http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-06-17

ความมืดกลางแสงแดด กรณีคดีสมยศ หมิ่นฯเดชานุภาพ โดย พีระศักดิ์ ชัยธรรม

.

ความมืดกลางแสงแดด: กรณีการไต่สวนคดีสมยศ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
โดย พีระศักดิ์  ชัยธรรม 
ใน www.prachatai.com/journal/2012/06/41109 . . Sun, 2012-06-17 18:15


การดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 ต่อนายสมยศ  พฤกษาเกษมสุข เกิดขึ้นในช่วงที่กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมยืดเยื้อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์  เวชชีวะ ยุบสภา จัดการเลือกตั้งใหม่ แต่รัฐบาลกลับใช้กำลังทหารปราบปรามจนมีผู้เสียชีวิต 93 คน บาดเจ็บกว่า 3,000 คน ระหว่างนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แก้ไขปัญหาการชุมนุมของคนเสื้อแดงโดยกล่าวหาว่า กลุ่มคนเสื้อแดงเป็นขบวนการล้มเจ้า มีการนำเสนอรายชื่อกลุ่มคนเชื่อมโยงกันเป็นขบวนการล้มเจ้ามากมายด้วยกัน หนึ่งในนั้นมีนายสมยศ  พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการบริหารนิตยสาร Voice of Taksin อยู่ด้วย

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้รวบรวมพยานหลักฐานออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบสวนบันทึกหลักฐานเป็นวีดีโอเทปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม  2553  จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 จึงขอศาลอนุมัติหมายจับ จนกระทั่งวันที่ 30 เมษายน 2554 เมื่อนายสมยศได้นำคณะท่องเที่ยวไปกัมพูชา ได้ยื่นเอกสารการเดินทางให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว จึงถูกจับกุมตัวนำส่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) นำตัวไปขังไว้กองปราบปรามอยู่  2  คืน แล้วส่งไปฝากขังต่อ  84  วันที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพตั้งแต่วันที่  2  พฤษภาคม  2554

วันที่  25  กรกฎาคม  2554  พนักงานอัยการส่งฟ้องต่อศาลอาญารัชดาภิเษก กล่าวหาว่านายสมยศ  พฤกษาเกษมสุข เป็นผู้จัดทำ จัดจำหน่ายนิตยสาร Voice of Taksin  ปีที่ 1  ฉบับที่  15  ปักษ์หลังกุมภาพันธ์  2553  หน้าที่  44 – 47  และฉบับที่  16  ปักษ์แรกมีนาคม  2553  เรื่อง  6  ตุลา  แห่งปี  2553  หน้าที่ 45 – 47  ทั้งสองบทความเป็นของผู้ใช้นามปากกา  “จิตร  พลจันทร์”  มีข้อความหมิ่นประมาท  ดูหมิ่น  อาฆาตมาดร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

ในวันที่  12  กันยายน  2554  ศาลนัดพร้อมตรวจสอบบัญชีพยานฝ่ายโจทก์ – จำเลย  และนัดหมายการไต่สวน  โดยเริ่มจากการสืบพยานโจทก์ที่ต่างจังหวัดประกับไปด้วยจังหวัดสระแก้ววันที่  21  พฤศจิกายน  2554  จังหวัดเพชรบูรณ์วันที่  19  ธันวาคม  2554  จังหวัดนครสวรรค์วันที่  16  มกราคม  2555  จังหวัดสงขลาวันที่  13  กุมภาพันธ์  2555

นายสุวิทย์  ทองนวลและนายคารม  พลพรกลาง ทนายความ ได้ยื่นคำร้องให้การสืบพยานฝ่ายโจทก์ในต่างจังหวัดให้มาไต่สวนที่กรุงเทพ  โดยทางฝ่ายจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้  ทั้งนี้เนื่องจากการเคลื่อนย้ายนักโทษจากเรือนจำกรุงเทพไปต่างจังหวัดจะต้องถูกล่ามโซ่  ตีตรวน  ไม่อนุญาตให้เข้าห้องน้ำระหว่างเดินทางเพื่อป้องกันการหลบหนี  อีกทั้งยังต้องถูกคุมขังในเรือนจำในแต่ละจังหวัดล่วงหน้าเป็นเวลานาน  โดยที่นายสมยศ  ได้เปิดเผยว่าเรือนจำต่างจังหวัดมักมีสภาพแออัด   สภาพความเป็นอยู่ยากลำบากเป็นอย่างมาก  สภาพเช่นนี้ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการทรมานนักโทษ  แต่ศาลยกคำร้องดังกล่าว  นายสมยศ  จึงต้องทุกข์ทรมานเป็นเวลากว่า  5  เดือนด้วยกัน (ระหว่างเดือนพฤศจิกายน  -  เดือนกุมภาพันธ์)

พยานฝ่ายโจทก์ประกอบไปด้วยทหาร,  นักศึกษาฝึกงานที่ DSI,  เจ้าหน้าที่หอสมุดแห่งชาติ,  เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์,  พนักงานสอบสวน,  พนักงานนิตยสาร Voice  of  Taksin ทั้งหมด,    ได้อ่านบทความทั้งสองฉบับที่ทางพนักงานสอบสวน  DSI  นำมาให้อ่าน  โดยเน้นเฉพาะข้อความบางท่อนเป็นการเฉพาะเจาะจงที่มีความเห็นกันว่า  บทความทั้งสองใช้ชื่อตัวละคร  เป็นการสื่อความหมายที่เป็นการดูหมิ่น  หมิ่นประมาท  อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์

ทนายความได้ซักค้านพยานฝ่ายโจทก์  เกิดขึ้นจากการดำเนินคดีของ  DSI  ในภาวะความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งมีฝ่ายหนึ่งใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง  เป็นเหตุให้การดำเนินคดีความมาตรา  112  ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

พยานฝ่ายจำเลยประกอบด้วยนักวิชาการ  คนเสื้อแดง  กรรมการสิทธิมนุษยชน  นายสมยศ ได้เบิกความในชั้นศาลว่า ไม่ใช่ผู้เขียนบทความดังกล่าว  แต่เป็นนายจักรภพ  เพ็ญแข  ซึ่งเขียนอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ฉบับที่  2  เป็นต้นมา  ได้อ่านอย่างคราว ๆ พบว่าเป็นงานเชิงวรรณกรรมการเมือง  มีข้อความสื่อความหมายถึง  ฝ่ายอำมาตย์ทั้งในด้านรูปภาพประกอบ  และเนื้อหาที่ปรากฏ  อีกทั้งผู้เขียนเป็นอดีตรัฐมนตรี  เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ  เป็นงานเขียนประจำ  และต่อเนื่อง  และถือว่าเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่ละคน  ไม่ใช่บรรณาธิการที่ต้องรับผิดตามกฎหมายเป็นไปตาม พรบ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550

เช่นเดียวกับนักวิชาการอาทิ อาจารย์ปิยบุตร  แสงกนกกุล,  ดร.สุธาชัย  ยิ้มประเสริฐ,  ดร.สุดสงวน  สุธีสร  และนายแพทย์นิรันดร์  พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  ซึ่งเห็นว่าบทความสื่อความหมายถึงกลุ่มอำมาตย์หรือกลุ่มนิยมเจ้า (Royalist) ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลทางการเมืองอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ผ่านมา

นายสมยศ  พฤกษาเกษมสุข  ยังระบุอีกว่าทั้งสองบทความมีเจตนาจะเตือนสติให้ทุกฝ่ายระมัดระวังในเรื่องความรุนแรงเพราะความขัดแย้งทางการเมืองในอดีตมักนำมาสู่ความรุนแรง

นายสุวิทย์ ทองนวลและนายคารม  พลพรกลาง ทนายความ ยังได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า  ประมวลกฎหมายอาญามาตรา  112  ขัดกับรัฐธรรมนูญ  2550  โดยคำร้องระบุว่ามาตรา  112 ไม่มีบทบัญญัติยกเว้นความผิดไว้  ซึ่งเท่ากับไม่ให้โอกาสฝ่ายที่ถูกกล่าวหาได้พิสูจน์ความจริงว่า ไม่ได้กระทำความผิดซึ่งเป็นการกำจัดสิทธิประชาชน  อีกทั้งไม่ควรจัดความผิดฐานหมิ่นประมาท  ดูหมิ่น  อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์  พระราชินี  รัชทายาท  ตามมาตรา  112  ไว้ในหมวดความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ควรเป็นเรื่องที่กระทบต่อการดำรงอยู่ของราชอาณาจักรหรือประเทศชาติเท่านั้น

ในขณะที่การกำหนดโทษจำคุก  3 – 5 ปี  ไม่สอดคล้องกับหลักพอสมควรแก่เหตุ  เมื่อเทียบกับมาตรา 116  ซึ่งเป็นการกระทำที่มีความร้ายแรงมากกว่า  112  การกระทำเพื่อการเปลี่ยนแปลงกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาลโดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย การก่อความไม่สงบ
ฯลฯ กำหนดเพียงไม่เกิน  7  ปี  โดยมิได้ระบุโทษขั้นต่ำไว้  ซึ่งทำให้ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจในการลงโทษจำคุกแก่ผู้ที่กระทำความผิดตามมาตรานี้ต่ำเท่าใดก็ได้

ในคำร้องดังกล่าวยังระบุอีกว่า  พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ การดูหมิ่นกษัตริย์จะกำหนดโทษสูงกว่าการดูหมิ่นกฎหมายบ้านเมืองไม่ได้แต่อย่างใด  เพราะเท่ากับนำสถานะของพระมหากษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย

นายสมยศ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหลังจากการไต่สวนเสร็จสิ้นว่า “ได้พูดความจริงทั้งหมดแล้ว  ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนที่เปิดกว้างสำหรับเสรีภาพทางความคิดเห็น  ยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตนเองอย่างเต็มที่  เพราะเป็นเพียงเหยื่อของกฎหมายไม่เป็นธรรม ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการกดขี่ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน”

การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองไม่ว่าจะด้วยการสนับสนุนเชิดชูบูชาหรือการต่อต้านคัดค้านถือเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย  จึงไม่ใช่อาชญากรที่ต้องถูกลงโทษทัณฑ์ด้วยการจองจำ  จนสูญเสียอิสรภาพเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน

การต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของนายสมยศ  พฤกษาเกษมสุข  เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขา  และเป็นการยืนยันในสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย  จึงเป็นการทำหน้าที่อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการต่อสู้ของเขา  และนักโทษทางการเมืองทุกคนที่ถูกจองจำในขณะนี้จะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน



.