http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-04-21

"ปรองดอง"..กับ"ยุทธวิธี"/ ลึกแต่ไม่ลับ 20 เม.ย.55


.

รายงานพิเศษ - เมื่อ Let it be "ช่างแม่มัน" เสียวแปลบแทงหัวใจ จับตายุทธการ "แม้ว-ปู" แยกหัว-ตัดแขนขา อำมาตย์
คอลัมน์ โล่เงิน - ชาวบ้านสู้แทน "ตำรวจน้ำดี" กรณีศึกษาสีกากี 2 แสนนาย
คอลัมน์ ในประเทศ - Let Poo be !
______________________________________________________________________________________________________

แนวทาง "ปรองดอง" ยุทธศาสตร์ แจ่มชัด แน่วแน่ ขึ้นอยู่กับ "ยุทธวิธี"
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1653 หน้า 8


รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยมีความแจ่มชัดยิ่งในยุทธศาสตร์การเมืองที่จะต้องผลัก ดัน พ.ร.บ.ปรองดองให้จงได้ ประเด็นอยู่ที่ว่ายุทธวิธีจะดำเนินอย่างไร 
แม้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จะตระเตรียมร่างไว้แล้ว
แม้ นายเสนาะ เทียนทอง จะสำแดงความพร้อมถึงระนาบที่เชื่อมั่นว่า "บรรยากาศปรองดองทั่วไปดีหมดแล้ว คงไม่มีปัญหาแรงต่อต้านอะไร เหลือแค่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ปรองดองก็ช่างหัวมัน ไม่ต้องไปสนใจ"
แต่ดูเหมือนงานปรองดองจะไม่เป็นทั้งของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ทั้งของ นายเสนาะ เทียนทอง โดยตรง
แม้จะมากด้วยความจัดเจน

เรื่องนี้จะประเมินผ่านท่าทีของ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล หรือแม้กระทั่ง นายยงยุทธ ติยะไพรัช ก็ไม่มีความกระจ่าง
ยิ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยิ่งง้างปากให้พูดก็แทบเป็นไปไม่ได้
ความเหมือนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อันถอดพิมพ์จาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อย่างชนิดก้าวต่อก้าว
คือการไม่พูด หรือพูดก็น้อยมาก


ปรากฏว่า อย่างน้อยก็มีบุคคล 2 คนที่เสนอพิมพ์เขียวการผลักดัน พ.ร.บ. ปรองดองในทางยุทธวิธีออกมาให้ได้เห็น 
1 เป็นนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
"ไม่ใช่การผลักดันของรัฐบาลพราะจะถูกข้อครหาว่าน้องช่วยพี่ อาจเสนอโดย ส.ส.พรรคเล็กพรรคน้อยหรือภาคประชาชนก็ได้"
อย่าลืมว่า นายนพดล ปัทมะ เพิ่งไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกงมา

ขณะที่ต่อกรณีนี้ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ทำหน้าที่ในฐานะโฆษกพรรคเพื่อไทยได้อย่างน่าศึกษา
เป็นการแถลงหลังการประชุมพรรคเพื่อไทย
"ถ้าพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลเสนอคงไม่เหมาะ ต้องให้คนกลางออกมาเสนอและนำไปสู่สภาเพื่อให้ประชาชนเกิดการยอมรับในฝ่าย นิติบัญญัติ รวมถึงไม่ให้ฝ่ายค้านสามารถนำไปขยายต่อให้เป็นประเด็นขัดแย้งทางการเมืองได้"
ทั้งยังบอกด้วยว่า
"การพูดว่าพรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาลจะเป็นเจ้าภาพในการผลักดันกฎหมายปรองดอง ถ้าพูดเอามัน ก็พูดได้แต่เป็นจริงไปไม่ได้"
เป็นการแถลงในนามพรรคอันเท่ากับยุติข้อเสนออื่นๆ อย่างน้อยก็ระดับอันแน่นอนหนึ่ง



อย่าได้แปลกใจไปเลยเมื่อมีนักข่าวถามเรื่องการปรองดองจากความรู้สึกอยากกลับ บ้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่นครเวียงจันทน์ ปากเซ และเสียมราฐ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะตอบโดยไม่ตอบ

เรื่องการปรองดองรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยได้กำหนดเป็นยุทธศาสตร์เอาไว้แล้วว่าจะต้องขับเคลื่อนให้สำเร็จ
แต่ยุทธวิธีนั้นมากด้วยความระมัดระวัง


แม้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จะเสนอตัวอย่างเต็มที่ แม้ นายเสนาะ เทียนทอง จะสำแดงความพร้อม แต่ดูเหมือนจะมีไฟแดงปรากฏอยู่เบื้องหน้า
รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะไม่เล่นเอง แต่เปิดโอกาสให้กลุ่มอื่นแสดงมากกว่า



++


คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ โดย จรัญ พงษ์จีน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1653 หน้า 8


แผน "พาทักษิณกลับบ้าน" ดังกระหึ่ม หลังจาก "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" บินตรงจาก "นครดูไบ" มาร่วมประเพณีสงกรานต์รดน้ำดำหัว กับ "คนเสื้อแดง" และ ส.ส. "เพื่อไทย" ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันที่ 12-13 เมษายน และ "กัมพูชา" ช่วงวันที่ 14-16 เมษายน เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ "นายใหญ่" ได้เจอหน้ากับพลังมวลชน เห็นกันจะ-จะ ตัวเป็นๆ ไม่ต้องผ่านกรรมวิธีวิดีโอลิงก์-ทวิตเตอร์

นับตั้งแต่ "แหกด่าน" หนีคดีที่ดินถนนรัชดาภิเษก หลังคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นเวลา 2 ปี และถูก "อำนาจเก่า" ไล่ล่า แบบ "หัวซุกหัวซุน"
แต่พลันที่การเมืองพลิกขั้ว พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และ "น้องสาว-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ผงาดขึ้นเป็นนายกฯ หญิง แผน "พาทักษิณกลับบ้าน" มีเค้าสู่ความเป็นจริงมากขึ้นเป็นลำดับ
ปัญหามีอยู่ว่า สถานะ "ทักษิณ" ยังมีโทษจำคุก 2 ปีค้ำคออยู่ หากเข้ามาเมืองไทย ต้องติดคุกในคดีที่ดินรัชดาฯ ก่อน 2 ปี

หากไม่ติดคุก ต้องหาวิธีปลดล็อก ซึ่งหลายฝ่ายเพียรพยายาม คือผ่าน "กระบวนการปรองดองแห่งชาติ" ล้างไพ่คดีที่เกิดขึ้นหลังปฏิวัติ 2549 ทุกคดี ที่ไม่เป็นธรรม
กับผ่านกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 แล้วไปตัดต่อมุ่งทะลายห้างบางมาตรา เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับคดีความที่เกิดจากปัญหาการเมือง

มีการหยิบ "สูตรปรองดองแห่งชาติ" กับ "แก้รัฐธรรมนูญ" มาชั่งน้ำหนักดูกันแล้ว ปรากฏว่า "ปรองดอง" เดินทางลัดได้เร็วกว่า เพราะรัฐสภา มีมติรับทราบรายงานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความ ปรองดองแห่งชาติเป็นที่เรียบร้อย และส่งเรื่องให้ "คณะรัฐมนตรี" ดำเนินการต่อไป
เพียงแค่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" นำสูตรปรองดองเข้าสู่ที่ประชุม ครม. และดันออกมาเป็น "พ.ร.บ." ทุกอย่างย่อมลื่นไหล
ขณะที่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังผ่านขั้นตอนอีกหลากหลาย แค่ผ่านมติรัฐสภาในวาระ 3 แล้ว ยังมีเรื่องเงื่อนเวลาเลือกตั้งและสรรหา "ส.ส.ร." มาเป็นผู้ยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ทั้งฉบับ ทีละมาตรา กว่าจะทะลุมิติเวลา ไม่น่าจะน้อยกว่า 6-7 เดือน เท่ากับปี 2555 ไม่รู้จะ "พานายกลับบ้าน" ได้หรือไม่ 

การตีกรรเชียงมาลาว-กัมพูชา "พ.ต.ท.ทักษิณ" ประกาศต่อแฟนคลับเสื้อแดง เสียงดังฟังชัดว่า "เราจะมีความสุขด้วยกันเสียที 3-4 เดือนข้างหน้าผมกลับมาแน่"
โอกาสที่ "นายใหญ่" จะได้กลับมาเหยียบมาตุภูมิ สูตรระยะสั้น 3-4 เดือน น่าเปี่ยมไปด้วยเงื่อนไข "ปรองดอง" มากกว่า "แก้ รธน."
เพราะพลันที่ "ทักษิณ" ลั่นวาจา มีลูกคู่ขานรับกันเป็นทอดๆ ทั้งจากพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วม

แต่แผน "พาทักษิณกลับ" มิได้ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ เพราะจะเกิดขบวนการต่อต้าน จาก "คนหลายสี" เกมนี้จึงมิต่างอะไรกับ "วัตถุไวไฟ" ออก "พ.ร.บ." มาเมื่อไหร่ โดนรุมต้านเต็มถนนแน่ และมีโอกาสที่จะตีกระทบไปถึงฐานที่มั่นคือรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ถูกแคนนอน เสียรังวัดตามไปได้โดยง่าย
รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" จึงดูเฉยๆ ชาๆ ไม่เร่งตีจังหวะ เร่งรัดดัน พ.ร.บ. เต็มสูบสักเท่าไหร่



ดูอาการแล้ว "ทักษิณ" อยากกลับบ้านใจจะขาด พลันที่การเมืองเปลี่ยนแกน เพราะนับตั้งแต่ "ยิ่งลักษณ์" มาเป็นนายกฯ เพื่อนบ้านในหลายประเทศ ที่เคยปิดประตูไม่ให้การต้อนรับ ด้วยมารยาททางการทูต หรือเงื่อนไขอื่นใด พากันเปิดอ้าซ่าอนุญาตให้เดินเข้ากันเป็นทิวแถว อาทิ ญี่ปุ่น-สาธารณรัฐประชาชนจีน-เกาหลีใต้- สิงคโปร์-ฝรั่งเศส-อิตาลี
และที่เจ้าตัวดีใจสุดขีด คือ ประเทศอังกฤษเปิดประตูต้อนรับอีกครั้งหนึ่งแล้ว และ "ทักษิณ" มีโปรแกรมเดินทางไปลอนดอนอีกคำรบ ในวันที่ 29 เมษายน พร้อมกับจองตั๋วเข้าชมฟุตบอลพรีเมียร์ ลีก เกมดาร์บี้แมตช์ ของลูกทีมเก่า "แมนฯ ซิตี้" กับ "แมนฯ ยูไนเต็ด"

หรือแม้กระทั่ง นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ค่ำคืนสุดท้ายที่นอนค้างคา ตอนถูก "คมช." ยึดอำนาจ "ทักษิณ" วางแผนจะย้อนกลับไปเยือน รำลึกความหวังเป็นคิวถัดไป
สรุปแล้ว เวลานี้ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" สามารถท่องอาณาจักรได้เกือบทุกมุมโลก เหลือแผ่นดินเดียวที่ยังเหยียบไม่ได้ คือ "บ้านเกิด" 

ดูองคาพยพแล้ว กรณีที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" คิดจะ "พาพี่กลับบ้าน" โดยเร็ววัน เดินทางลัด ออก พ.ร.บ.
แม้จะท้าทาย และเสี่ยงอันตรายกับกลุ่มคนหลายสี จะออกโรงมารุมต่อต้าน แต่หากดึงกองเชียร์ คือฐานมวลชนจากภาคเหนือ-อีสาน มาเป็นกันชนก็ย่อมทำได้
ปัญหาที่ผู้หลักผู้ใหญ่ "หวาดระแวง" ไม่ใช่กลัวเกมประท้วงนำไปสู่วิกฤตการนองเลือดกันใหญ่อีกครั้ง "สีแดง" เผชิญหน้ากับ "สีเหลือง" และ "สีอื่น"

ที่ "ทักษิณ" ถูกทักท้วงหนักกลับเป็นประเด็นของ "ความปลอดภัย"
กลัวว่ากลับมาแล้ว "ถูกลอบสังหาร" จากกลุ่มนิรนามพวกหนึ่ง กับบุคคลอยากดัง ด้วยคิดว่า เมื่อลงมือจัดการทักษิณได้แล้ว จะแปรสภาพเป็นฮีโร่โดยพลัน 

ประเด็นลอบสังหาร มิใช่เป็นไปไม่ได้ และมิได้หมายความว่า "ทักษิณไม่กลัว"
พลันที่ถูกทัก เจ้าตัวเริ่มปอดๆ เหมือนกัน เพราะช่วงอยู่ในอำนาจปี 2549 ยังเคยถูกลอบสังหาร ด้วย "คาร์บอมบ์" มาแล้ว นับประสาอะไรกับในขณะนี้ อำนาจที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในมือ

และที่เจ้าตัวหวั่นไหวสุดคือ คำเตือนของหมอดูชื่อดัง ที่สรุปว่า "ทักษิณ" ยังมีดาวพระเสาร์ ดาวราหู และดาวมฤตยูทับดวงชะตาอยู่ จะมีคนคิดปองร้าย ลอบสังหาร พ้นเคราะห์ คลี่คลายช่วงปลายปี 2555

สรุปว่า ทักษิณยังไม่ควรกลับประเทศไทยในปีนี้ค่อนข้างแน่ 



+++


เมื่อ Let it be "ช่างแม่มัน" เสียวแปลบแทงหัวใจ จับตายุทธการ "แม้ว-ปู" แยกหัว-ตัดแขนขา อำมาตย์
ไขรหัส ไย "ป๋า" ไม่อาจรัก "ปู" ได้หมดใจ
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1653 หน้า 16


ต้องยอมรับว่า เสียงเพลง Let it be ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปล่งร้องจากผืนแผ่นดินแห่งกรุงเสียมราฐ กัมพูชา นั้น พุ่งตรงเข้าก้องโสตของฝ่ายอำมาตย์ และผองศัตรูกันถ้วนหน้า 
โดยเฉพาะการใส่สีหน้า แววตาพร้อมกับสบถในเนื้อเพลงว่า "ช่างแม่มัน" และตอกย้ำ เน้นคำหลายต่อหลายครั้ง ทั้งเพลงนั้น ยิ่งเสียวแปลบแทงหัวใจอำมาตย์
ด้วยเพราะรู้กันดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการจะสื่ออะไร และสื่อถึงใคร เพราะแค่สีหน้าของแกนนำเสื้อแดงที่รายล้อม พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่นั้นก็บ่งบอก
หรือแม้แต่การขยายความของ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ว่า "สมัยก่อน ชั่ง แม่ ขายเป็นกิโล" หรือใครจะขวางปรองดอง ช่างแม่มัน พรรคไหนจะขวางแก้รัฐธรรมนูญ ช่างแม่มัน"
"จะเป็นจะตาย ก็ช่างแม่มัน ช่างแม่มัน" เสียงร้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไม่ได้เป็นแค่การอ้อนคนรักทักษิณ ด้วยความเจ็บปวดหัวใจเท่านั้น

จุดนี้ฝ่ายอำมาตย์ พยายามจับผิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และแกนนำเสื้อแดง พยายามเน้นเสียงที่บางคำนั้น ต้องการสื่ออะไร ทั้งๆ ที่รูปศัพท์จริงๆ คือ ช่างแม่งมัน อันเป็นคำสบถยอดฮิตของคนไทย
แต่เพลงนี้ ประโยคเหล่านี้ คำนี้ กลายเป็นประเด็นฮอตในหมู่อำมาตย์ ที่วิพากษ์วิจารณ์ และพยายามจะโยงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หมายถึงใคร


ต้องยอมรับว่า ปฏิบัติการแห่งสงกรานต์ ปี 2555 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นี้ ไม่ใช่แค่การยึดพื้นที่ข่าว แต่ยังเป็นการเดินแผนกดดันอำมาตย์แห่งสยามประเทศ เพื่อสื่อว่า คนไทยรักทักษิณ ต้องการทักษิณ กลับประเทศ 
ด้วยอารมณ์และความแค้นนานา บางครั้งก็ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลืมตัว โดยเฉพาะการตอกย้ำว่าจะกลับประเทศภายในปีนี้ และถึงขั้นที่ระบุว่า ภายในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงวันเกิด 26 กรกฎาคม ของเขา ทั้งๆ ที่ทีมงานที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยให้ ยังไม่มั่นใจว่าจะดูแลไหวหรือไม่ และไม่เชื่อว่าเขาจะได้กลับภายในวันเกิดหรือแม้แต่ปีนี้ด้วยซ้ำ
แม้ปกติพี่ชายจะเป็นคนวางแผน เขียนสคริปต์ และเตือนน้องสาว แต่บางครั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั้นต้องส่งข้อความสะกิด "พี่ชาย ใจเย็นๆ"

แผนการให้คนรักทักษิณ ที่ไปรดน้ำสงกรานต์ที่ลาวและกัมพูชา ใส่หน้ากากทักษิณ กลับเข้าประเทศ จึงถูก พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งยกเลิก เพราะจะเป็นการกดดันฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป และอาจทำให้แผนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พยายามเดินเกมปรองดองอยู่ ไม่สัมฤทธิผล 
ต้องยอมรับว่า ในเวลานี้ ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พยายามที่จะ "เคลียร์" กับหลายฝ่าย หลายคน ในฝั่งตรงข้าม และในหลายระดับ แม้จะผ่านไปได้หลายระดับแล้ว แต่ก็ยังไปติดอยู่ที่บุคคลบางคน อันเป็นที่มาของวลี "ช่างแม่มัน" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั่นเอง
จนทำให้ต้องมีหลายบุคคล ที่ต้องระบุว่า เป็นบุคคลชั้นสูง ที่พยายามช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ ฝากข้อความผ่าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปถึงพี่ชายของเธอ ให้ "ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งกดดันมาก ต้องให้เวลาอีกหน่อย" นั่นเอง



แม้จะรู้ว่า ยังเป็นการแสดงละครยอมสงบศึกชั่วคราวของฝ่ายอำมาตย์ ทั้งท่าทีที่ดีของผู้นำกองทัพ โดยเฉพาะ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่มีต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จนกลายเป็นข่าวเม้าธ์ว่าเป็นคู่ขวัญ คู่พระคู่นาง พระเอกนางเอก
แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ย่อท้อ ยังพยายามที่จะเข้าใกล้ผู้นำกองทัพ สร้างความคุ้นเคยสนิทสนม และช่วยเหลือดูแล เอาใจในบางเรื่อง โดยเฉพาะการให้เสนอของบประมาณจัดซื้ออาวุธของแต่ละเหล่าทัพแบบแพ็กเกจขึ้นมา
แม้จะมีเสียงจากสายอำมาตย์ มองว่า เป็นการโปรยยาหอม พร้อมๆ กับการ "โปรยเสน่ห์" ของนายกฯ หญิงคนสวย แต่ก็มองว่า ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายไปมาก เพราะผู้นำเหล่าทัพก็ต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษชาติทหาร ให้เกียรตินายกฯ หญิง ทั้ง บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. ที่ได้ชื่อว่าเป็นทหารสายวัง
และโดยเฉพาะ บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. ที่เป็นที่ประทับใจของนายกฯ ปู ที่รักทหารเรือถึงขั้น ขอตุ๊กตาทหารเรือมาไว้เป็นที่ระลึก

จนมีการวิจารณ์กันว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีท่าทีอ่อนลงมาก ไม่ได้ต่อต้านการนิรโทษกรรม นอกเสียจากแนะให้ยึดหลักกฎหมายและให้หยุดทะเลาะกัน ยิ่งเมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดูแลไม่ให้มีการแทรกแซงกองทัพ บิ๊กตู่ ก็แฮปปี้ ส่วน บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ที่ว่าแรง ก็ต้องเบาลง
จึงทำให้บรรยากาศระหว่างกองทัพกับรัฐบาลดีขึ้น รวมแม้แต่ระหว่าง พล.อ.อ.สุกำพล กับ ผบ.เหล่าทัพ ที่มีความคุ้นเคยและเป็นพี่น้องกันมากขึ้น ที่คาดกันว่า หลังจากไปทำ "ศึกเหมาไถ" ในการไปเยือนจีน 25-28 เมษายนนี้เพื่อกระชับสัมพันธ์ทางทหารและคานอำนาจสหรัฐอเมริกา แบบพร้อมหน้าคณะใหญ่ ทั้ง ปลัดกลาโหม ผบ.สส. และ ผบ. 3 เหล่าทัพ แล้ว พวกเขาจะยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้น

ส่วนกับ ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ก้าวหน้า ทำให้ป๋าเปรม อ่อนลง และดูแสนจะเอ็นดูเธอ แต่หาใช่เพราะมีข่าวที่ว่า หน้าตาเธอละม้ายน้องสาวของป๋าเปรม ตามที่พระราชปัญญาโมลี แห่งลำพูน ทักทายไม่
แต่ทว่า เป็นเพราะความอ่อนน้อม ใสซื่อ ไม่มีจริตจะก้าน ที่สำคัญดูจริงใจ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จนทำให้ป๋าลืมไปว่า การเข้าหาป๋านี้ เพราะเป็นไปตามแผนของใคร 
เพราะความจริงแล้ว ป๋าเปรม ไม่เคยนึกหรือเปรยเรื่องที่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ หน้าเหมือนน้องสาวซึ่งเสียชีวิตไปนานมากแล้ว เพราะนึกไม่ออกเลยว่า ถ้า ป๋าเปรม คิดว่า ตัวเองหน้าเหลี่ยมคล้ายคนชื่อทักษิณ ด้วยนั้นป๋าจะยอมรับตัวเองได้หรือไม่ 
มีแต่ป๋าจะพูดเสมอว่า "นายกฯ ยิ่งลักษณ์ นี่ ยิ่งดูๆ ไป หน้ายิ่งเหมือนพี่ชายเค้ามากนะ" ที่ทำให้คนใกล้ชิดตีความว่า กลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้ป๋าเปรม ไม่อาจเผลอใจรักและเอ็นดูนายกฯ หญิงคนเมืองคนนี้ได้หมดหัวใจ มีแต่ความเอ็นดู อย่างลูกหลาน และให้เกียรติในฐานะนายกฯ หญิงเท่านั้น

ต่อให้เมื่อช่วงสงกรานต์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะอวยพรผ่านสื่อ มาถึงป๋าเปรม ว่า "จริงๆ แล้ว ป๋าเปรมเป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพรักท่าน ตอนที่อยู่ไปกราบเคารพท่านเป็นประจำ ปีนี้ท่านอายุมากแต่ท่านยังแข็งแรง ยังอิจฉา ถ้าผมอายุน้อยกว่าท่านหน่อย จะแข็งแรงเท่าท่านหรือไม่ สุขภาพดีมาก ก็ฝากกราบความปรารถนาดีให้ท่านสุขภาพท่านดีต่อไป เพราะสุขภาพท่านดีมาก ทั้งสุขภาพกายและจิต เป็นการรักษาสุขภาพที่เราน่าเอาอย่าง" ก็ตาม 
แต่ ป๋าเปรม ก็ไม่เคยลืมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เคยทำกับป๋า และพาดพิงป๋าไว้อย่างไร ตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งคำว่า "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" "มือที่มองไม่เห็น" จนถึงหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 
จนในโลกออนไลน์ โซเชียลมีเดีย มีการขุดเอาคลิป พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวพาดพิงป๋าเปรม กับคนไทยในออสเตรีย และในสำนักข่าวต่างประเทศต่างๆ มาเผยแพร่กันอย่างแพร่หลาย เพื่อตอกย้ำว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คิดอย่างไรกับป๋าเปรม 


แต่ที่ป๋าเปรม ดูจะพอใจก็คือ คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ล่าสุดที่ว่า "ผมไม่ใช่คู่กรณีกับป๋าท่าน" 
ด้วยเพราะก่อนหน้านี้ พล.อ.เปรม เคยตอบคำถามผู้สื่อข่าว ที่ว่า "ป๋าไม่ต้องพบเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะว่าป๋าไม่ใช่คู่กรณี ใช่หรือไม่" ว่า "ผมไม่ได้พูดนะ สื่อพูดเอง"
ทั้งหมดนี้ อาจเป็นแผนขั้นเทพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เดินผ่าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อที่จะแยก "ป๋าเปรม" ออกจากอำมาตย์ กลับลำเพื่อให้เข้าใจว่า ป๋าไม่ได้อยู่เบื้องหลังรัฐประหาร หรือเรื่องร้ายๆ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประสบพบเจอมา เพื่อให้ป๋ารู้สึกดีและไม่ตกเป็นเป้า 

หลังจากที่ได้พยายามแยกกองทัพออกจากอำมาตย์ และตัดเขี้ยวเล็บ หากฝ่ายอำมาตย์ไม่มีกองทัพ ก็เสมือนขาดแขนขามือไม้ ก็ไม่อาจ "สั่ง" ให้ทหารปฏิวัติได้ 
แล้วหากฝ่ายอำมาตย์ ไม่มีป๋าเปรม ให้มาเชิดเป็นหัวขบวน ในการต่อสู้กับระบอบทักษิณ ฝ่ายอำมาตย์ก็จะอ่อนแรงลงไป

อย่าลืมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เคยให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ หลายต่อหลายครั้งเรื่อง "Palace Circle" ซึ่งก็หมายถึง บรรดาอำมาตย์ ที่แวดล้อมสถาบัน ที่สร้างปัญหา ซึ่งเขารู้ดีว่ามีใครบ้าง
เมื่อก่อน ป๋าเปรมถูกบรรดาอำมาตย์ เชิดชักใยให้เป็นหัวขบวนอำมาตย์ในการต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาตลอด ด้วยการป้อนข้อมูลในแง่ลบเข้าหูป๋าตลอด แม้แต่จากบรรดา "ลูกป๋า" ที่เป็นทั้งทหาร และพลเรือน
 
แม้แต่ปัจจุบัน คนเหล่านี้ ที่อาจรวมถึงพวกที่ถูกเรียกว่า "สลิ่ม" ก็คัดค้าน และไม่แฮปปี้ที่ป๋าเปรมไปให้ความใกล้ชิดสนิทสนมและเอ็นดู น.ส.ยิ่งลักษณ์ จนถึงขั้นยอมไปร่วมงาน "รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย" ที่ทำเนียบรัฐบาล
เกมของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ การแยกป๋าเปรม ออกมาจากอำมาตย์ เพื่อให้ศัตรูอ่อนแรงขาดหัว ด้วยการให้ความสำคัญ และแก้ข่าวว่า ป๋าเปรมไม่เกี่ยวข้องกับการล้มล้างระบอบทักษิณที่ผ่านมา แต่เป็นแค่ หุ่นที่ถูกเชิด เท่านั้น 



แม้ในช่วงสงกรานต์ จะไม่เห็นภาพหรือข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปรดน้ำขอพรป๋าเปรม ทั้งๆ ที่ป๋ายกเลิกกำหนดการที่จะเดินทางกลับบ้านที่สงขลา เพื่อที่จะรอท่าอยู่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ก็ตามนั้น ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างป๋ากับนายกฯ ปู ถดถอยลง
ด้วยเพราะในวันที่ 18 เมษายน ที่ป๋าเปิดบ้านให้ บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม นำ ผบ.เหล่าทัพ เข้ารดน้ำขอพรนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็อยู่ระหว่างการไปเยือนจีน
แต่ทว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้อาศัยโอกาสในระหว่างร่วมงานพระราชพิธีพระศพ เจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ นั้น เดินข้ามปะรำพิธี ที่อยู่คนละส่วน เข้าไปกราบสวัสดีป๋าเปรม อย่างอ่อนน้อม พร้อมอวยพรสงกรานต์ และออกตัวว่า ไม่ได้ไปหาป๋า เพราะจะต้องไปเยือนจีน ท่ามกลางสายตาอำมาตย์ ที่จ้องมองเธอเป็นตาเดียวกัน 
แต่ก็ไม่แน่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจหาโอกาสเข้าหาป๋า หลังจากเทศกาลสงกรานต์ก็เป็นได้


เกมของสองพี่น้องชินวัตร ขั้นเทพ คือการเปลี่ยนศัตรูให้มาเป็นมิตร และหวังที่จะให้ป๋าเปรม ซึ่งเสมือนเป็น "คนเรียนผูก" ก็ต้องเป็น "คนเรียนแก้" ในการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ให้กลับประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง พอๆ กับที่ เสธ.หนั่น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พบป๋า
จนเป็นที่มาของข่าวที่ร่ำลือกันว่า นายกฯ ปู เคยกระซิบป๋า ว่า "ขอให้พี่ชายกลับบ้านได้ไหมคะ" นั่นเอง 
แต่ก็ไม่ใช่งานง่าย สำหรับป๋าเปรมด้วยเช่นกัน ที่จะช่วยเคลียร์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะป๋าย่อมรู้ดีว่า อะไรเป็นอะไร อีกทั้งที่ผ่านมา มีบิ๊กลูกป๋า เคยเอ่ยปากกับป๋าให้ช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ มาแล้ว แต่เจอประโยคที่ว่า "คนคนเดียว กับชาติบ้านเมือง จะเลือกอะไร" จนต้องถอดใจกันไป 

แต่ที่แน่ๆ มีสายอำมาตย์ ฟันธงว่า เพราะเพลง Let it be และคำว่า ช่างแม่มัน นี่เอง ที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศได้ช้าลง หรืออาจจะไม่ได้กลับอีกเลย ต้องเร่ร่อน บินโฉบไปโฉบมา เช่นนี้ต่อไป

ในเมื่อที่นี่เมืองไทย เมื่อมีทั้งคำว่า ชั่งหัวมัน ช่างหัวมัน ช่างแม่งมัน ช่างแม่มัน ก็ต้องมี "ช่างแม้วมัน" ในสภาวการณ์ที่ "กูไม่กลัวมึง" แล้ว "มึงก็ไม่กลัวกู" ไม่มีใครกลัวใคร ทุกอย่างจึงเป็นเยี่ยงนี้...



+++

ปรากฏการณ์หลัง "แต่งตั้ง" ชาวบ้านสู้แทน "ตำรวจน้ำดี" กรณีศึกษาสีกากี 2 แสนนาย 
คอลัมน์ โล่เงิน ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1653 หน้า 99


เห็นข่าวชาวบ้าน ต.ปากตะโก อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร กว่า 30 คน นำโดย นายภิรมย์ สารูป อดีตนายกเทศบาล ต.ปากตะโก โดยสารรถกระบะ 12 คัน บึ่งตรงมายังกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (บก.ภ.จว.) ชุมพร ชูแผ่นป้ายเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับ พ.ต.ท.คำสิงห์ ศรียาภัย สว.หน.สภ.ปากตะโก เมื่อวันที่ 17 เมษายน สะท้อนภาพหลายอย่าง
เป็นการร้องขอความเป็นธรรมหลัง บก.ภ.จว.ชุมพร มีคำสั่งให้ พ.ต.ท.คำสิงห์ มาช่วยราชการที่ บก.ภ.จว.ชุมพร ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่า พ.ต.ท.คำสิงห์ ไปเหยียบตาปลาผู้มีอิทธิพลเข้า
หลังจากเมื่อกลางดึกวันที่ 12 เมษายน พ.ต.ท.คำสิงห์ นำกำลังไปตรวจการจัดงานสงกรานต์และงานเปิดโลกทะเลชุมพรปากตะโก แล้วพบว่าลักลอบจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงาน ซึ่งผิดกฎหมาย จึงว่ากล่าวตักเตือนแล้วสั่งห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานโดยเด็ด ขาด

ชาวบ้านเชื่อว่าการปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดของ พ.ต.ท.คำสิงห์ เพื่อความสงบเรียบร้อย ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้าน ทำให้ พ.ต.ท.คำสิงห์ เดือดร้อน ถูกนักการเมืองผู้มีอิทธิพลเล่นงาน จนถูกเด้งไปช่วยราชการ
ทุกคนตั้งคำถามว่า "พ.ต.ท.คำสิงห์ ทำอะไรผิด?"
"นับตั้งแต่ พ.ต.ท.คำสิงห์ ย้ายมาดำรงตำแหน่ง สว.หน.สภ.ปากตะโก ได้ประมาณ 2 ปี ชาวบ้านต่างชื่นชมผลงาน เพราะปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด รวมทั้งปัญหาบ่อนการพนันในพื้นที่ลดลงอย่างมาก แต่การทำงานอย่างตรงไปตรงมาของ พ.ต.ท.คำสิงห์ อาจทำให้นักการเมืองบางคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่พอใจ" นายภิรมย์เล่า พร้อมทั้งแสดงเจตจำนงขอให้ยกเลิกคำสั่งเด้ง พ.ต.ท.คำสิงห์ เพื่อรักษาตำรวจดีๆ เอาไว้

การรวมตัวของราษฎร ต.ปากตะโก ครั้งนี้สะท้อนว่า พ.ต.ท.คำสิงห์ ได้ใจชาวบ้านไปไม่น้อย
นั่นแสดงว่า "เมื่อคุณทำดีชาวบ้านจะยกย่องคุณ เมื่อคุณเป็นตำรวจเพื่อประชาชนแล้ว ประชาชนจะปกป้องคุณเอง"


เช่นเดียวกับการแต่งตั้งโยกย้ายรองผู้บังคับการ (รอง ผบก.)-สารวัตร (สว.) ที่เพิ่งมีผลไปเมื่อวันที่ 5 เมษายน แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงเรียกร้องจากชาวบ้านเพื่อปกป้องตำรวจอันเป็นที่รัก

นายคฑาเทพ วดีศิริศักดิ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนตาล (นายก อบต.โนนตาล) อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม นายอุดม บุตรพรหม แกนนำกำนันผู้ใหญ่บ้านตำบลวังตามัว อ.เมือง ผู้นำท้องถิ่นในจังหวัด แกนนำชาวบ้าน อาสาตำรวจชุมชน อปพร. ชาวบ้าน และตัวแทนข้าราชการตำรวจแต่ละโรงพักทั้ง 12 อำเภอใน จ.นครพนม กว่า 300 คน พาเหรดมาที่หน้า บก.ภ.จว.นครพนม มอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจ พ.ต.อ.ธีทัต อิ่มทั่ว รอง ผบก.ภ.จว.นครพนม ที่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (บช.ภ.4) มีคำสั่งโยกย้ายจาก รอง ผบก.ภ.จว.นครพนม ไปดำรงตำแหน่ง รอง ผบก.ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 4 (ศฝร.ภ.4) จ.ขอนแก่น พร้อมเข้าชื่อขอให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย
พ.ต.อ.ธีทัต ถูกเด้ง "เข้ากรุ" ทั้งๆ ที่เคยดำรงตำแหน่ง ผกก.สภ.ธาตุพนม ในปี 2553 และได้รับรางวัลโรงพักดีเด่น จาก บช.ภ. 4 กระทั่งเลื่อนขึ้นเป็น รอง ผบก.ภ.จว.นครพนม ในปี 2554
ชาวบ้านตั้งให้เป็น "รองผู้การฯ มือปราบนครพนม" เพราะมีผลงานปราบปราบยาเสพติด ปราบปรามไม้พะยูง และกวดขันจับกุมขบวนการค้าสุนัขในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ยอดรวม 2,700 คดี ที่สำคัญเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านและผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับ
จึงมีคำถามตามมาว่าเหตุไฉนนายตำรวจที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์กลับ "ถูกดอง" แทนที่จะได้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยปฏิบัติการ?!

กลุ่มผู้แทนท้องถิ่น ชาวบ้าน และเพื่อนร่วมอาชีพ เชื่อว่าเหตุที่ พ.ต.อ.ธีทัต ถูกเด้ง "เข้ากรุ" เพราะผลงานการปราบปรามที่ไปเจอตอ ไม่ต่างกับกรณีเด้งไปช่วยราชการของ พ.ต.ท.คำสิงห์ 
"พวกผมลงชื่อคัดค้านการย้าย พ.ต.อ.ธีทัต เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมสุดท้ายคนทำงานได้รับสิ่งตอบแทนแบบนี้ ที่ผ่านมาในพื้นที่มีปัญหายาเสพติด มีการลักลอบตัดไม้พะยูง ได้รับความร่วมมือจากรองผู้บังคับการฯ สั่งลูกน้องลงพื้นที่กดดันปราบปรามร่วมกับชาวบ้าน ปัญหาในชุมชนได้รับการแก้ไข ต้องเข้าใจว่าลำพังกำนันผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้าน ต่อสู้แก๊งอิทธิพลตัดไม้พะยูงและค้ายาบ้าไม่ได้ แต่มีตำรวจระดับรองผู้บังคับการฯ ให้ความร่วมมือช่วยสอดส่องดูแลจึงสำเร็จได้ หากไม่ทบทวนจะรวบรวมรายชื่อส่งถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)" นายอุดม บุตรพรหม แกนนำกำนันผู้ใหญ่บ้าน ต.วังตามัว อ.เมือง จ.นครพนม ระบุ 
เช่นเดียวกับ นายคฑาเทพ วดีศิริศักดิ์ นายก อบต.โนนตาล ระบุว่า ไม่เข้าใจรัฐบาล และ ตร. ที่โยกย้ายคนทำงานเกี่ยวกับยาเสพติดออกนอกพื้นที่ 
"ต้องยอมรับว่า อ.ท่าอุเทน เป็นพื้นที่สีแดงของการแพร่ระบาดยาเสพติด ที่ผ่านมาทาง อบต. ได้รับความร่วมมือจากตำรวจตามคำสั่ง พ.ต.อ.ธีทัต จัดชุดลงพื้นที่จับกุมปราบปรามเปิดค่ายเยาวชนต้านยาเสพติด ระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ปัญหาการระบาดเสพยาที่รุนแรงเบาบางลงไปเยอะ แต่ทำไมไม่ให้อยู่ทำงาน ขนาดคนทำงานยังมีปัญหา แล้วตำรวจคนอื่นจะเอากำลังใจที่ไหนมาทำงาน" นายก อบต.โนนตาล สะท้อน



สองเหตุการณ์นี้เรียกว่าเป็นปรากฏการณ์ "ชาวบ้านปกป้องตำรวจ" แม้จะทันการหรือไม่ก็ตาม แต่ควรอย่างยิ่งที่จะยกเป็นกรณีศึกษาสำหรับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กว่า 2 แสนนาย
เริ่มจากย้อนกลับมาดูตัวเองว่าทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชน อย่างสุดกำลังความสามารถจนได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านหรือยัง เป็นที่พึ่งให้ชาวบ้านยามเดือดร้อนได้หรือไม่
หากทำได้ดังว่าชาวบ้านคงแห่ออกมาปกป้องกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรม ดังเช่น พ.ต.อ.ธีทัต และ พ.ต.ท.คำสิงห์

ส่วนผู้บังคับบัญชาได้ดูแลและให้ความสำคัญกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้คนทำงานเพียงใด ที่สำคัญองค์กรตำรวจซึ่งมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ไม่ควรถูกแทรกแซงจากผู้มีอิทธิพลภายนอกใช่หรือไม่?!! 



+++

Let Poo be !
คอลัมน์ ในประเทศ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1653 หน้า 9


ชีวิตช่วงสงกรานต์ ใน จ.เชียงใหม่ 3 คืน 3 วัน ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ต้องถือว่า "ม่วนอก ม่วนใจ๋" อย่างมาก
ได้อยู่กลางวงล้อมญาติมิตร
ได้กลับเป็นน้องนุช น้องสาวคนสุดท้าย
ได้เป็นแม่ และใกล้ชิดกับ ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือ "น้องไปป์"
ได้ร่วมงานบุญ 4 วัด
ได้ขึ้นรถเล่นน้ำสงกรานต์แบบคนเมือง
ได้เอาคืน "นักข่าว" ด้วยการสาดน้ำใส่อย่างเมามัน
ได้ปลดปล่อยอารมณ์ ร่ำไห้ หัวเราะ กอดกันกลมระหว่าง พี่แดง กับ น้องปู กลางงานเลี้ยง "ม่วนใจ๋ ปี๋ใหม่เมือง" ที่บ้านพัก "สมชาย-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์" ภายในสนามกอล์ฟ กรีนวัลเลย์ แม่ริม

ในวันที่ที่ได้กลับไปมีชีวิตแบบคนสามัญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นธรรมชาติ ยกมือไม้ประกอบการเล่าเรื่องอย่างออกรส สลับกับการระเบิดหัวเราะลั่นกลางวงญาติ 
ภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ปรากฏบนหน้าสื่อ จึงออกมา สดใส-สดชื่น เป็นอย่างมาก 
มองในมุมจิตวิทยา นี่คือการปลดปล่อยอารมณ์ ที่เก็บกดคับข้องใจมานานจากความขัดแย้งแข่งขันทางการเมือง
ได้กลับไปมีอารมณ์สนุกๆ แบบเด็ก (child egostate) ซึ่งมักหาโอกาสแสดงออกได้ยาก โดยเฉพาะในบทบาท นายกรัฐมนตรี ที่ ต้องใช้วิถีสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่ (Adult egostate) ตลอดเวลา (อ่าน "สงกรานต์กับนายกรัฐมนตรี" ในคอลัมน์ มุมจิตวิทยา โดยกิติกร ที่หน้า 90 )
เป็นภาวะ Let Poo be อันแสนสั้นแต่มากด้วยความสุข และถือเป็นการชาร์ตไฟ เพื่อที่จะกลับมาลุยงานการเมือง อันหนักหน่วงต่อไป


ต้องยอมรับ ในทางการเมือง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องเผชิญปัญหาอย่างสาหัสสากรรจ์
การต้องโชว์ฝีมือในการบริหารประเทศ ทั้งเรื่องนโยบาย ที่รับปากประชาชนเอาไว้ ตลอดรวมทั้งการต้องเผชิญเหตุไม่คาดหวังต่างๆ นานา ทั้งมหาอุทกภัย การก่อการร้าย แผ่นดินไหว ฯลฯ ก็เป็นสิ่งที่หนักอึ้งอยู่แล้ว
ยังต้องมาเผชิญกับ กระแส "รัก" - กระแส "เกลียด" ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งอารมณ์ ที่แสนอ่อนไหวอีก
กระแส "รัก" ก็มากด้วยการเรียกร้องที่จะต้องตอบสนองความคาดหวัง ในทุกเรื่อง
กระแส "เกลียด" ก็มากด้วยการ "จับผิด" ตั้งแต่เรื่อง พุง การแต่งตัว การใช้โทรศัพท์ การพูดผิด
และในความที่เป็นผู้นำหญิง ก็ยังมีเรื่อง ชู้สาว เข้ามาร่วมผสมปนเปด้วย

เหล่านี้ ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินไปบนเส้นทางแห่งอำนาจ "ไม่ราบรื่น" และ "ซวดเซ" ในบางครั้ง
แต่เมื่อ อาสา เข้ามาแล้ว ก็คงจะปฏิเสธดอกไม้และก้อนอิฐ ที่ผู้คนหยิบยื่นให้ไม่ได้ 
เพียงแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจจะสามารถสรุปบทเรียนได้เร็ว นั่นคือ เมื่อรู้ว่าตัวเอง "ละอ่อนทางการเมือง" และไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้าที่จะมาเป็น "นักการเมือง" ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่ออกไปรับ "ก้อนอิฐ" โดยเฉพาะจากพรรคฝ่ายค้าน ที่พยายามทุกวิถีทาง ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เปิดหน้าออกมาแลกหมัด 
ด้วยฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ รู้ดีว่า การไร้ประสบการณ์ทางการเมืองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ คือเหยื่ออันโอชะ ที่พร้อมจะให้ขย้ำ
นี่จึงเป็นเหตุให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลบหลีกเวทีที่ฝ่ายค้านกวักมือเรียก ทุกเวที

เธอพร้อมและยินดี จะเปียกปอนไปทั้งตัว ในงานสงกรานต์เชียงใหม่
แต่ก็ไม่ยินดีจะเปียกปอน ในสงครามน้ำลาย ที่ฝ่ายค้านพร้อมจะชักธงรบในทุกนาที
แม้จะดูไม่กล้าหาญชาญชัย 
แต่ใครจะปฏิเสธว่า การชิ่งหนี ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อีกด้านหนึ่งไม่ใช่ "จุดแข็ง" ที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์หงุดหงิด 
ภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีหญิงที่ขยันขันแข็งทำงาน สุภาพ นอบน้อม ไม่ต่อล้อต่อเถียงทางการเมือง คือ สิ่งที่ตอกย้ำลงไปในความรู้สึกของชาวบ้านตลอดเวลา 
และกลายเป็นเกราะกำบัง ของละอ่อนการเมือง ที่พรรคประชาธิปัตย์ ยังหาทางเจาะเข้าไปทำลายไม่ได้



จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย ซึ่งมาป้วนเปี้ยนเล่นน้ำสงกรานต์ในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ลาว และกัมพูชา จะชมเชยน้องสาว แทบทุกเวทีที่ไปพูด
เช่น
"ขอให้มีกำลังใจ (นายกฯ ยิ่งลักษณ์) อาจจะยังใหม่ทางการเมือง แต่นายกฯ ไม่ได้ตกใจทางการเมืองเพราะโดนหลายเรื่องแม้กระทั่งการใช้โทรศัพท์ แค่ยกเครื่องมาปิดก็ยังโดน โดนทุกเรื่อง ยิ่งอยู่นานยิ่งดี ขอให้เข้มแข็งและเข้าใจว่าการเมืองมักจะเอาเรื่องไม่จริงมากล่าวหา ขอให้อดทนเข้าไว้ และนิ่งไว้ อย่างนี้ทำถูกแล้ว"
"ที่ผมสอนแบบนี้เพราะทำเองไม่ได้ แต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ทำได้ดีกว่าผมเยอะคือนิ่ง แต่ผมไม่นิ่ง ถามอะไรมาเผลอๆ ก็ตอบเลย เพราะเป็นคนที่สมองไวไม่พอ ยังปากไวด้วย แต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ สมองไว แต่ปากไม่ไว ก็ขอรักษาเอาไว้ให้ดีและแก้ปัญหาให้ประชาชนให้ได้"
"ไม่ต้องไปตอบโต้ดีที่สุด เขาทำได้ดีกว่าผม ถ้าให้ผมเป็นก็สู้ไม่ได้ในเรื่องนี้ ท่านนายกฯ เข้มแข็ง ไม่ไปตอบโต้กับใคร มีหน้าที่ทำงานจริงๆ ถูกต้องเลย เขาทำถูก ผมทำไม่ถูก อย่าไปเลียนแบบผม"
และแสดงความเชื่อมั่นว่า "นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะอยู่ครบเทอม"
ด้วยเหตุผลที่ว่า "โดยกระบวนการแล้วไม่มีอะไร เพราะรัฐบาลจะอยู่ได้ ไม่ได้อยู่ที่ระบบรัฐสภา เมื่อเราตอบสภาได้ก็ไม่มีปัญหา"

ขณะเดียวกัน ก็ค่อนข้างชัดเจน ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะใช้ "จุดแข็ง" ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นยุทธวิธีในการขับเคลื่อนทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่อง การปรองดอง ที่จะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ร้อนแรง และมีแรงเสียดทางสูง 
ซึ่งเรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้ใช้ ยุทธวิธีเดียวกับที่ใช้อย่างได้ผลมาแล้ว นั่นก็คือ ดึงตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกจากกระแสนี้ และปล่อยให้เป็นเรื่องของสภาและพรรคการเมือง 
โดย พ.ต.ท.ทักษิณ อธิบายว่า (การเดินหน้าแนวทางปรองดอง )ไม่เกี่ยวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาล 
"เพราะไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลเป็นเรื่องของรัฐสภา นายกฯ ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคแต่เป็น ส.ส. 1 เสียง วันนี้เป็นเรื่องของสภา ก็ต้องปล่อยสภา เพราะอยู่ใกล้ประชาชนและสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนออกมา"



นี่คือ เกมการเมือง" Let Poo be" ที่ให้นายกฯ ปู เป็นอย่างที่เป็น คือลอยตัวเหนือการเมือง อันเป็นจุดแข็ง ซึ่งใช้ได้เสมอมา
และเชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็คงเคร่งครัดและ "นิ่ง" กับแนวทางนี้ 
จะเป็นห่วงแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะ "นิ่ง" ได้แบบน้องสาวหรือไม่
ซึ่งก็คงยาก เพราะเจ้าตัวยอมรับเองว่าปากไว

แค่เพลง Let it be ที่ครวญในเขมร ถูกแปลด้วยสำนวน "คนเก็บกดที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ" ว่า "ช่างแม่มัน"
ก็ทำให้หลายคนเลิ่กลั่ก จะปรองดอง กันอีท่าไหนนี่



.