.
รายงานพิเศษ - ปฏิบัติการ "ป๋า" ภาค 2 สู้ "นารีพิฆาต" กับปากคำ "บิ๊กบัง" เรื่อง "ป๋า" และการเมืองแสนซับซ้อน ในมุม "ประยุทธ์"
คอลัมน์ โล่เงิน - เช็กขั้ว "รอง ผบก.-สว." นครบาล สาย "วินัย-บิ๊กอ๊อบ-พท." ผงาด!!
______________________________________________________________________________________________________
ยืดเวลาสภา ย่นระยะไกลบ้าน "ทักษิณ" บนบันได(นั่งร้าน)ปรองดอง
คอลัมน์ ในประเทศในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1651 หน้า 10
เป็นเวลาเกือบ 5 ปี ที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องระหกระเหินอยู่ต่างแดน นับแต่วันถูกโค่นอำนาจ 19 กันยายน 2549
บางจังหวะเขาเปิดเกม "รุก" คู่แค้นทางการเมืองอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
บางจังหวะตั้งหลัก "สงบนิ่ง" อยู่ในฐานที่มั่น
บางจังหวะทำที "ถอย" ด้วยการท่องคาถา "ปรองดอง"
แต่ไม่ว่าจะรุก-ตั้งหลัก-ถอยหลัง "พ.ต.ท.ทักษิณ"
ถูกตี "เป้าประสงค์" ว่าเป็นไปเพื่อกรุยทางกลับบ้าน หาวิธีทวงเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท ที่ถูกยึดไปคืนเข้า "คลังชินวัตร"
ทำให้ความพยายามที่ผ่านมาไม่เคยยังผล
กระทั่งกระแสปรองดองเริ่มก่อรูป ผ่านผลการศึกษาวิจัย "การสร้างความปรองดองแห่งชาติ" ที่สถาบันพระปกเกล้า เสนอต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี "พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" เป็นประธาน
โดยมี "ข้อเสนอระยะสั้น" ที่กระทบใจ "ผู้นำพเนจร" อย่างมิอาจปฏิเสธ 2 ส่วน คือ การล้มผลทางกฎหมายของคดีที่ตั้งเรื่องโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) และการออกกฎหมายนิรโทษกรรมความผิดทางการเมือง
"พ.ต.ท.ทักษิณ" ได้โฟนอินมาที่การประชุมพบปะสังสรรค์คนเสื้อแดงภาคอีสาน 20 จังหวัด ที่สำนักงานพรรคเพื่อไทย (พท.) โดยทิ้งวาทะเด็ดว่า "จะกลับบ้านอย่างเท่ๆ... แล้วจะบอกว่าจะกลับมาแบบไหนถึงจะเรียกว่าเท่"
จากนั้น ทุกกลไก-ทุกมือไม้ฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย (พท.) ก็ช่วยกันจัดลู่ปูทางให้ "นายใหญ่" แบบเร่งรีบและไม่อำพราง
จู่จู่ กมธ.ปรองดอง ชุด "พล.อ.สนธิ" ก็ขอสอดรายงาน "การสร้างความปรองดองแห่งชาติ" จำนวน 54 แผ่น เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่อยู่ "นอกสมัย" ที่จะพิจารณาได้
แต่ กมธ.ปรองดอง ได้รวบรัด ตัดตอน เดินหน้า "โยน" เรื่องเข้าสู่ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 27 มีนาคม เพื่อใช้ "เสียงข้างมาก" เร่งเกมปรองดองให้จบในสมัยสามัญนิติบัญญัติ
โดย "สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์" ประธานสภา สั่งบรรจุรายงานของ กมธ.ปรองดอง เข้าสู่การพิจารณาของ "สภาล่าง" ในวันที่ 4-5 เมษายน
ท่ามกลางการจับตาดูของหลายฝ่ายว่า "บิ๊กบัง" จะกลายสถานะจาก "ผู้นำปฏิวัติ" เป็น "ผู้นำปลดล็อก" ความผิดให้แก่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" หรือไม่ อย่างไร?
ทว่า ยังไม่ทันที่คนการเมืองในสภาจะช่วยกันปู "บันไดปรองดองขั้นที่ 1" ให้แล้วเสร็จ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นน้องเขย "พ.ต.ท.ทักษิณ" ได้เรียกประชุม "คีย์แมน พท." เพื่อวางแผนข้ามช็อต หาทางแปลง "งานวิจัย" ให้เป็น "บันไดขั้นที่ 2"
มีรายงานข่าวแจ้งว่า หลังสภารับทราบรายงานของ กมธ.ปรองดอง ตามขั้นตอนก็จะส่งเรื่องไปแจ้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นั่งเป็นหัวโต๊ะ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะตั้ง "คณะกรรมการอิสระ" หรือใช้กลไกที่มีอยู่แล้ว อย่าง "คณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอนธ.)" ศึกษาข้อเสนอเรื่องการสร้างความปรองดองของสถาบันพระปกเกล้าอย่างต่อเนื่อง
โดยโฟกัสที่แผนระยะสั้นคือ การล้มคดี คตส. และการออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อผลักดันแนวทางที่เป็น "รูปธรรม" ซึ่งเฉพาะในส่วนกฎหมายนิรโทษกรรม หรือกฎหมายปรองดอง ตั้งเป้าชงเข้าสภาในช่วงเดือนกันยายน
นั่นคือความพยายามในการ "ย่นระยะไกลบ้าน" ให้ "พ.ต.ท.ทักษิณ"
ขณะเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวคนละเรื่องเดียวกันจาก "รัฐบาลน้องสาว" เมื่อที่ประชุม ครม. วันที่ 29 มีนาคม ถอนร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ปิดสมัยประชุมรัฐสภา สมัยสามัญนิติบัญญัติ ซึ่งเดิมกำหนดไว้ในวันที่ 18 เมษายนนี้ ออกจากการพิจารณา
โดยให้ "ยืดเวลาในสภา" แบบนอนสต๊อป-ไร้กำหนดปิดตายตัว ด้วยข้ออ้างที่ว่ามีร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภาจำนวนมาก
ทว่า "กฎหมายฉบับเดียวที่สำคัญ" คือ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ.... ที่มี "สามารถ แก้วมีชัย" ส.ส.เชียงราย พท. เป็นประธาน ซึ่งจ่อนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมร่วมรัฐสภา วาระ 2 ในวันที่ 10-11 เมษายน
จากนั้นจะต้องทิ้งไว้ 15 วัน ตามรัฐธรรมนูญกำหนด ก่อนลงมติวาระที่ 3 ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 26 เมษายน
นี่คือเหตุผลสำคัญในการ "ยืดอายุสภา" เพื่อให้กระบวนการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 3 ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่เกิดขึ้นได้ในช่วงปิดสมัยประชุมสภา
ถามว่า การโละ-รื้อรัฐธรรมนูญ 2550 เกี่ยวอะไรกับ "พ.ต.ท.ทักษิณ"
คำตอบคือ หากไม่มี "มาตรา 309" ที่รับรองให้ทุกการกระทำหลังเหตุปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 เป็นไปโดยชอบ บรรดาผู้ต้องหา-คนหนีคดี ก็จะมีช่องทางพ้นผิดเพิ่ม
ตรงนี้อาจเป็น "เกราะอีกชั้น-บันไดอีกขั้น" ที่ปูทางให้ "พ.ต.ท.ทักษิณ" กลับบ้านอย่างเท่ตามที่ลั่นวาจาไว้
ยังไม่รวมความพยายามของ "นายช่างดาวกระจาย" อื่นๆ อีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศล่าชื่อ ส.ส.อีสาน พท. 20 คน ดันร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ซึ่งมีเนื้อหา 6 มาตรา เข้าสภา
หรือกรณี "สุชาติ ลายน้ำเงิน" รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี" และ "พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี" ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี โยนไอเดียตราพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) นิรโทษกรรม ด้วยการอ้างว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นฉบับเดียวกับ "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เคยใช้นิรโทษกรรมให้กับ "จอมพลถนอม กิตติขจร"
เป็นที่น่าสังเกตว่า "บันไดปรองดอง" ที่พาด-ผ่านสังคม เพื่อพา "พ.ต.ท.ทักษิณ" กลับบ้าน เน้นดำเนินการในลักษณะ "ยืมมือ" บุคคลที่ 3 มาช่วยจัดลู่ปูทาง
ไม่เช่นนั้น ตำแหน่งหัวโต๊ะ กมธ.ปรองดอง คงไม่ปล่อยให้ "ส.ส.พรรคมาตุภูมิ" เข้ายึดครอง ซ้ำยังโยนงานให้สถาบันพระปกเกล้า เป็นผู้ศึกษาและเสนอแนวทางสร้างความปรองดอง
หรือพอรัฐบาลต้องพิจารณารายงาน กมธ.ปรองดอง ก็เล็งโยนเรื่องให้คณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ หรือ คอนธ. รับลูกต่อ
ไม่ต่างจาก กมธ. แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เร่งแก้ไขมาตรา 291 เพื่อโยนเรื่องให้ "ส.ส.ร.3" ไปดำเนินการยกร่าง "รัฐธรรมนูญฉบับใหม่"
ทั้งนี้ เพื่อลดแรงปะทะ-แรงเสียดทานที่จะพุ่งใส่รัฐบาลโดยตรง
อย่าลืมว่า ชื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ทรงอานุภาพทั้งด้านสร้างสรรค์ และทำลายล้าง
เพียงแค่ "ขยับ" ก็เกิดปฏิกิริยาแตกต่างหลากหลาย
เมื่อครั้งนี้ถึงขั้นประกาศ "ขอกลับบ้านอย่างเท่" ย่อมต้องมีบันไดที่มั่นคงแข็งแรงเตรียมการรองรับ เพราะถ้าก้าวพลาด นั่นอาจหมายถึงชีวิต
แม้ สถาบันพระปกเกล้า ในฐานะ "เจ้าของวิจัยปรองดอง" จะขู่ถอนรายงานทันที หากเห็นว่าถูกใช้เป็น "เครื่องมือการเมือง"
เมื่อสื่อตั้งคำถามต่อ "บวรศักดิ์ อุวรรณโณ" เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า หลังการประชุมสภาสถาบันพระปกเกล้า เมื่อวันที่ 3 เมษายน ว่า หาก พท. อ้างผลวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า แล้วเร่งรีบออก พ.ร.บ.ปรองดอง ทางสถาบันรับได้หรือไม่?
คำตอบของเขาคือ "ถ้าอย่างนั้นก็คือหมดความชอบธรรม"
ถึงวันนี้ "พ.ต.ท.ทักษิณ" อาจกำลัง "สงบนิ่ง" รอ "นับถอยหลัง" กลับมาตุภูมิ หลังเปิดเกม "รุก" ปรองดอง
เขาไม่จำเป็นต้องก้าวขึ้น "บันไดปรองดอง" เป็นคนแรก เพราะเมื่อมีการวางโครง-สร้างขึ้นแล้ว อย่างไรเสียก็ต้องได้ใช้ในสักวันข้างหน้า
สิ่งสำคัญคือ "บันไดปรองดอง" ที่ทุกฝ่ายช่วยกันสร้างขึ้นด้วยเจตนารมณ์ต่างกัน จะกลายเป็น "บันไดนั่งร้าน" ที่ก่อขึ้นเพื่อกรุยทางให้ "ใคร" บางคนกลับบ้าน ก่อนรอวันถูกรื้อ หรือโดนปล่อยร้างหลังจากนั้นหรือไม่
นี่ต่างหากคือเรื่องต้องพิจารณา!!!
++
คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ โดย จรัญ พงษ์จีน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1651 หน้า 8
เพราะการก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทะลุเลยมาปฏิบัติการ "คาร์บอมบ์กลางเมืองหาดใหญ่" ความรุนแรงที่ประชาชนไทยรู้สึกชาชินจึงพลิกกับมาชิงพื้นที่ข่าวใหญ่ในสื่อทุกแขนงอีกครั้งอย่างพร้อมเพรียง และชวนให้ตื่นตระหนก
ไม่ใช่แค่เกิดคาร์บอมบ์วันเดียวกันทั้งกลางเมืองยะลา ที่ทำให้ผู้เสียชีวิต 11 ราย บาดเจ็บ 127 ราย และที่ "ศูนย์การค้าลีการ์เด้น" กลางเมืองหาดใหญ่ที่ปลิดชีพทันที 3 ศพ และบาดเจ็บอีก 416 คน เท่านั้นที่ชวนให้หวาดผวา
แต่เป็นครั้งแรกที่ความรุนแรงอย่างร้ายกาจลามเข้ามาถึงเมืองศูนย์กลางสำคัญของภาคใต้อย่าง "หาดใหญ่" ซึ่งทุกคน ทุกฝ่ายต่างประเมินไปในทางเดียวกันว่าจะเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศมหาศาล โดยเฉพาะกับการท่องเที่ยวที่จะส่งผลกระทบเลยไปถึง "ภูเก็ต" อันเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญทำรายได้สูงให้กับประเทศ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้อาจจะลุกลามเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ของประเทศขึ้นมาได้
เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ความเคลื่อนไหวจึงไม่หยุดอยู่แค่การแก้ปัญหาให้ประเทศเท่านั้น
การใช้วิกฤตเป็นเกมการเมืองจึงเกิดขึ้น
"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เดินทางไปถึงพื้นที่แทบทันทีที่เกิดเหตุ แถมใส่เสื้อยืดสกรีนข้อความเข้ากับสถานการณ์ พร้อมเรียกร้องให้ "นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เข้าใจในปัญหาความรุนแรง
ดังนั้น แม้จะมีกำหนดการอยู่เต็มเหยียด และตัดสินใจในเบื้องต้นที่จะปล่อยให้การเยียวยาในพื้นที่เป็นของ "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" แต่ที่สุดแล้วเมื่อเรื่องถูกขยายผลกลายเป็นเกมการเมือง
"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ก็ต้องเพิ่มคิว ลงพื้นที่หาดใหญ่แทรกคิวเข้ามาอย่างฉุกละหุก
ไม่ใช่แค่ทีมงานเท่านั้นที่แทบตั้งตัวไม่ทัน ฝ่ายที่ต้องการถล่มยังพลิกตัวกันให้วุ่น
แก้ปัญหาไปได้เปลาะหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่า "เกม" ไม่จบได้เพียงแค่การลงพื้นที่เสียแล้ว
เมื่อ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ในฐานะผู้บัญชาหารทหารบก ออกมาทุบโต๊ะ ทำนองว่าเหตุของการก่อวินาศกรรมคาร์บอมบ์ เกิดจาก "กลุ่มผู้ก่อการร้ายใหม่" ไม่พอใจที่คนของรัฐบาลไปเจรจากับ "กลุ่มเก่า" จึงแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นว่า "กลุ่มไหนคือผู้ที่รัฐบาลไทยควรจะให้ความสำคัญ"
เกมใหม่เกิดขึ้นแล้ว แถม "พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา" ยังรับลูก ทำนองออกมาเตือนให้ระวังเรื่องของการเจรจา
ควรจะเป็นเรื่องที่หารือกับฝ่ายทหาร
คล้ายกับว่าการแก้ปัญหาที่ผิดพลาดที่ผ่านมา ฝ่ายทหารไม่ได้รับรู้ด้วย เป็นการทำโดยพลการของฝ่ายพลเรือนที่มีรัฐบาลเป็นผู้บังคับบัญชา
ประเด็นนี้ถูกล้วงลึกไปถึงบทบาทของ "ศอ.บต." ที่มี "พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง" ผอ.ศอ.บต. คนสนิทของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ทำนองว่าเป็นการวางแผนปฏิบัติการไปเจรจากับ "ผู้ก่อการร้ายกลุ่มใหม่" ก่อความไม่พอใจให้กับ "กลุ่มเก่า"
เนื้อหาของข่าวที่ปล่อยออกมาโยงไปถึงการเดินทางไปเยือนมาเลเซียของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ว่าไปรับแนวทางนี้มาสั่งการให้ "พ.ต.อ.ทวี" ดำเนินการ
ข่าวยังเลยยาวไปถึงปล่อยออกมาว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เป็นผู้เจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับผู้ก่อการร้ายกลุ่มเก่า
กลายเป็นเรื่องความผิดพลาดทางการบริหาร ที่ไม่ปรึกษาฝ่ายกองทัพให้รอบคอบ
การเมืองเล่นจับเอาความรุนแรงใน 3 จังหวัดมาเป็นเกมทำลายล้างนายกรัฐมนตรี และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว
ท่ามกลางความแตกแยกของคนในชาติ
แม้เรื่องนี้จะมีความพยายามปฏิเสธ ทั้งจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เอง และ นายนพดล ปัทมะ ว่าไม่มีมูลความจริง ทำนองว่า
เจ้าหน้าที่รัฐจะไปคุยกับโจรได้อย่างไร เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย"
แต่ฝ่ายที่ยืนอยู่คนละข้างไม่มีท่าทีที่จะรับฟัง มีความพยายามที่จะหยิบฉวยเอาเรื่องนี้ไปขยายความอย่างเต็มที่
ล่าสุด ฝ่ายค้านเสนอให้เปิดสภาเพื่อพูดคุยกันเรื่องสถานการณ์ใต้
พล.อ.ยุทธศักดิ์ มีท่าทีที่เห็นดีเห็นงามด้วย ด้วยความเชื่อว่าจะได้ข้อมูลมาช่วยแก้ปัญหา
แต่หากเกมเดินไปตามที่พรรคประชาธิปัตย์กำหนด
เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นก็คือ ทั้ง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร-ทักษิณ ชินวัตร" และ "ทวี สอดส่อง" จะถูกต้อนเข้ามุม โดยที่กองทัพและกระทรวงกลาโหมซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง ถูกกันออกมาให้ยืนห่างจากปัญหา
ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็หมดหนทางที่จะเยียวยา
จะพลิกมาเป็นประเด็นเล่นงาน "รัฐบาลยิ่งลักษณ์"
ว่า "ไร้เดียงสากับปัญหานี้ จนไม่น่าวางใจให้บริหารประเทศ"
+++
ปฏิบัติการ "ป๋า" ภาค 2 สู้ "นารีพิฆาต" กับปากคำ "บิ๊กบัง" เรื่อง "ป๋า" และการเมืองแสนซับซ้อน ในมุม "ประยุทธ์"
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1651 หน้า 15
ความอ่อนนุ่มแห่งอิสตรีของนายกรัฐมนตรีหญิง หรือแผนนารีพิฆาต ดูจะสยบความอหังการแข็งกร้าวของกองทัพได้อย่างชะงัด
แม้แต่ที่ว่า แข็งโป๊กอย่าง บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ก็ยังอ่อนระทวย กับความสวยสง่า อ่อนโยนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ว่าเธอจะเป็นน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ตาม
อีกทั้งฝ่าย นายกฯ ปู เอง ก็พยายามเดินเข้าหาผู้นำกองทัพ เพื่อเพิ่มความใกล้ชิดสนิทสนม เพื่อดำเนินกลยุทธ์ "การแยกกองทัพออกจากอำมาตย์" เพื่อตัดเขี้ยวเล็บของฝ่ายศัตรู
จะเห็นได้ว่า การแต่งตั้งโยกย้ายทหารกลางปี ทั้ง 127 นายพล ที่คลอดออกมาเมื่อ 27 มีนาคม นั้น สะท้อนถึงการไม่แทรกแซงก้าวก่ายกองทัพ ปล่อยให้แต่ละเหล่าทัพจัดวางตัวกันเอง ส่วนฝ่ายการเมือง จะตั้งเพื่อนฝูงพี่น้องเป็นนายพล ก็ทำไป
ทั้งการตั้ง เสธ.หมู พ.อ.สุเมธ พรหมตรุษ เพื่อนซี้ทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามี เป็นพลตรี แม้จะเป็นแค่ ตท.28 แต่ก็ได้ Fast Track และ พ.อ.พฤษภะ น้องชายบิ๊กโอ๋เล็ก พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต แกนนำ ตท.10 หัวหน้าฝ่าย เสธ.รมว.กลาโหม รวมทั้งนายทหารในสาย เสธ.ไอ๊ซ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต แกนนำ ตท.10 เพื่อนซี้ พล.อ.พฤณท์ ด้วย
และที่สะท้อนความปรองดอง คือการที่บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ยอมตั้งเด็กของ บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม เป็นนายพลใหม่หลายคน โดยเฉพาะ น.อ.สุรจิต สุวรรณทัต น้องชาย
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตะลุยแดดเปรี้ยง ลมแรง หรือแม้แต่ฝุ่นตลบ ไปชมการฝึกภาคสนามของกองทัพ อย่างถ้วนหน้า เพื่อเป็นการให้ความสำคัญกับกองทัพ และต้องสื่อนัยให้กองทัพทำหน้าที่ที่แท้จริงของทหารในการปกป้องอธิปไตยของชาติ
ตั้งแต่การลงเรือจักรีนฤเบศร ไปดูการฝึกปราบปรามโจรสลัด การปฏิบัติการทางทะเลกลางอ่าวไทย เมื่อ 2 เมษายน ต่อให้เธอต้องบินไปตรวจสถานการณ์ที่หาดใหญ่ หลังเกิดเหตุคาร์บอมบ์ แม้จะมาล่าช้าไปหลายชั่วโมง จนบิ๊กๆ ในกองทัพและทหารเรือทั้งกองทัพต้องเสียเวลารอจนหมดไปวันหนึ่งเปล่าๆ แต่ก็เธอก็ยังมา
โดยมี บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ตามประกบไปด้วยทุกงานที่เกี่ยวกับกองทัพและความมั่นคง
งานนี้ ผบ.เหล่าทัพ มากันพร้อมหน้า ทั้ง พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม และ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. ที่แต่งเครื่องแบบทหารเรือสีขาวสุดเท่มา ทำให้บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. สุดปลื้ม บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ก็ยังมาแม้จะในชุดทหารอากาศ และไม่ได้มีบทบาทมากนัก แต่ก็มาร่วมเพื่อแสดงความเป็นเอกภาพของ ผบ.เหล่าทัพ
ก็มีแต่บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่ตั้งใจไม่มาตั้งแต่แรก แม้จะไม่มีเหตุคาร์บอมบ์ที่หาดใหญ่ ที่ทำให้เขาต้องลงพื้นที่ เขาก็ให้บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง ผบ.ทบ. มาแทน เพราะเขาคือ ผบ.ทบ. ที่ไม่ต้องสนใจว่า ผบ.เหล่าทัพอื่นจะเอายังไง แต่ ผบ.ทบ. จะเป็นหลัก
แต่ทว่า งานของ ทบ. การฝึกร่วมไทย-สิงคโปร์ "คชสีห์ 2012" ที่สระแก้ว 5 เมษายน ที่ ทบ. ต้องการโชว์สมรรถนะรถเกราะยูเครน ที่ซื้อมา 4 ปี เพิ่งได้มาไม่กี่คัน เป็นครั้งแรก ที่เชิญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาร่วมชมด้วยนั้น ผบ.เหล่าทัพ ก็มากันครบ
ส่วนของ ทอ. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ให้ความสำคัญ หลังจากที่เคยใส่ชุดนักบินไปชมการปฏิบัติการทางอากาศ ด้วยกระสุนจริงที่ลพบุรีมาแล้ว ก็จะไปเปิดพิพิธภัณฑ์ 100 ปีการบินบุพการี พร้อมชมการแสดงการบินที่ดอนเมือง 2 มิถุนายน
ไม่แค่นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังโปรยยาหอมเหมือนยุคพี่ชาย ด้วยการให้ทุกเหล่าทัพเสนอแผนการพัฒนากองทัพ ว่าต้องการอาวุธยุทโธปกรณ์ใด หรือที่เรียกว่า เสนอเป็นแพ็กเกจ ที่เป็นจริงได้ขึ้นมา ไม่ใช่เสนอมา 9 แสนล้าน แบบในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ก็ทำให้กองทัพมีความหวัง
โดยเฉพาะกองทัพเรือ ที่แม้จะไม่ได้ซื้อเรือดำน้ำเยอรมันมือสอง แน่แล้ว เพราะมีทั้งสิ่งที่มองไม่เห็น และมือที่มองไม่เห็น สกัดไว้ ทั้งๆ ที่เยอรมนี พร้อมยืดเวลาจาก 29 กุมภาพันธ์ ให้ถึงเดือนเมษายนนี้ก็ตาม ที่คาดว่าจะมีการเสนอโครงการอื่นทดแทน เช่น เรือฟรีเกตสมรรถนะสูง 4 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ 2 ลำ รวมทั้งเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง OPV อีก 3 ลำ
ส่วน ทบ. นั้นก็เล็งที่จะขอซื้อเพิ่มรถถัง T-92 Oplot จากยูเครน อีก 3 กองพัน จากที่ซื้อไปแล้ว 1 กองพัน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปดูด้วยตนเองที่ยูเครนมาแล้ว พร้อมการันตีในคุณภาพ เช่นเดียวกับที่เชิญนายกรัฐมนตรีไปชมการฝึกคชสีห์ ก็เพื่อโชว์ศักยภาพรถเกราะ BTR จากยูเครน ด้วยนั่นเอง
แม้ความเป็นผู้หญิง จะสยบความแข็งกร้าวของกองทัพได้ แต่ดูเหมือนว่า เริ่มมีการจับตาว่า นารีจะไม่อาจพิฆาต หรือไม่อาจสยบไฟในใจของ รัฐบุรุษอย่างป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ได้ แต่แค่ทำให้ป๋าต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เท่านั้น
ต่อให้ พล.อ.เปรม ยิ้มแย้มแจ่มใส ชื่นมื่นกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งในงานเลี้ยงวันกองทัพบก หรืองานรักเมืองไทย ที่ทำเนียบรัฐบาล จนทำให้มองภาพว่า มีการจูบปากคืนดีกันแล้ว ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น
บรรดาคนเสื้อเหลือง สลิ่ม และลูกป๋า ที่เคยใจหาย เพราะคิดว่าป๋าเปรมจะเปลี่ยนใจ เปลี่ยนจุดยืนหรือยอมแพ้ ที่ยอมไปร่วมงานของรัฐบาล ร่วมงานกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะกลัวจะขาด "หัวขบวน" ในการต่อสู้กับระบอบทักษิณ ก็กลับมาใจชื้น หลังจากที่ป๋าเปรมบอกให้เอา เพลง "ชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์" ที่เคยแต่งไว้เมื่อหลายปีก่อน กลับมาเปิดฟัง
โดยเฉพาะเมื่อไปตอกย้ำความเป็น "ป๋าคนเดิม" ในตอนท้ายของการปาฐกถาพิเศษ งาน 12 ปี ผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่องค์การสหประชาชาติ เมื่อ 3 เมษายน แม้จะเป็นการงัดมุขเก่า ประโยคเดิมๆ คำพูดเดิมๆ ที่ป๋าพูดมาตลอด ตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ 19 กันยายน เรื่อยมา แล้วก็เงียบไปพักใหญ่ก็ตาม
"ผมขอพูดนอกเรื่องหน่อย ผมเชื่อว่าชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครมีสิทธิยึดถือเป็นของตนเองได้ พระสยามเทวาธิราชมีจริง พระสยามเทวาธิราชจะคุ้มครองคนดี และสาปแช่งคนไม่ดี คนทรยศต่อชาติบ้านเมืองให้พินาศไป ใครไม่เชื่อ แต่ผมเชื่อ" ป๋าเปรม กล่าวด้วยใบหน้านิ่งเยือกเย็น
งานนี้ ป๋าเปรม ตั้งใจที่จะมาพูด "ผมอายุมากแล้ว แต่แม้จะมีคนบอกว่า ผมไม่มีไฟแล้ว แต่ผมจะลองดูสักครั้งว่า ผมยังไหวไหม ผมจึงรับมาพูดงานนี้ และที่สำคัญ เพราะเน้นเรื่องคุณธรรม-จริยธรรม ที่ต้องคู่กัน"
พล.อ.เปรม ตั้งใจแม้แต่การเลือกที่จะใส่เสื้อพระราชทานแขนยาวผ้าไหมสีเทาควันบุหรี่ และนั่งร่างคำพูดของตนเอง ที่เน้นเรื่อง "การตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน" ทั้ง 9 ข้อ และ "การเป็นคนดีแห่งแผ่นดิน" ที่เน้นความจงรักภักดี การเป็นคนดี และรักษาความดีไว้
ที่น่าสังเกตคือ พล.อ.เปรม เปรยถึงคนดีบางคนที่เคยเป็นคนดี และเป็นที่ศรัทธา แต่ที่สุดก็น่าเสียดายที่ไม่สามารถรักษาความดีนั้นไว้ได้ "การทำความดีแม้จะยาก แต่การรักษาความดีจะยากมากกว่า"
ที่สำคัญตอนหนึ่ง ที่ป๋าเปรมเอ่ยถึงคุณสมบัติคนดีหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือไม่รังแกผู้หญิง ที่ป๋าเอ่ยแทรกด้วยใบหน้ายิ้มอย่างเยือกเย็นว่า "ใครเป็นผู้หญิงนี่โชคดีนะ"
ที่พลันทำให้ใครๆ คิดไปได้ในหลายแง่ แม้แต่การที่ พล.อ.เปรม ต้องทำดี เอ็นดู ให้เกียรติ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา ก็เพราะคุณสมบัติการเป็นคนดีข้อนี้ของป๋า
"คนดีต้องมีความเมตตาด้วย" ป๋า เปรย
ที่น่าสังเกตคือ ป๋าเปรม รำลึกถึงเมื่อครั้งที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อ 23 ปีที่แล้ว บ่อยครั้ง "เมื่อตอนที่ผมอยู่ตึกไทยคู่ฟ้า" วันที่เขาคิดม็อตโต้ "เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน" แต่เพิ่งเปิดเผยต่อสาธารณชนเมื่อ 13 ปีที่แล้ว "เป็นคำพูดที่ผมชอบมาก แต่คนชอบไม่ค่อยมีมาก" หรือแม้แต่วันที่เขาคิดเรื่องการแก้ปัญหา "ยากจน" ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย
ป๋าพยายามขายฝันของตนเองที่อยากจะให้มีคนดีในบ้านเมืองมากมายจนเดินเบียดเสียดยัดเยียดกัน ให้คนไม่ดีไม่มีที่อยู่
"คนดีคือคนที่ไม่ทำความชั่ว ไม่ให้แผ่นดินมีปัญหา ไม่ทำให้ใครในแผ่นดินเดือดร้อน" พล.อ.เปรม เน้น
ลูกป๋า สะกิดให้รอดูบทบาทของป๋าเปรม นับจากนี้ด้วยว่า ป๋าเปรม จะพยายามแสดงให้เห็นว่า ยังเป็นป๋าคนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างที่วิจารณ์กัน หลังจากที่ยอมไปร่วมงานในทำเนียบรัฐบาลในยุครัฐบาลเพื่อไทย และในยุคที่มีนายกรัฐมนตรี นามสกุล ชินวัตร
จึงไม่แปลกที่ป๋าเปรม จะไม่ตอบคำถามเรื่องข้อเสนอปรองดองของ เสธ.หนั่น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ให้ พล.อ.เปรม คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
หลังสิ้นเสียงป๋า ที่ยูเอ็น...ทำให้ฝ่ายรัฐบาลต้องหันมาพินิจข้อวิจารณ์ที่ว่า ที่ผ่านมาเป็นแค่ "ดราม่า" กันมากขึ้น และเลิกคิดเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับประเทศภายในปีนี้
"ใครจะยึดครองชาติบ้านเมือง ไม่มีใครคิดแบบนี้"
"ป๋าเอายังไงกันแน่"
"หนังม้วนนี้ ต้องดูกันยาวๆ ดูให้จบม้วนจริง" เสียงเปรยจากบรรดาเพื่อนทักษิณ ในกลาโหม
ท่ามกลางการจับตามองว่า เทศกาลสงกรานต์ปีใหม่ไทยนี้ที่ขุนทหารจะเข้าบ้านสี่เสาฯ นั้น พล.อ.อ.สุกำพล รมว.กลาโหม จะนำแถว ผบ.เหล่าทัพ หรือไม่
ที่สำคัญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเข้ารดน้ำขอพรป๋าที่จะให้ผ่านพระราชพิธีพระศพไปก่อน แล้วเปิดบ้าน 18 เมษายน ด้วยหรือไม่
ป๋าเปรม ถือว่ากำลังฮ็อต หลังจากที่ พล.ต.สนั่น อดีตลูกป๋า กับ มาร์ค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถามเบื้องหลังปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ต่อ บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ต่อบทบาทป๋า เบื้องหลังปฏิวัติ
แต่หากพลิกดู "ลับ ลวง พราง" ภาคแรก ปฏิวัติปราสาททราย จะพบว่า พล.อ.สนธิ ยอมรับว่า ก่อนการปฏิวัติได้เข้าพบหารือกับ พล.อ.เปรม หลายครั้ง แต่ไม่ได้พูดชัดเจนว่า หารือเรื่องการปฏิวัติหรือไม่
"ก็ต้องไปเล่าสถานการณ์ต่างๆ ให้ท่านฟัง" พล.อ.สนธิ กล่าว
"ปกติผมก็ไปหาท่านอาทิตย์ละครั้งอยู่แล้ว ไปเล่าเรื่องต่างๆ ให้ท่านฟัง" พล.อ.สนธิ ย้ำ
แต่เรื่องที่ท่านพาคณะปฏิวัติเข้าเฝ้าฯ นั้น "เพราะท่านอยู่ในตำแหน่งนั้น เพียงแต่เพราะท่านเป็นคนตรงกลาง ทุกคนก็เข้าไปหา ท่านก็รับหมด ใครคุยท่านก็ฟังหมด วันที่ปฏิวัติ ท่านอยู่ในวังอยู่แล้ว ก็ดูว่าท่านเกี่ยวข้อง วันนั้นท่านอยู่ในวังมีงานอยู่แล้ว ตอนนั้นที่เราต้องรีบเข้าเฝ้าฯ หรือเราต้องขอเข้าเฝ้าฯ หรือให้เข้าเฝ้าฯ จำไม่ได้แล้ว เพราะถ้าไม่รีบเข้าเฝ้าฯ ประชาชนจะสับสน" พล.อ.สนธิ กล่าวใน 'ลับลวงพราง'
นั่นคือ สิ่งที่ พล.อ.เปรม ต้องการให้ พล.อ.สนธิ บอกแก่สาธารณะ จึงให้ บิ๊กหมง พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อดีต ผบ.สส. ลูกป๋าคนโปรด สื่อผ่านไปทาง พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์ ซึ่งเป็นเพื่อน ตท.6 ของ พล.อ.สนธิ
เพราะในเวลานั้น ฝ่ายต่อต้านปฏิวัติ โดยเฉพาะ บิ๊กต๋อย พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผบ.สส. ในเวลานั้น ซึ่งก็ถือเป็นลูกป๋า ก็พยายามที่จะเข้าหาป๋า และโทรศัพท์หาป๋า แต่ที่สุด ป๋าก็ต้องเลือกข้างคณะปฏิวัติ แม้แต่การเข้าวัง ที่ดูเหมือนจะไปร่วมเป็นคณะ คมช. แต่ก็หวังจะไปหาป๋าเปรม แต่ก็ถูกกีดกันไม่ให้พบป๋า และไม่ให้เข้าเฝ้าฯ ด้วยนั่นเอง
เบื้องหน้าเบื้องหลังรัฐประหารครั้งนี้ ยังอยู่ในหลุมดำและความมืด จนคนที่เกี่ยวข้อง ต้องลั่นประโยคคล้ายๆ กันที่ว่า "ให้มันตายไปกับตัวผม"
แต่ก็มีบิ๊กบางคนแกนนำปฏิวัติที่พูดกับฝ่ายตรงข้ามมาตลอดว่า "รู้มั้ยว่าคุณสู้อยู่กับใคร ไม่มีวันชนะหรอก" ที่ทำให้ผู้คนคิดกันไปต่างๆ นานา
แต่ทว่า การปฏิวัติครั้งนั้น ส่งผลต่อการเมืองไทยอย่างรุนแรง และส่งผลสะเทือนต่อการเป็น ผบ.ทบ. ของ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย แม้ว่าวันนั้น เขาจะเป็นแค่รองแม่ทัพภาคที่ 1 ที่ยังไม่โดดเด่น แต่ก็เป็นน้องรักในสายบูรพาพยัคฆ์ของบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 ในเวลานั้น
"การปฏิวัติครั้งนั้น ผมไม่เกี่ยว แต่ผมรู้ว่า เป็นการทำไปเพื่อปกป้องสถาบัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
สถานการณ์ในวันนี้ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด และรู้ดีว่า ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาหรือจังหวะที่ทหารจะเข้าไปเกี่ยวข้อง ปล่อยให้เป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง โดยเขามักจะพยายามย้ำเสมอว่า "กองทัพ" หรือ ตัวเขาเอง "ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง"
"การเมืองทุกวันนี้ซับซ้อนมากขึ้น หน้าพันกันไปหมด ไม่รู้ใครเป็นใคร ผมเองไม่ได้อยากจะนำกองทัพเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย ผมยืนยัน แต่ที่ผ่านมาที่ทหารเข้าไป ก็เพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
"แล้วก็ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นอีก" บิ๊กตู่ ย้ำ
แต่ทว่า สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น แล้วสิ่งที่พูดๆ ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ใจคิด เพราะทุกวันนี้ ไม่ว่าการเมือง หรือการทหาร ไม่ว่านักการเมือง หรือทหาร ก็ลึกลับซับซ้อน ลับลวงพราง หลายชั้นขั้นเทพ ด้วยกันทั้งสิ้น
เพราะที่นี่ ประเทศไทย...
+++
เช็กขั้ว "รอง ผบก.-สว." นครบาล สาย "วินัย-บิ๊กอ๊อบ-พท." ผงาด!!
คอลัมน์ โล่เงิน ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1651 หน้า 99
พลันที่ปรากฏรายชื่อโผแต่งตั้งโยกย้ายรองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) ถึง สารวัตร (สว.) ในหน่วยสำคัญอย่างกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ภายใต้การจัดทัพของ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. ช่วงใกล้สะเด็ดน้ำ ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึง โดยพบว่ารายชื่อนายตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งโยกย้าย ต่างมีที่มาที่ไปแบบพิเศษ
ที่น่าจับตาคือ มีนายตำรวจระดับ รอง ผบก. 9 นาย และผู้กำกับการ (ผกก.) 24 นาย กระเด็นหลุดเก้าอี้ออกนอกหน่วยตามผลการประเมินของผู้บังคับบัญชา หากแต่มีกระแสออกมาเป็นระยะว่าการแต่งตั้งของ บช.น. สะดุดกึกในบางช่วง เพราะกว่าจะหาที่ลงนอกหน่วยได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ
เหตุมาจาก บช. อื่น "ปฏิเสธรับตัว" เพราะไปเบียดบังโควต้า
อย่างไรก็ตาม เป็นอีกครั้งที่บัญชีการจัดทัพ คล้ายการสลับขั้วอำนาจ รายชื่อผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งที่ดีขึ้น เก้าอี้ทำเลทอง "เกรดเอ" ล้วนเป็นสายนายใหญ่ สายพรรคเพื่อไทย สาย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) รวมถึงสาย พล.ต.ท.วินัย เอง
เริ่มจากสาย ผบช.น. พล.ต.ท.วินัย ที่มีทั้งนายตำรวจคนใกล้ชิด และเพื่อนร่วมรุ่น นักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.32) ได้ดีหลายคน
โฟกัสเก้าอี้หลักๆ อาทิ พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผกก.สายตรวจ (191) กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (บก.สปพ.) นรต.รุ่น 45 ที่เข้าถึงตัวและรับคำสั่งตรงจาก "ผบช.น." โยกไปเป็น ผู้กำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (ผกก.ดส.)
ซึ่ง พ.ต.อ.วิวัฒน์ หรือผู้กำกับ "ตุ้ม" เป็นอีกคนที่ ผบช.น. จะสู้ให้เต็มที่เพื่อยึดเก้าอี้เดิมไว้ แต่ในที่สุดก็ทานฤทธิ์ของ พ.ต.อ.ทิวา โสภาเจริญ นรต.รุ่น 46 นายเวร พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ไม่ไหว ประกอบกับถูกตั้งคำถามที่มาของตำแหน่งเกรดเอในอดีต จนสุดจะต้านทาน โยกไปนั่งเก้าอี้ ผกก.ดส.
แต่เก้าอี้ "ผกก.ดส." ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ยังจัดอยู่ในเก้าอี้เกรดเอ ที่สำคัญเป็นหน่วยขึ้นตรงกับ บช.น. ไม่ต้องมีผู้บังคับการมาบัญชาอีกชั้น หรือจะเรียกว่าสายตรงก็ว่าได้
พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ พลคี ผกก.2 บก.สส.ภ.3 หรือชื่อเดิม "ชัดชัย เลี่ยมสงวน" ลูกน้องคนสนิท ผบช.น. สมัยอยู่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ได้ตำแหน่งสำคัญเป็น ผกก.สส.บก.น.2 เช่นเดียวกับ ผกก.กองสืบฯ อีกหลายกองบังคับการ (บก.) ที่ ผบช.น. เลือกใช้คนสนิท ประกอบด้วย
พ.ต.อ.อุทัย กวินเดชาธร ผกก.ฝอ.10 ศชต. มือทำงานสมัยอยู่กองปราบปราม เป็น ผกก.สส.บก.น.4 พ.ต.อ.สันติ ชัยนิรามัย ผกก.สส.บก.น.2 มือทำงาน ผบช.น. ที่เคยทำงานให้กับ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตที่ปรึกษา (สบ 10) ได้ดีเป็น ผกก.สส.บก.น.6 พ.ต.อ.เมธี รักพันธุ์ ผกก.ฝอ.ปปป.บช.ก. เป็น ผกก.สส.บก.น.7 พ.ต.อ.พงศ์อานันต์ คล้ายคลึง ผกก.สน.ตลิ่งชัน รายนี้ ผบช.น. ให้เป็น ผกก.สส.บก.น.9 จากผลงานการช่วยเหลือชาวบ้านจากเหตุการณ์น้ำท่วม
ส่วนเพื่อนร่วมรุ่น นรต.32 ของ ผบช.น. หลายคนขยับนั่งในเก้าอี้ดีขึ้น อาทิ พ.ต.อ.รังสรรค์ ประดิษฐผล ผกก.สน.ดอนเมือง เป็น ผกก.สน.ลุมพินี พ.ต.อ.ชิณณะ โบราณินทร์ ผกก.สน.สุวินทวงศ์ เป็น ผกก.สน.ประเวศ พ.ต.อ.สมชาย เชยกลิ่น ผกก.สน.ลาดกระบัง เป็น ผกก.สน.โคกคราม พ.ต.อ.สมาน รอดกำเนิด ผกก.สน.พญาไท อยู่ที่เดิม
ขณะที่นายตำรวจติดตาม "ผบช.น." ต่างก็ได้ขยับไปอยู่ในกองกำกับการ "เกรดเอ" อย่าง กก.สายตรวจ (191) บก.สปพ. ประกอบด้วย พ.ต.ท.วรวรรธน์ เข็มศักดิ์สิทธิ์ สว.สส.สน.ตลาดพลู (นรต.52) เป็น รอง ผกก.สายตรวจ (191) และ พ.ต.ท.ศิรเมศร์ เมธีชนวิจิตร์ สว.กลุ่มงานส่งเสริมงานสอบสวน 2 สถาบันส่งเสริมงานสอบสวน เป็น สว.งานสายตรวจ 1 กก.สายตรวจ (191) บก.สปพ.
ด้านนายตำรวจสาย "บิ๊กอ๊อบ" พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ก็มาแรงหลายคน อาทิ พ.ต.อ.ทิวา ขึ้นแท่น ผกก. "เบอร์ 1" เป็น ผกก.สายตรวจ (191) บก.สปพ. แทน พ.ต.อ.วิวัฒน์ ที่ลี้ไปเป็น ผกก.ดส.บช.น. พ.ต.อ.ทรงยศ ถวัลย์กิจดำรงค์ ผกก.สส.ภ.จว.จันทบุรี เป็น ผกก.สน.บางรัก ขณะที่ พ.ต.ต.พัดธงทิว ดามาพงศ์ สว.ฝอ.บก.ทล. "นามสกุลดัง" ย้ายมาเป็น สว.งานสายตรวจ 3 บก.สปพ.
ขณะที่ขั้วการเมืองสายดูไบ สายนายกฯ หญิง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส่ง พ.ต.ท.ขวัญชัย บุญเพ็ชร สวป.สน.ลาดพร้าว เข้าประกวดเป็น สว.งานสายตรวจ 2 บก.สปพ. เบียดเจ้าของเก้าอี้เดิมอย่าง พ.ต.ท.ดวงโชติ สุวรรณจรัส นรต.รุ่น 55 "เขย" ของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. อยู่มาแล้ว 3 ปี ไปอยู่ สว.กก.สส.บก.น.2
ขณะที่ พ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผกก.สน.มักกะสัน แรงดีจาก "ดูไบ" ส่งขึ้น รอง ผบก.อก.บช.น.
ส่วนสายอื่นๆ ในเพื่อไทย อาทิ พ.ต.ท.ไชยา คงทรัพย์ สวญ.หน.สน.บางคอแหลม สาย นายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็น ผกก.สน.มักกะสัน ฟาก "เจ๊หน่อย" คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ดัน พ.ต.อ.ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนต์ ผกก.สส.บก.น.7 หมุนจากฝั่งธนบุรี มานั่งพื้นที่ทำเลทองใจกลางกรุง เป็น ผกก.สส.บก.น.5 ขณะที่ พ.ต.อ.สุพัชร พึ่งพวง ผกก.ดส.บช.น. สาย นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ อดีตเลขาธิการนายกฯ "มาร์ค" อยู่ไม่ไหวโยกเป็น ผกก.ศฝร.
สาย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ มีชื่อ พ.ต.อ.ภานพ วรธนัชชากุล ผกก.สน.สมเด็จเจ้าพระยา เพื่อน นรต.45 ร่วมรุ่น พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ เป็น ผกก.สน.ประชาชื่น พ.ต.อ.เกติ์ฉกาจ นิลประดับ ผกก.สน.หนองจอก เป็น ผกก.สน.ท่าเรือ
สาย พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบช.น. ฉายา "มือปราบหูดำ" นอกจากจะสนิทสนมกับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ แล้ว พล.ต.ท.วินัย ก็ให้ความไว้วางใจสูง โดยบัญชีแต่งตั้งระลอกนี้มีชื่อ พ.ต.ท.สถิตย์ สังข์ประไพ รอง ผกก.ป.สน.เตาปูน น้องชาย พล.ต.ต.วิชัย โยกไปเป็น รอง ผกก.ป.สน.ห้วยขวาง ร.ต.อ.อิทธิพล สังข์ประไพ นว. (สบ 1) ผบก.น.1 บุตรชาย เป็น สว.กก.สส.บก.น.5
เห็นบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายใน บช.น. แล้ว ทำให้นึกถึงสัจธรรม "ยุคใครยุคมัน" จริงๆ..!!
.
Selected Messages & Good Article for People Ideas and Social Justice .. หวังความต่อเนื่องของพลังประชาธิปไตยและการเลือกตั้งของปวงชนอันเป็นรากฐานอำนาจอธิปไตย เพื่อกำกับกติกาและอำนาจการเมือง-อำนาจตุลาการ ไม่ว่าต่อคนชั่ว(เพราะใคร?) และคนดี(ของใคร?) ไม่ให้อยู่เหนือนิติรัฐของประชาชน
http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย