอาเรื่องปรองดองก่อน ไม่งั้นก็ไปต่อไม่ได้" 
ยุทธศาสตร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการต่อสู้กับฝ่ายอำมาตย์และกองทัพ ที่เคยปฏิวัติรัฐประหารล้มอำนาจเขาและการใช้กระสุนจริงปราบปรามคนเสื้อแดง คือ Win-Win เพื่อการนิรโทษกรรมให้ทุกฝ่าย 
แม้แต่กรณีเสื้อแดง 92 ศพ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า "ต้องเสียสละ และให้อภัยกัน" โดยที่เขาจะช่วยเยียวยาปรองดองให้ญาติผู้เสียชีวิตด้วย "วิธีของเขาเอง" นอกเหนือจากที่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลแล้ว

แม้ว่าจะมีญาติผู้เสียชีวิตจำนวนไม่น้อย ที่ไม่พอใจแนวทางปรองดอง แบบไม่เอาผิดทหารที่สั่งปราบปรามคนเสื้อแดง โดยเฉพาะกลุ่มของ นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ น.ส.กมนเกด พยาบาลที่เสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม
รวมทั้งมีแกนนำเพื่อน ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกหลายคนที่ร่วมต่อสู้ วิ่งหนีกระสุนเฉียดตายกับคนเสื้อแดงมา ไม่เห็นด้วยกับการให้อภัยทหารที่สั่งฆ่าประชาชน ก็ตาม 
"ต้องทำให้กองทัพเข็ดหลาบ ไม่กล้าปฏิวัติและสั่งฆ่าประชาชนอีก ไม่ใช่ตายแล้วตายไป ทักษิณจะเอาศพคนเสื้อแดงมาต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของตนเองคนเดียวไม่ได้ ปรองดองได้แต่ต้องไม่อภัยคนสั่งฆ่าประชาชน" แกนนำ ตท.10 คนหนึ่งกล่าว 


"คนเสื้อแดงที่ยอมตาย ไม่ใช่เพื่อทักษิณทั้งหมด แต่เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะเราก้าวข้ามผ่านทักษิณไปเป็นเรื่องของอุดมการณ์แล้ว" แกนนำ ตท.10 อีกคนหนึ่งระบุ 
กองทัพจึงต้องได้รับผลกระทบ วิบากกรรมจากที่ได้สั่งใช้กระสุนจริงกับคนเสื้อแดง และต้องปรับกองทัพไม่ให้ยุ่งเกี่ยวการเมือง หรือฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเช่นที่ผ่านมา มิเช่นนั้น ต่อไปทหารก็จะทำอีก โดยเฉพาะการจำกัดวงอำนาจแต่ในพวกพ้อง แล้วเด้งฝ่ายตรงข้ามเข้ากรุหมด

"พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ดาว์พงษ์ และพวกบูรพาพยัคฆ์ ต้องได้บทเรียน" เสียงจาก ตท.10 
ถ้าจะปรองดอง พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเยียวยาทหารที่เขามองว่าเป็นแตงโม ทหารที่ถูกเด้งเข้ากรุตั้งแต่ปฏิวัติ 19 กันยายน ให้ได้รับความชอบธรรมกลับคืนมาด้วย แต่ตอนนี้พวก ตท.10 เกษียณหมดแล้ว แต่ลูกน้องโดนดองกันหมด จะเยียวยาหรือไม่ กองทัพจะมีความยุติธรรมในการโยกย้ายหรือไม่ 
แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เดินหน้าไปตามทางของเขาแล้ว โดยมีรายงานการเจรจาต่อรองกับทางกองทัพ ภายใต้การนำของ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เพื่อให้กองทัพไม่ขวางการนิรโทษกรรม



ต้องยอมรับว่า หลังการเปลี่ยนมาสู่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทำให้ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการปราบปรามคนเสื้อแดง หวั่นวิตกที่จะถูกเช็กบิลกันอย่างหนัก ทั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ในเวลานั้น บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ในเวลานั้น รวมทั้ง บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ที่แม้จะเป็น รอง เสธ.ทบ. ในเวลานั้น แต่ก็รู้ถึงบทบาทโดยพฤตินัย ในการวางแผนต่างๆ เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่แม้ตอนนั้นจะเป็น รอง ผบ.ทบ. แต่ก็มีบทบาทสำคัญอยู่เบื้องหลัง พล.อ.อนุพงษ์ 

แน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ยังต้องยอมปรองดองเพื่อพี่ๆ และน้องๆ ที่เป็น ผบ.หน่วยคุมกำลังที่ออกปฏิบัติการ ที่ต้องมาเดือดร้อนจากการให้ปากคำคณะกรรมการชุดต่างๆ นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ยังต้องมาถูกลงโทษอีก 
นี่กระมังที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องกลับมาทำหน้าที่ ผบ.ทบ. คู่บุญของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่พระเอก ที่คอยช่วยเหลือนางเอก จนถูกมองว่า เปลี่ยนจุดยืน โดยเฉพาะเมื่อต้องห้ามไม่ให้เครือข่ายพันธมิตรฯ ใช้สโมสร ทบ. ในการชุมนุมทางการเมือง 
"ผมจะดูแลปกป้องพวกเราเอง" พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศกลางที่ประชุม ทบ. เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งเรื่องการกระชับพื้นที่คนเสื้อแดง และกรณีผังล้มเจ้า ที่ไม่มีจริง 
ต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ เผชิญแรงกดดันจาก ผบ.หน่วยคุมกำลัง ที่บ่นรำคาญที่ต้องไปชี้แจงให้ปากคำหลายครั้ง จนเกิดความเบื่อหน่าย เสียเวลาทำงาน รวมทั้งแรงกดดันจากสังคมที่ต้องการความปรองดอง


ดูเหมือนจะเช่นเดียวกับที่ ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ก็จำต้องปรองดอง ในเมื่อมองไปข้างหน้าแล้วไม่มีทางเลือกอื่น เพราะไม่ว่าเลือกตั้งกี่ครั้งพรรคเพื่อไทยก็คงได้เป็นรัฐบาล ยิ่งเมื่อนักการเมืองตัวเด็ดๆ จากบ้านเลขที่ 111 หลุดคดี 
ประตูบ้านสี่เสาเทเวศร์ จึงถูกเปิดออกต้อนรับน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ คนที่ พล.อ.เปรม เคยเกลียดที่สุด

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำ ครม. มุดเข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ครั้งแรก เมื่อ 26 เมษายน เพื่อรดน้ำขอพรป๋า เนื่องในวันสงกรานต์ปีใหม่ไทย เนื่องจากวันที่ป๋าเปิดบ้าน 18 เมษายน นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ระหว่างไปเยือนจีน แต่มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา
ท่ามกลางการคัดค้านของคนเสื้อแดง ที่ไม่ต้องการให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปสยบต่อบารมีนอกรัฐธรรมนูญของป๋าเปรม ไม่ให้ไปยอมต่ออำนาจของ "มือที่มองไม่เห็น" โดยส่งผลกดดันไปที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดงที่อยู่ใน ครม. มาให้เข้าบ้านป๋า แถมทั้ง 26 เมษายน คือวันเกิดของ น.ส.กมนเกด เหยื่อ 6 ศพวัดปทุมฯ อีกด้วย  
"เราต้องรักและสามัคคีกัน ก็เหมือนกับบ้านเมือง ถ้าไม่รักกัน ไม่สามัคคีกัน ก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้" วรรคทองของป๋าเปรม ที่ต้องการสื่อถึงเหตุผลที่ป๋าต้องเปลี่ยนไป 
ป๋าในชุดวอร์มทหารเสือฯ ส่งสัญญาณปรองดองนี้ ท่ามกลางหมู่ทหารม้าน้อยใหญ่กว่า 200 นาย ที่มารดน้ำขอพรสงกรานต์ที่สโมสร ทบ. เทเวศร์ ข้างบ้าน เมื่อบ่าย 18 เมษายน หลังจากที่ช่วงเช้า บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม นำ ผบ.เหล่าทัพ เข้ารดน้ำป๋า แต่ป๋าก็ไม่ได้ส่งสัญญาณชัด นอกเสียจากว่า "ขอให้เรารักกันเช่นนี้ตลอดไป" 
แต่เมื่ออยู่ท่ามกลาง ทหารติดสเปอร์ ตบเท้ากันพึ่บพั่บเช่นนั้น ป๋าเปรม จึงได้ส่งสัญญาณปรองดอง ที่ไม่ใช่แค่การแนะให้ปรองดองในกองทัพ แต่ยังหมายถึงในชาติบ้านเมืองด้วย

ป๋า นั้นรู้ดีว่า ในหมู่ทหารม้ามีความแตกแยกเป็นกลุ่มเป็นฝ่าย แถมแค้นกันแรง จนอาจส่งผลให้เหล่าทหารม้าไม่ก้าวหน้า จนตอนนี้ไม่มีหวังที่จะดันใครขึ้น ผบ.เหล่าทัพ หลังจากที่ บิ๊กตุ้ย พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. เกษียณไปแล้ว เพราะตอนนี้ ก็มีแค่ บิ๊กหยอย พล.อ.วรรณทิพย์ ว่องไว อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 มียศสูงสุด แม้จะมี บิ๊กอ้อ พล.ท.วิลาศ อรุณศรี รอง เสธ.ทบ. แต่ก็ไม่ได้เป็นความหวัง เพราะใกล้เกษียณแล้ว

แต่ที่ต้องจับตาคือ จะมีการปรองดองขั้นเทพ คือ พล.อ.อ.สุกำพล ก็ถูกมนต์แห่งประกาศิตแม้ว ไม่ให้แตะต้องกองทัพ ไม่ล้วงลูกโยกย้ายทหาร

ที่ว่าปรองดองขั้นเทพ นั้น คือการยอมให้นายทหารที่มีส่วนสำคัญในการปราบคนเสื้อแดง ได้ตำแหน่ง เช่น ให้ พล.อ.ดาว์พงษ์ ข้ามจาก รอง ผบ.ทบ. มาเป็น ปลัดกลาโหม ในปีสุดท้ายก่อนเกษียณ เพื่อขัดตาทัพ ก่อนที่ บิ๊กกี๋ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกลาโหม ขึ้นมานั่งอีก 2 ปี อย่างสวยงาม 
แต่ทว่า ทั้ง ทหารเรือและทหารอากาศ ก็ต้องการโควต้าได้เป็นปลัดกลาโหม บ้าง เพราะนานแล้วที่ ทบ. ยึดโควต้านี้ โดย ทร. จะส่ง บิ๊กต้อม พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง ผช.ผบ.ทร. ที่แม้เหมาะเป็น ผบ.ทร. แต่เพราะจบโรงเรียนนายเรือเยอรมัน จึงไม่อาจแหวกประเพณีทหารเรือขึ้น ผบ.ทร. ได้มาชิงเก้าอี้ปลัดกลาโหม 
แม้แต่การต้องยอมให้ บิ๊กอู๊ด พล.ต.วลิต โรจนภักดี รองแม่ทัพภาคที่ 1 อดีต ผบ.พล.ร.2 รอ. ที่เคยนำปราบปรามคนเสื้อแดง ขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 อีกด้วย

หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ยินยอมปรองดองเช่นนี้ ก็อาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับคนเสื้อแดงเพิ่มมากขึ้น เพราะในเวลานี้ คนเสื้อแดงกำลังรู้สึกว่า ถูกลืม เพราะคำว่า ปรองดอง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับอำมาตย์และกองทัพ 
แต่ทว่า ในบรรดา ตท.10 เพื่อนทักษิณเองนั้น ก็มีความคิดที่แตกต่างในการปรองดอง เพราะส่วนใหญ่ก็จะยึดตาม Thaksin"s way ที่สั่งให้หยุดและปรองดอง 
"บ้านเมืองเราถ้าไม่ปรองดอง มันก็จะก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้ ก็ต้องให้อภัยและมาเริ่มต้นกันใหม่" บิ๊กโอ๋ พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต หัวหน้าฝ่าย เสธ.ประจำ รมว.กลาโหม เพื่อนซี้ทักษิณ กล่าว แม้ว่าเขาจะถูกผลกระทบจากปฏิวัติ ที่ถูกเด้งจาก ผบ.พล.1 รอ. เข้ากรุและถูกดองมาตลอดก็ตาม

แต่กระนั้นในเมื่อทุกอย่างเป็นความจำเป็น จำยอมและจำใจ ที่ต้องปรองดอง ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ และ ตท.10 เองก็ต้องไม่ประมาท ฝ่ายอำมาตย์และกองทัพ ต้องรู้เท่าทันและพร้อมรับสถานการณ์



มีการจับตามองว่า การตั้ง วอร์รูมของศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงกลาโหม (ศปก.กห.) แห่งใหม่ที่ปีกหลังของกระทรวงกลาโหม นั้น เสมือนกองบัญชาการต่อต้านการปฏิวัติ มากกว่าที่จะเป็นกองบัญชาการในการปราบม็อบ ปราบจลาจล หรือ บก.ปฏิวัติ 
เนื่องจากเป็นวอร์รูมของกลาโหม ที่มีทั้ง ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม (ผอ.สนผ.กห.) ปลัดกลาโหม และ รมว.กลาโหม เป็นผู้ควบคุมสั่งการการใช้กำลังทหารในวิกฤติแต่ละขั้น จาก 1-2-3 
แม้ว่า ศปก.กห. ตั้งขึ้นเพื่อการประสานการสั่งการไปยัง กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) และ 3 เหล่าทัพ ในการทำตามนโยบายรัฐบาล และการบรรเทาภัยพิบัติขนาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นอีก เพราะทหารจะต้องเป็นกำลังหลักในการช่วยประชาชนเสมอ หรือแม้แต่กรณีเกิดการสู้รบตามแนวชายแดน โดยเฉพาะด้านกัมพูชา ก็ตาม

แต่เป้าหมายแฝงถูกมองว่าเป็น บก.ต้านปฏิวัติ ที่ถือว่ามีความทันสมัยและไฮเทคที่สุด เพราะเชื่อมโยงข้อมูลของ กทม. มหาดไทย และ กอ.รมน. แม้แต่การลิงก์ภาพจากกล้องวงจรปิดกว่า 6 พันจุดทั่วกรุง การเชื่อมโยงการประชุมทางไกลผ่านดาวเทียวจากทั่วประเทศและทั่วโลก
อีกทั้งฝ่ายที่ดูแลวอร์รูมนี้ก็ถูกมองเป็นฝ่ายรัฐบาล ทั้ง บิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผอ.สนผ.กห. ที่เป็นแม่งาน ในฐานะ เสนาธิการกลาโหม ที่ถูกวางตัวให้ข้ามกลับไปเป็น ผบ.สส. ต่อจาก บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ที่จะเกษียณปี 2557 เพราะมีความสามารถรอบด้าน ทั้งเรื่องชายแดน ความสัมพันธ์เพื่อนบ้าน และการต่างประเทศ และเป็นคนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เรียกหาและถามไถ่ข้อมูลตลอด และเป็นที่รักของพี่ๆ ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพ

พล.อ.นิพัทธ์ เป็นแกนนำ ตท.14 เพื่อนรักของ บิ๊กโด่ง พล.ท.อุดมเดช สีตะบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 ที่ถูกวางตัวให้เป็น ผบ.ทบ. คนต่อไป ส่วน พล.อ.นิพัทธ์ ซึ่งมีอายุราชการถึงปี 2559 นั้น สามารถขึ้นเป็นปลัดกลาโหมได้ แต่เขาถูกมองว่า เหมาะสมที่จะเป็น ผบ.สส. มากกว่า 

ศปก.กห. นี้ ยังมี บิ๊กเถียร พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม ที่ถูกมองว่าเป็นสีแดง คอยบัญชาการอีกระดับหนึ่ง โดยมี พล.อ.อ.สุกำพล คุมในระดับสูงสุด แน่นอนว่า พล.อ.พฤณท์ นั้นเป็นหัวหน้าทีม โดยมีแกนนำ ตท.10 หลายคนระดับหัวกะทิ มาช่วยกัน และมีทหารแตงโมตามหน่วยต่างๆ เป็นหน่วยข่าวชั้นดี 
ว่ากันว่า วอร์รูมของฝ่ายแดง หรือทหารแตงโม ไม่ใช่มีแค่ที่กลาโหม แต่ข่าวว่า มีทั้งที่สำนักงานปลัดกลาโหม เมืองทองธานี แถวทุ่งสีกัน และสนามบินดอนเมือง อีกด้วย


ในขณะเดียวกัน ในส่วนของกองทัพ ที่นอกจากจะมีวอร์รูมที่ บก.กองทัพไทย แจ้งวัฒนะ ที่ชั้น 6 ของ พล.อ.ธนะศักดิ์ และที่ชั้น 6 กองบัญชาการกองทัพบก ของ พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว 
วอร์รูมแห่งใหม่ล่าสุดของ ทบ. หรืออาจเรียกว่าเป็น วอร์รูมส่วนตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ใช้เวลาสร้างนานกว่า 1 ปี โดยถือฤกษ์ 20 เมษายน ย้ายจากบ้านพักที่อยู่ไม่ห่างกันนัก เข้าอยู่บ้านใหม่เมื่อ 20 เมษายนที่ผ่านมา 

บ้านพักหลังใหญ่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) ถูกมองว่า จะเป็น บก.ทบ. ส่วนแยก ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่สามารถทำงานและประชุม ประสานงานติดต่อจากที่บ้านพัก ไปยังทุกหน่วยทั่วประเทศ หรือแม้แต่ในต่างประเทศได้เลย 
ที่นี่จะเป็นทั้งวอร์รูม และเป็นเซฟเฮ้าส์ที่แสนปลอดภัยเพราะอยู่ในค่ายทหารและเป็นกองบัญชาการ เพราะทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ พี่เลิฟแห่งบูรพาพยัคฆ์ ก็อยู่ในบ้านไม่ห่างกันนัก พร้อมที่จะมาร่วมประชุมได้ในทุกสถานการณ์

นี่จึงเป็นความปรองดอง ที่ต่างฝ่ายต่างจำเป็นต้องยอม

แต่ทว่า ต่างฝ่ายต่างก็พร้อมที่จะต่อสู้ห้ำหั่นกันอีกครั้ง ได้เสมอ...



+++

พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ปฏิบัติการ "นครศรีฯ โมเดล" ลุยปราบยา "แดนสนธยา"
คอลัมน์ โล่เงิน ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1654 หน้า 99


"นครศรีธรรมราชโมเดล" ที่มี พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) นครศรีธรรมราช เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ นำทีมคณะ นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมกำลังตำรวจ ฝ่ายปกครอง ตำรวจตระเวนชายแดน ค่ายศรีนครินทรา สารวัตรทหารจากมณฑลทหารบกที่ 41 และชุดคอมมานโดกรมราชทัณฑ์ 650 นาย ปฏิบัติการลับ จู่โจมค้นแดนที่ 4, 5 และ 6 ซึ่งคุมขังนักโทษคดีค้ายาเสพติดและนักโทษเด็ดขาดประหารชีวิตในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เมื่อตี 3 วันที่ 22 เมษายน สร้างความตื่นตะลึงไม่น้อย

ผลการตรวจค้นสามารถยึดสิ่งของต้องห้ามบิ๊กล็อต โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือถึง 284 เครื่อง ยาบ้า 1,700 เม็ด ยาไอซ์ 1 กิโลกรัม อุปกรณ์เสพหลายชุด มีด ของมีคมดัดแปลง เหล็กขูดชาฟต์กว่าร้อยเล่ม อุปกรณ์เล่นการพนันดัดแปลง และอาวุธปืนชนิดต่างๆ จำนวนมาก

ต่อมาเย็นวันที่ 23 เมษายน พล.ต.ต.รณพงษ์ นำกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตรวจค้นซ้ำในแดน 6/1 และ 6/2 โดย พล.ต.ต.รณพงษ์ ใช้ชื่อปฏิบัติการตรวจค้นรอบ 2 ว่า "นวด"

สามารถยึดโทรศัพท์มือถือได้อีก 52 เครื่อง และตรวจปัสสาวะผู้ต้องขังพบเป็นสีม่วงกว่า 655 คน หรือเกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ต้องขังทั้งหมด

รวมโทรศัพท์มือถือที่ยึดได้ทั้งหมด 366 เครื่อง!!

พล.ต.ต.รณพงษ์ บอกว่า การขยายผลจากโทรศัพท์มือถือ จะทำให้รู้ถึงพฤติการณ์ ขบวนการและเครือข่ายที่เชื่อมโยงกับการค้ายาเสพติด ที่สำคัญสิ่งที่นักโทษเกรงกลัวมากที่สุด คือ การลดชั้นจากนักโทษชั้นเยี่ยมใกล้จะได้รับอิสรภาพ กลายเป็นนักโทษชั้นเลว และต้องจองจำไปอีกนาน ซึ่งนอกจากจะขยายผลดำเนินคดีอาญากับนักโทษที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดแล้ว จะเสนอรายชื่อนักโทษที่พบพฤติการณ์ความผิดให้เป็นนักโทษชั้นเลวด้วย



นอกจากนี้ "นครศรีธรรมราชโมเดล" ยังเปิดโปง เบื้องลึกความฟอนเฟะในกำแพงดัดนิสัย ที่หลายคนเรียกว่าแดนสนธยาจนหมดเปลือก เพราะสถานที่คุมขังเพื่อให้ผู้กระทำผิดเข็ดหลาบและหลาบจำ ไม่หวนทำผิดซ้ำ กลับกลายเป็น "ซ่องโจร"!!

หลังถูก "นวดซ้ำ" มีนักโทษและผู้คุมยอมคายความลับอันน่าพรั่นพรึงในแดนสนธยา

"ต้องโทษมาแล้ว 8 ปี...ตั้งตัวเป็นขาใหญ่ เป็นเอเย่นต์จำหน่ายยาเสพติด เปิดร้านซ่อมและจำหน่ายโทรศัพท์มือถือในเรือนจำ และเป็นเอเย่นต์จำหน่ายหนังสือลามกอนาจารในเรือนจำด้วย การทำธุรกิจในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชทำให้มีรายได้ดีมาก บางวันตลาดยาบ้าเปิดจะมีคนโทรศัพท์มาสั่งซื้อ จากนั้นจึงโทรศัพท์สั่งเครือข่ายนอกคุกไปส่งยาเสพติดให้ลูกค้า ทำให้มีรายได้วันละ 3 ล้านบาท มีเงินจ่ายให้เจ้าหน้าที่เพื่อเปิดไฟเขียวทำธุรกิจผิดกฎหมายในเรือนจำได้อย่างสบาย" นักโทษชาย ตวงธิปัตย์ คงคุ้ม อายุ 30 ปี หรือ "เนย์ หัวถนน" ซึ่งศาลฎีกาตัดสินจำคุก 18 ปี ปัจจุบันเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม คายความลับที่เก็บมากว่า 8 ปี หลังถูกจับได้พร้อมสิ่งของต้องห้าม

นักโทษอีกคนบอกว่า การค้นครั้งนี้ได้โทรศัพท์และยาเสพติดน้อยมาก ความจริงโทรศัพท์ยังคงเหลืออีกหลักพันเครื่อง บางคนมี 10-20 เครื่อง...ถือเป็นกองบัญชาการสั่งยาจากเรือนจำ...

"หลัง 6 โมงเย็นจะทำกิจกรรมร่วมกัน เล่นไพ่ แทงไฮโล เมื่อผู้คุมเดินผ่านมาจะจ่ายค่าต๋งให้ครั้งละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท ทั้งๆ ที่ผู้คุมทำหน้าที่ดูแลนักโทษกลับเป็นว่านักโทษเป็นหัวหน้าผู้คุม สั่งการผู้คุมได้"

ขณะที่เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมราชทัณฑ์คนหนึ่ง บอกว่า ผู้คุม 5-6 คนต้องควบคุมดูแลนักโทษนับพันคน แต่ละคนมีอาวุธมีดดัดแปลงปลายแหลม พร้อมจะทำร้ายผู้คุมตายได้ทันที ที่สำคัญนักโทษติดตามความเคลื่อนไหวของผู้คุมทุกคน เช่น มีบ้านอยู่ที่ไหน เมียทำอะไร ลูกเรียนหนังสือที่ไหน หากผู้คุมเข้มงวดกวดขันแล้วใครจะรับผิดชอบในชีวิตและทรัพย์สินรวมทั้งลูกเมีย เพราะนักโทษเหล่านี้มีเครือข่ายอยู่นอกเรือนจำกว้างขวางมาก สามารถโทรศัพท์สั่งการให้เครือข่ายนอกคุกดักทำร้ายผู้คุมและครอบครัวเมื่อไหร่ก็ได้ จึงอยากให้เข้าใจ เห็นใจผู้คุมในเรือนจำบ้าง

จากเรือนจำกลับกลายเป็น "ซ่องโจร" และแหล่งทำธุรกิจผิดกฎหมายโดยเฉพาะ "ฐานบัญชาการค้ายาเสพติด" และจากผู้คุมทำหน้าที่ควบคุมนักโทษกลับตาลปัตรเป็นนักโทษกดหัวผู้คุม!!



พล.ต.ต.รณพงษ์ เจ้าของลิขสิทธิ์ "นครศรีธรรมราชโมเดล" สะท้อนไว้อย่างน่าสนใจว่า การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องล้างบางผู้คุมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพราะลำพังแค่ย้าย นายณรงค์ ยงค์ณรงค์เดชกุล ผบ.เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เพียงคนเดียวคงแก้ปัญหาไม่ได้

"ครั้งที่ผมดำรงตำแหน่ง ผบก.ภ.จว.สุรินทร์ เคยจู่โจมตรวจค้นเรือนจำอำเภอรัตนบุรี จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2554 สามารถขยายผลออกหมายจับผู้คุมได้ 4 คน และในห้วงเวลาก่อนย้ายมาเป็น ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช มีการย้ายนักโทษไปเรือนจำเขาบิน 26 คนเพื่อล้างเครือข่ายยาเสพติดในเรือนจำ และคิดว่าที่เรือนจำนครศรีธรรมราชจะดำเนินการเช่นเดียวกัน

"และหลังจากปฏิบัติการ "นวดซ้ำ" ทำให้เริ่มมีเจ้าหน้าที่ในเรือนจำให้เบาะแสว่ามีเจ้าหน้าที่ในเรือนจำประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ จากยอดรวมกว่า 100 คน ที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบนำสิ่งของต้องห้ามเข้าเรือนจำ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีข้อมูลผู้คุมต้องสงสัยกว่า 10 คน อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวนขยายผลดำเนินคดี

"ผมจะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู คนอื่นจะได้ไม่กล้าทำตาม เพราะที่ผ่านๆ มาเมื่อมีการยึดโทรศัพท์มือถือมักไม่มีการขยายผล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้อง "นวดซ้ำ" อย่างต่อเนื่องเพื่อให้นักโทษและผู้คุมเห็นว่าไม่คุ้มกับการลงทุนจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อแลกกับสิ่งของต้องห้าม แถมเสี่ยงกับการลดชั้นเป็นนักโทษชั้นเลวอีกด้วย" เจ้าของลิขสิทธิ์ "นครศรีธรรมราชโมเดล" เผย

พล.ต.ต.รณพงษ์ ระบุด้วยว่า หากมีการขยายผลยึดทรัพย์เครือข่ายผู้ต้องขังในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชน่าจะมีมูลค่ามหาศาลหลายร้อยล้านบาท โดยพบว่าเครือข่ายเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช มีความเชื่อมโยงกับเรือนจำบางขวาง และประเทศพม่าด้วย

ทั้งนี้ มีรายงานข้อมูลลับจากแฟ้มปฏิบัติการ "นครศรีธรรมราชโมเดล" ด้วยว่า มีการติดต่อจากผู้ต้องขังในแดน 5 เรือนจำบางขวาง มาที่แดน 6 เรือนจำกลางนครศรีธรรมราชด้วย การต่อยอดขยายผลทลายเครือข่ายยาเสพติดในเรือนจำจึงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง!!



"นครศรีธรรมราชโมเดล" จึงเป็นต้นแบบของเรือนจำ ทัณฑสถาน และสถานที่กักขังนักโทษทั้ง 188 แห่งทั่วประเทศ

โดย พล.ต.ต.รณพงษ์ แนะด้วยว่า ความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฯลฯ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้ "ปฏิบัติการนครศรีธรรมราชโมเดล" ประสบความสำเร็จ

เพื่อทำลายฐานบัญชาการนักค้ายาเสพติดในแดนสนธยา ให้กลับคืนสู่สภาพสถานที่คุมขัง แดนดัดนิสัย เพื่อให้สำนึกผิด ละอายต่อบาป กลับตัวเป็นคนดี !!



.