http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-04-22

ครูอังคณา??, +พื้นที่สาธารณะส่วนตัว โดย จอห์น วิญญู

.

ครูอังคณา??
โดย จอห์น วิญญู spokedark.tv www.facebook.com/spokedarktv 
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1653 หน้า 79


เทศกาลสงกรานต์ก็ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว ว่ากันว่า สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร ดังนั้น สงครามสงกรานต์ปีนี้จบแล้ว การ "นับศพ" ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุต่างๆ ในช่วงเทศกาลที่ทำกันทุกปีจนเป็นธรรมเนียมป่วยๆ ประจำชาติคงจะถูกประกาศออกมาแล้วล่ะ

(ขณะเขียนต้นฉบับยังไม่ประกาศครับ)

ก่อนหยุดสงกรานต์นอกจากข่าวดูถูกสติปัญญาอย่างครึกโครมที่สุดอันได้รับความสนใจอย่างเต็มเปี่ยม (จนน่าเป็นห่วง) จากสื่อมวลชนหลายเจ้าคงหนีไม่พ้นคลิป internet sensation เรื่อง "ครูอังคณา" ซึ่งเป็นวิถีการเรียนรู้วิธีการ "เข้าสังคม" ของเด็ก ม.1 แต่ดันโดนลากไปเป็นเรื่องความเหมาะสมของการแจกแท็บแล็ตได้ไงก็สุดปัญญาจูวินยอนจะเข้าใจได้ล่ะครับ

ขอโทษนะครับ ไม่มีแท็บแล็ตเด็กมันก็เล่น Facebook และมือถือที่ไหนก็ถ่ายวิดีโอได้เกือบทั้งนั้น แหละ เว้ยเฮ้ย!!
ลากเข้าเรื่องกันไปได้
ปวดเงาะหวะ
เอาเถอะครับ คิดซะว่าเป็น "ขาลง" ของหลายๆ อย่าง 



กลับมาที่เรื่องของคนตายในช่วงสงกรานต์ ผมเคยได้คุยกับเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองท่านหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว (นานจริงๆ ครับ ตั้งแต่ยุคที่พี่แม้วยังเป็นนายกฯ อยู่)
ท่านเล่าว่าวิธีการลดจำนวนอุบัติเหตุและจำนวนคนตายอย่างได้ผลในช่วงเทศกาลก็คือ บันทึกแบบเคสเว้นเคส หรือศพเว้นศพ ถ้ามันมากเปลี่ยนเป็นศพเว้นสองศพ จะสามารถลดสถิติคนตายลงได้กว่าครึ่งหรือเผลอๆ เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์กันเลยทีเดียว

รัฐบาลได้พีอาร์ เจ้าหน้าที่ได้ความดีความชอบ แฮปปี้กันถ้วนหน้า
ส่วนประชาชนนั้น ตามการสังเกตของผม ประชาชนไม่สนอยู่แล้ว ยังคงกินเหล้าขับรถ ขับรถเร็วเกินอัตราที่กำหนด ขับรถซิ่ง ขับแล้วโทร. ขับแล้วทวีต ขี่มอ"ไซค์สวนเลน ซ้อนสาม ซ้อนหก ซ้อนแปด เด็กยืนหน้า ทารกขี่หลัง นังเมียหลวงก็ล้อ เมียน้อยห้อยอยู่แถวผ้าเบรก (ซ้อนกันไปได้ไงวะ)
และที่แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งคือไม่ใส่หมวกกันน็อก ฮา
แคร์ที่ไหน ---- ชิลล์ทั่วหล้ามหาสงกรานต์ คิดไรมาก ตายไปแล้วเดี๋ยวก็กลับมาใหม่


ผมไปเจอรายงานของธนาคารโลกเกี่ยวกับมูลค่าความเสียหายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทย ซึ่งน่าสนใจทีเดียว เค้าบอกว่าตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ในประเทศไทยมีอุบัติเหตุทางท้องถนนเกิดขึ้นหนึ่งแสนถึงหนึ่งแสนสองหมื่นครั้งต่อปี
จากแสนกว่าครั้งที่ว่า จะมีคนตายประมาณ 13,000 คนต่อปี โดยในช่วงสงกรานต์และปีใหม่สถิติคนตายจากอุบัติเหตุจะพุ่งขึ้นถึง 1,000 คน 
ผมไม่แน่ใจว่าสงกรานต์ 1,000 ปีใหม่ 1,000 หรือ สงกรานต์และปีใหม่รวมกันได้ 1,000 นะครับ
และจากจำนวนดังกล่าว คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจถึงปีละสองแสนสามหมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งเท่ากับเกือบสามเปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติหรือจีดีพีของประเทศ

สำหรับความเสียหายต่อคน ถ้าตาย ความสูญเสียทางเศรษฐกิจเท่ากับห้าล้านสามแสนบาท
แต่ถ้าทุพพลภาพความเสียหายจะมากขึ้นเป็นหกล้านสองแสนบาทต่อคน

โดยตัวเลขดังกล่าวประเมินจากความสูญเสียทางแรงงานและผลผลิต ค่าหมอ ค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน ค่ารถพยาบาล ค่าดูแลรักษา ค่าใช้จ่ายในการสอบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคดี ค่าทนาย ค่าใช้จ่ายบริษัทประกัน และความเสียหายจากทรัพย์สินอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเสาไฟฟ้า เกาะกลางถนน ฯลฯ 
ยันไปจนถึงความเสียหายอันเกิดจากรถติดเมื่อมีอุบัติเหตุด้วย
คิดไปก็เยอะอยู่เหมือนกัน แต่ก็อย่างว่าแหละ วินัยจราจรสะท้อนวินัยชาติ ถ้าพวกเรายังชิลล์ๆ กับชีวิตและความปลอดภัยของตัวเองในลักษณะนี้ เราก็จงจ่ายค่าเสียหายปีละ 2.8 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีต่อไปเถิด


มาอีกเรื่องดีกว่าครับ ก่อนสงกรานต์ก็ฮือฮากันมาก หรือว่าจะเรียกว่าฮือฮาตามปกติอยู่แล้ว ฮือฮากันมาหลายปี ฮือฮาจนกลายเป็นเรื่องตลก นั่นคือเรื่องของ "สงครามยาเสพติด" จำเลยสังคมล่าสุด "ยาซูโดเอฟริดีน" 
โดยผู้ติดร่างแหความซวยครั้งนี้ก็คงหนีไม่พ้นประชาชนที่เป็นหวัดเป็นไข้เป็นโรคแพ้ต่างๆ 
ผมขอเรียกจำอวดเรื่องยาซูโดฯ หายและการแก้ปัญหาของรัฐบาลตามความเป็นจริงนะครับ ว่ามัน
"บัดโซ้บบบบ" จริงๆ เลยอ่ะ

ยาซูโดเอฟฟริดีน เป็น "สารตั้งต้น" ที่สามารถเอาไปผลิตยาบ้าได้
ในเมื่อมันรั่วไหลออกไปจากระบบเป็นจำนวนมาก รัฐบาลที่ "ประกาศสงครามกับยาเสพติด" กันมานานแสนนานก็แก้ปัญหาแบบเดียวกับที่แก้ปัญหายาบ้าเป๊ะๆ เลยคือ (นอกจากจะเปลี่ยนชื่อจากยาม้าเป็นยาบ้าแล้ว) ยกระดับให้ยาซูโดเอฟริดีน จากยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 3 มาเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 มีผลให้ อย. ต้องสั่งเก็บยาที่มีส่วนผสมของซูโดเอฟริดีนทั้งหมดมาเก็บไว้เอง

เมื่อก่อนยาบ้าก็เป็นแค่สารเสพติดให้โทษประเภทที่ 3 นะครับ แต่ด้วยความขยันหรือเจตนาเป็นพิษอันใดไม่ทราบได้ของรัฐบาลเมื่อปี 2539 ได้ประกาศยกระดับให้ยาม้าบ้านๆ เนี่ย กลายเป็นยาเสพติดประเภท 1 อยู่ในคลาสเดียวกันกับเฮโรอีนเลยเชียวนะครับ! ส่วนมอร์ฟีน ฝิ่น โคเคน และโคดีน นั้นเป็นแค่ประเภทที่ 2 เท่านั้น

คิดดูดิครับ ยาขยันที่คนรุ่นพ่อรุ่นลุงเราซื้อกินกันเพื่อให้อ่านหนังสือได้ทนๆ ในช่วงสอบ หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปดันโดนไปอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับเฮโรอีนเลยนะครับ 
จากของถูกๆ ตามร้านขายยาที่ฮิตเฉพาะช่วงสอบและอาจจะพอควบคุมคุณภาพได้กลับกลายเป็นของผิดกฎหมายที่มีโทษถึงขั้นประหารชีวิต --- มันไม่แพงวันนี้แล้วมันจะแพงวันไหนล่ะครับ ? 
แล้วของที่ต้นทุนถูกมากแต่ขายได้แพงมากมันน่าเย้ายวนชวนให้ขายมั้ยล่ะ 
ยิ่งขายได้รวย ก็ยิ่งขาย ยิ่งขายก็ยิ่งแพร่กระจาย ยิ่งกระจายไป คนติดก็ยิ่งติด ติดแล้วก็อาจจะไปทำร้ายคนอื่นได้ นี่ผมคิดในแบบของผมนะครับ

ไม่ว่านักขายคนนั้นจะเป็นคนขายสินค้าถูกกฎหมาย หรือสินค้าผิดกฎหมาย นักขายที่ดีย่อมมีหน้าที่นำเสนอสินค้าแก่ลูกค้า นักขายที่ดีย่อมกระตุ้นเน้นการขายไปยังสินค้าที่ทำกำไรได้มากกว่าสินค้าตัวอื่นๆ ที่อยู่ในสายพานการผลิตของตัวเอง 
แต่ก็ไม่รู้ดิ ถ้ามันราคาถูกมันอาจจะไม่แพร่หลายก็ได้ เพราะไม่ค่อยมีใครอยากขาย ไม่มีใครขายก็ไม่มีการกระจายออกของสินค้า ไม่กระจายออกก็ไม่มีใครเสพติดมากนัก
ลองนึกถึงกาวกระป๋องและสารระเหยที่ "สารตั้งต้น" ไม่แพงมาก เลยไม่ค่อยฮิต ไม่ฮิตเพราะไม่มีคนนิยมขาย เพราะขายไม่ได้เงินงามๆ หรือไม่ฮิตเพราะเสพแล้วไม่มันส์เท่า
หรือเปล่า? หึหึ 
หรือยังไงมันก็เสพกันอยู่ดี อยากเมา อยากเป็นม้า เป็นบ้า ไรงี้?

ไม่รู้ รู้แต่ว่าคุณหมอท่านบอกมาว่าเจ้ายาซูโดเอฟริดีนนี่ไม่ได้เป็นสารเสพติดในตัวมันเองนะครับ แต่เป็น "สารตั้งต้น" เพื่อการผลิตยาบ้า---แหม ท่าทางราคายาบ้าจะได้ขึ้นอีกแล้วเพราะ "สารตั้งต้น" มันกลายเป็นวัตถุออกฤทธิ์ ประเภท 2 แทนที่จะเป็นประเภท 3 ฝ่ายปกครองจะเข้ามา "ควบคุม" มันมากขึ้น เหมือนกับที่ฝ่ายปกครองได้พยายาม "ควบคุม" ยาบ้าเมื่อสิบกว่าปีก่อน 
บางทีเราก็งงมั่งไรมั่งเนอะ กับการทำสงครามยาเสพติดเนี่ย



ไหนๆ ก็พูดเรื่องสถิติกันมาแล้วตั้งแต่ต้นนะครับ เรามาดูสถิติสลดๆ เกี่ยวกับยาเสพติดในประเทศเรากันดีกว่า พาดหัวกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ครับ "ตะลึง ยาเสพติดคร่าชีวิตคนไทยกว่า 400 ราย"
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์อ้างสถิติจาก สสส. ว่า ในปี 2552 พบผู้ติดสารเสพติดจำนวน 14,376 คน แบ่งเป็นเฮโรอีน 1,031 คน กัญชา 6,711 คน และแอมเฟตามีน 6,634 คน
มีผู้เสียชีวิต 403 ราย คิดเป็น 0.1% ของผู้ติดสารเสพติดทั้งหมด 
เอาล่ะๆ สมมติว่าตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่คลาดเคลื่อนเนื่องจาก สสส. บอกว่าคนเราไม่ค่อยยอมรับว่าใช้หรือติดยาเสพติด เราเอาตัวเลขคนติดยาคูณสามเลยดีมั้ย 
ได้ตัวเลขคนติดยาเสพติด 14,376 x 3 = 43,128 คน

สมมติว่ามีผู้เสียชีวิตอันเนื่องมาจากยาเสพติดจริงๆ คูณสามเหมือนกัน!
403 x 3 = 1,209 คน ต่อปี 
คูณสามแล้วยังห่างไกลจากจำนวนคนตายจากการ "ฆ่าตัดตอน" จากนโยบายสงครามยาเสพติดที่ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมและยังไม่ได้รับแม้กระทั่งการยอมรับถึงความผิดพลาดมาจนถึงบัดนี้
ห่างไกลจากปริมาณคนที่อยู่ในคุกเพราะคดียาบ้า 
เสียทั้งเงินค่าสร้างคุกเสียทั้งมูลค่าทางเศรษฐกิจจากทรัพยากรมนุษย์
ซึ่งเทียบกับคนตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนต่อปี 13,000 คน และจำนวนอุบัติเหตุเป็นหลักแสนต่อปี

จริงๆ แล้ว ไม่รู้จะเอามาเปรียบเทียบกันทำไมเนาะ
มันหดหู่พอกันแหละว้า 



++++
บทความของปี 2554 


พื้นที่สาธารณะส่วนตัว 
โดย จอห์น วิญญู spokedark.tv www.facebook.com/spokedarktv (เดิม I here T.V.)
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1601 หน้า 79


อย่าหาว่าผมซกมกเลยนะครับผม
ผมถามจริงๆ นะครับ ใครเคยแคะเล็บในรถตัวเองบ้างครับ?
คงเคยบ้างไม่เคยบ้างสินะครับ
แล้วแคะขี้มูกบนรถตัวเองล่ะครับ เคยไหม?
ฮิฮิ ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องตอบผมก็ได้
แล้วแหกปากร้องเพลงดังๆ ในรถ เคยป่ะครับ
ถึงตรงนี้ ผมว่าคงปฏิเสธกันยากแล้วแหละ ว่าใครๆ ก็เคย เคยทำอะไรที่ปกติตัวเองจะไม่ทำในที่สาธารณะแจ้งๆ แต่เพียงแค่ปิดประตูรถ คุณก็จะรู้สึกผ่อนคลาย และสบายใจที่จะแสดงออก หรือทำอะไรบางอย่างที่ส่วนตัวสุดๆ ในห้องโดยสารที่มีเพียงแค่กระจกบางๆ กั้นคุณกับโลกภายนอกไว้ แล้วคุณก็คิดว่าไม่มีใครเห็น 555

คุณคิดว่ามันเป็นพื้นที่ส่วนตัว

พี่เขยผมเล่าให้ฟังว่า แกเคยแคะขี้มูกบนรถครับ ตอนรถติดอยู่ที่สี่แยกไฟแดง ในขณะที่กำลังแคะอย่างเมามันส์อยู่นั้นเอง อะไรดลใจพี่แกก็ไม่รู้ ให้แหงะหน้ามองออกไปนอกรถ สายตาของแกปะทะเข้ากับสายตาของผู้คนนับสิบคู่บนรถเมล์ที่จอดรถติดอยู่ข้างๆ 
แกเขินจนนิ้วค้างอยู่ในรูจมูก พอตั้งสติได้เห็นไฟเขียวแกก็เหยียบคันเร่งออกตัวอย่างเร็วด้วยความอาย

ไปได้ไม่เท่าไหร่ ไฟแดงอีกแล้วที่แยกถัดกัน แกมองที่ว่างเลนข้างๆ ด้วยใจประหวั่น
และแล้วฝันร้ายก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา
รถเมล์คันเมื่อกี้ที่แยกก่อน ค่อยๆ เบรกชะลอความเร็วเคลื่อนตัวเข้ามาจอดข้างๆ พร้อมสายตานับสิบคู่ที่มองทะลุกระจกเข้ามาแล้วทำหน้าตาประหนึ่งว่ารู้จักกัน ฮา 
แกบอกว่าอายจนอยากจะเหยียบคันเร่งให้มิด พุ่งหนีข้ามสี่แยกไปทั้งๆ ที่ไฟยังแดงอยู่นั่นแหละ ถึงขนาดที่อัดอั้นอายเอียงจนอยากจะหายวับไปจากตรงนั้นเลยทีเดียว



ในบางที ที่ที่เราคิดว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว มันอาจเป็นพื้นที่ส่วนตัวไม่จริงก็ได้นะครับ
จากเรื่องแคะขี้มูกในรถเมื่อกี้ จะเห็นว่ารถมันมีช่องโหว่อยู่ ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่เราก็รู้ว่ามีอยู่น่ะแหละ (คือกระจก) แต่เพียงแค่มันเป็นกรอบบางๆ ใสๆ และกั้นระหว่างพื้นที่สองส่วนเอาไว้เท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่รู้ แต่เราก็รู้สึกปลอดภัยและเป็นส่วนตัวในรถของเราใช่ไหมครับ

นั่นเป็นในโลกแห่งความจริง คราวนี้ลองมาในฝั่งของโลกไซเบอร์กันบ้าง 
โลกอินเตอร์เน็ตก็มีครับ คนที่เชื่อว่าพื้นที่ในอินเตอร์เน็ตเป็นพื้นที่ส่วนตัว 
โอ้ว... มายก๊อด... 
อินเตอร์เน็ตเป็นพื้นที่ส่วนตัว โอ๋ยโหยว!!! แย่ล่ะสิ งานนี้ ข้อมูลที่ล่องลอยตามสายออกไปกับกระแสอิเล็กตรอน ไปได้ทั่วโลกเนี่ยนะ มันยากจริงๆ นะครับว่าจะเชื่อว่าในอินเตอร์เน็ตเป็นพื้นที่ส่วนตัวซึ่งจะนำพามาซึ่งความเป็นส่วนตัวของคุณ
บร๊ะเจ้า!

คิดดู ถ้าคุณแคะขี้มูกในรถ มีกระจกหกบานให้คนอื่นมองเข้ามาเห็นคุณในรถ
แต่ถ้าคุณโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่าคุณกำลังแคะขี้มูกอยู่ มันมีช่องมากมายนับไม่ถ้วนที่เป็นช่องให้ใครอีกกี่คน กี่ล้าน กี่ร้อยกี่พันล้านคน ก็ไม่รู้ เข้ามาอ่านข้อมูล แล้วรู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่บ้าง ทั้งๆ ที่คนที่เข้ามาอ่านนั้นอาจจะไม่ใช่เพื่อนของคุณก็ได้ 

และถึงแม้คุณจะบอกว่า คุณตั้งค่า privacy (ค่ากำหนดความเป็นส่วนตัวของข้อมูลของคุณ) ไว้รัดกุมแค่ไหนก็ตาม ถ้าเพื่อนของคุณที่เข้ามาตอบโต้ในหน้าเฟซบุ๊กของคุณเขาไม่ได้กำหนดค่า privacy ไว้รัดกุมเท่าคุณ บุคคลไม่พึงประสงค์ก็สามารถทะลุเข้ามาอ่านข้อมูลของคุณผ่านการเข้ามาทางหน้าเฟซบุ๊กของเพื่อนคุณก็เป็นได้
ยิ่งพูดก็ยิ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อน วู้ว !

แต่ไม่ว่ามันจะซับซ้อนขนาดไหนก็ตาม มันก็คงไม่มีความหมายอะไร สำหรับคนที่มองพื้นที่ส่วนตัวในความหมายอื่น อย่างเช่น พื้นที่ส่วนตัวมีไว้ทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองต้องการและสบายใจที่จะทำมัน แม้ว่าใครจะเห็น จะมาได้ยิน จะมารับรู้อะไร ก็ไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น ในพื้นที่ (ที่คิดว่า) ส่วนตัวนี้ ฉันอยากจะทำอะไรก็ทำ ใครจะทำไม !!! 
จริงๆ การคิดแบบนั้นมันก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลนะครับ แต่สำหรับกลุ่มคนบางพวก การคิดเอาเองว่าประเทศนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัว ส่วนพรรคส่วนพวก จะแบ่งเค้ก แบ่งผลประโยชน์ คิดสูตรโน้น สูตรนี้ วางเก้าอี้ตัวโน้น โต๊ะตัวนี้ ดังสารพัดตามใจจะนึก เพื่อต่อรองอำนาจกันอย่างจะแจ้ง โดยไม่เคยสนใจกันเลย ว่าสาธารณชนจะได้ประโยชน์หรือเห็นด้วยกับการกระทำ การตัดสินใจเหล่านั้นหรือไม่
เฮ้ย แถกไปหาเรื่องการเมืองได้ไงแว้ เอ้า วก วก วกกลับ !



เออ ผมเพิ่งไปทำโพลใน facebook.com/iheretv มาแหละ 
เรื่องตด...
ผมโยนคำถามไปว่า "คุณเคยตดในลิฟต์หรือไม่"
โอ้ว มายก๊อด มีคนตอบกันสนุกเระ

ข้อมูลจนถึงวินาทีนี้มีคนตอบแบบสอบถามเข้ามาแล้ว 928 คน ไม่น่าเชื่อครับ
ในจำนวนทั้งหมดนั้นคนที่เคยตดในลิฟต์มีอยู่ถึง 566 คน 
ประมาณได้เป็น 70% ของทั้งหมดเลยนะครับ

ส่วนที่เหลืออีก 362 คน ซึ่งประมาณได้เป็น 30% เป็นคนที่ไม่เคยตดในลิฟต์
น่าสนใจป่ะล่ะครับ บางคนอาจจะคิดไม่ถึงว่าจะมีคนตดในลิฟต์ด้วย เพราะมันเป็นพื้นที่สาธารณะ แต่พอแค่ประตูลิฟต์ปิดลง ก็มีคนที่รู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลายถึงขนาดกล้าที่จะทำสิ่งที่พวกเขาจะไม่ทำเลยในที่สาธารณะ นั่นทำให้ผมสงสัย... 
หรือว่า? พวกเขาจะคิดว่าในลิฟต์นั้นเป็นพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมาอย่างชั่วคราว ในชั่วระยะเวลาหนึ่งขณะที่ประตูลิฟต์ปิดอยู่ 

ผมอยากรู้มากกว่านั้น จึงไปเลียบๆ เคียงๆ ถามน้องๆ ที่ตอบคำถามว่า "เคย" นั้นน่ะ พวกเขาตดกันยังไงในลิฟต์ ส่วนใหญ่จะตอบว่า ตดเวลาอยู่คนเดียวในลิฟต์ แต่ก็มีบ้างที่บอกว่าตดเวลาอยู่กับเพื่อนหรือแฟน
ถามคนที่ "เคย" ไปหลายคน คำตอบก็คล้ายคลึงกันเสียเป็นส่วนมาก ก็เลยไปถามคนที่ "ไม่เคย" บ้าง เด็กชายบี นามสมมติ บอกว่าไม่เคยตดในลิฟต์จริง แต่เคยตดนอกลิฟต์
ผมร้องอ้าว... ตดนอกลิฟต์ไม่เห็นแปลก ใครเค้าก็ทำกัน เดินไปก็ตดไป ในที่ชุมชนมีเสียงรอบข้างมากมาย ตดไปก็ไม่มีใครได้ยิน

น้องบีตอบว่า อ๋อ ผมหมายถึงผมเข้าลิฟต์มาคนแน่นมาก แล้วปวดตดก็เลยอั้นไว้ แต่ลิฟต์จอดบ่อย กว่าจะถึงชั้นที่ผมจะลงมันก็นานมากเพราะตึกมีหลายชั้น เมื่อถึงชั้นที่ผมลง พอประตูเปิดออก ผมก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกจากลิฟต์ พอพ้นประตูลิฟต์ไปได้หน่อย ตดดันหลุด...

มันหลุดผ่านเข้าไปในลิฟต์
แล้วประตูลิฟต์
ก็ปิดลง...



.