http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-06-20

ผี, “ตาย” โดย ทราย เจริญปุระ

.

ผี
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1661 หน้า 80


ความรักความศรัทธาก็เหมือนผี เราคิดว่ามันมีแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสื่อสารกับมันได้ 
เราอยู่กับผี เราหากินกับผี เราเชื่อผี เรางมงายกับมัน 
เราป้องกันมันทั้งที่เราไม่เห็นมัน เราไหว้ เราบวงสรวง เราใช้มันเป็นเครื่องมือต่อรองข่มขู่ 
เราทำดีกับมัน โดยหวังจะติดสินบนมัน เราอยากควบคุมมันให้ได้ เราอยากมีอำนาจเหนือมัน


เพราะเรากลัวมัน 
ลึกๆ ในใจเราอาจจะเกลียดมันก็ได้
เพราะมันช่างคลุมเครือเหลือเกิน บอบบางเหลือเกิน
และยากจะหาที่เป็นจริงได้เหลือเกิน


หนังสือเล่มนี้พูดถึงผีที่หลอกหลอนและการมีอยู่ของบางสิ่งที่ไร้ตัวตน เช่น อำนาจ 
ฉันจะไม่เปรียบว่ามันเหมือนลมหรอก 
ลมคือลมที่พัดโบกโบย เรารู้สึกถึงมันได้ด้วยตัวเองโดยตรง 
แต่การมีอยู่ของบางสิ่งนั้นเราต้องการอะไรบางอย่างมาเป็นสื่อกลางอีกที 
อาจเป็นเรื่องเล่า สถานที่ หรือผู้คน
เหล่านั้นคือการดำรงตนอยู่ของมัน ใช้วิธีสำแดงร่างผ่านความเคลื่อนไหวและความเชื่อบางอย่าง
 

ทุกวันนี้, ผีในความหมายนี้มีหลายรูปแบบ ทั้งความรัก ความชัง และความเชื่อส่วนตัว
ทั้งอนุรักษนิยม ทั้งเสรีนิยม 
เราทุกคนล้วนกลัวมัน


หนังสือเล่มนี้พูดถึงการเมืองของประเทศไทย และการประคับประคองตนผ่านมันด้วยการโยงใยไปในเรื่องที่เหมือนจะเล่าถึงความรัก 
เราเชื่อ เราสงสัย เราเปลี่ยนความเชื่อ และเราเรียกร้องอะไรอยู่เงียบๆ ในใจของแต่ละคน 
สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองไม่มีอยู่จริงในประเทศนี้ 
เราจะถูกจัดประเภทเสมอ 
ทุกคนจะรู้ดีกว่าที่เราเข้าใจตัวเอง


ปรีดี หงษ์สต้น เล่าถึงทั้งการมีชีวิตและไม่มีชีวิตของตัวละครหลักที่เกี่ยวพันกันทั้งในโลกความจริงและจินตนาการ 
บางคนเคยมีอยู่จริงและจะคงอยู่ตลอดไป 
บางคนการมีอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญเพราะตัวละครนั้นเหมือนไม่เคยปรากฏตัวเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของใครเลย 
ตัวละครทุกตัวมีวิธีรับมือกับโลกและกับเรื่องทุกเรื่องด้วยวิธีการแบบเดียวกัน 
แน่นอน, โลกเราไม่เคยมีคำตอบสำเร็จรูป

เขาพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบตัว แรงขับเคลื่อนของสังคมในยุคหนึ่งที่มาซ้อนกับอีกยุคหนึ่ง 
วัยหนุ่มสาว และคนที่เคยผ่านวัยหนุ่มสาวมาแล้วและกลับมาหมกมุ่นกับตัวเองมากกว่าจะสนใจเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไป
ทุกคนในเรื่องนี้ไม่มีความสุข 
ทุกคนอยากมีความรัก พยายามแสดงออกซึ่งความรัก 
เขาและเธออ่านหนังสือ เขาและเธอไขว่คว้าหาแนวคิดเพื่อยึดเหนี่ยว เขาและเธอวิพากษ์วิจารณ์ เขาและเธอตกเป็นเครื่องมือของการเมือง อำนาจ ความรัก และผีของสิ่งนามธรรมต่างๆ เหล่านี้ เขาและเธอทั้งรู้และไม่รู้ 

เขาและเธอไม่มีความสุขกับมัน 
ถึงจุดหนึ่งคนเราต่างก็หมกมุ่นกับตัวเอง เราพยายามหาคำตอบให้กับอดีตและสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว 
ด้วยวิธีคิดทันสมัย ด้วยนัยทางสังคม ด้วยบริบทของสิ่งแวดล้อม 
จริงๆ แล้วโลกก็มีเพียงแต่เรา 
เริ่มต้นจากเรา แตกกอต่อยอด ต่อสู้ค้นหา ไขว่คว้าฝ่าฟัน อ้างสารพันเหตุผล คิดถึงที่มาที่ไป 
แต่สุดท้ายก็กลับมาจบลงที่เรา



เรื่องบางเรื่องผ่านเลยไปแล้ว 
แต่บางคนก็ยังคงติดอยู่กับมัน 
การจากลาและความตายเอาไปไม่ได้ทุกสิ่ง 

ฉันเคยบอกกับคนรักของฉันว่า, ฉันไม่รู้ว่าชีวิตระหว่างเราจะเป็นอย่างไร 
แต่ถ้าเธอตาย ฉันจะจัดงานศพให้เธอ 
นี่เป็นสิ่งที่โรแมนติกที่สุดในความสูญเสียของชีวิต 

และเป็นการยอมรับว่าที่สุดแล้ว, ความรักนั้นมีค่าเท่ากันกับความตายและการจากลา 
ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่ากัน 
และเธอจะเป็นผีของฉันไปตลอดกาล




++

“ตาย”
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 08 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1660 หน้า 80


ฉันเคยนั่งคุยกับแม่เรื่องพ่อ 
เรื่องทั่วๆ ไปเล็กๆ น้อยๆ นี่ล่ะ 
คุยเสร็จแม่ก็นิ่งไปพักหนึ่งก่อนบอกว่าไม่คิดว่าทรายจะจำเรื่องพ่อได้เยอะ 
เพราะตอนพ่อยังอยู่ทำเหมือนเฉยๆ ไม่ค่อยสนใจ

ก็จริง, ฉันยอมรับในความเฉยๆ ของฉัน 
มันยากเหมือนกันนะในการที่เราต่างก็เป็นคนอย่างที่เราเป็น 
เหตุผลนั้นมีในตัวเองแต่ฟังไม่ขึ้นและยากจะอธิบาย 
พ่อเป็นศาสนาบางอย่างของฉัน และคนเราไม่มีใครไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงหรือฉอเลาะกับพระเจ้าหรอก 
แต่ในความเงียบที่ดูเหมือนห่างเหินนั้นมันมีความรักและการรอรับฟังเสมอ



"ลักษณ์อาลัย" เหมือนจะพูดถึงแง่มุมแบบนี้  
ในงานศพที่เรามักได้ยินการสรรเสริญเยินยอผู้ตายจนเกือบจะนึกไปว่าเขาหรือเธอเป็นเทพจำแลงแปลงกายลงมายังโลกมนุษย์ 
หรือหนังสืองานศพที่ทุกคนดูจะรักผู้ตายอย่างยิ่ง จนลืมไปว่าเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง  


ใช่, มันอาจจะไม่มีประโยชน์ที่จะมาพูดถึงคนตายในแง่ร้าย 
แต่ฉันก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรเหมือนกันในการจะพูดถึงผู้ตายในแง่ความดีจนดูเขาเลิศลอย และห่างไกลเราออกไปเรื่อยๆ 
งานศพที่จัดขึ้นเพื่อรักษาหน้าและรักษาชีวิตของคนที่ยังอยู่ 
ข้อมูลบางอย่างที่เพิ่งเปิดเผยออกมาหลังความตายไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น 
ความฟูมฟายนั้นมาจากความรู้สึกผิดที่คนเป็นยังคงมีค้างคาในตัวมากกว่าความเสียใจเพื่อผู้ตายอย่างเดียว


เราต่างก็อยากมีส่วนร่วมกับความตายของผู้เป็นที่รัก 
พอๆ กับที่ยังไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของความตายนั้น 
เราจึงจัดงานศพ 
และอาศัยวิ่งวนอยู่รอบๆ มัน 
รายล้อมไปด้วยคนที่อาจจะเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว

คนที่ผู้ตายไม่เคยรู้จักและใครต่อใคร 
ความตายเป็นการเรียกอดีตให้กลับคืนมา 
เพราะเราต่างก็รู้ว่า, เราจะไม่มีอนาคตร่วมกันอีกแล้ว



ตอนพ่อป่วยฉันจึงดูเฉยๆ เหมือนไม่รู้สึกรู้สา 
เหมือนไม่มีส่วนร่วม 
เมื่อพ่อตายฉันจึงดูยิ่งนิ่งเฉยหนัก 
ฉันไม่รู้จะคร่ำครวญอะไร โลกนี้ยากเกินไปกว่าจะคิดว่าให้พ่อลงมาช่วยรับมือ

พ่อเลี้ยงฉันมาอย่างดีเพื่อให้รับมือกับโลกกว้างนี้อย่างเข้าใจแล้ว 
ฉันจึงคิดถึง แต่ไม่โหยหา 
เราจะโหยหาให้ฝืนในสิ่งที่เป็นธรรมดาของโลกเช่นความตายไปเพื่ออะไรกันเล่า

เราปฏิบัติต่อคนตายด้วยความเคารพ เกรงใจ 
และห่อหุ้มไปด้วยพิธีกรรมเพราะเราไม่สามารถเดินไปถามถึงความต้องการของเขาได้อีกแล้ว

และไปๆ มาๆ มันก็เป็นธรรมเนียมเพื่อผู้ที่ยังอยู่เสียมากกว่า


หนังสือเล่าถึงพิธีกรรม การเปิดเสียงเพลงเศร้าโหยหวน การเล่นการพนันหน้าศพ 
ความตั้งใจดีของธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้ และการตั้งคำถามกับมัน
มันจะมีอะไรมากไปกว่า "ก็คนเขาทำกัน" บ้างไหม 
มันจะมีอะไรมากไปกว่า "คนที่ตายเขาจะได้ไปสบาย" บ้างไหม
มันเป็นคำถามที่ไม่มีทางพิสูจน์ได้



คนที่ตายก็ตายไปแล้ว 
สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่ต่างหากที่ต้องก้าวเดินกันต่อไป


มันเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านั้นเขาทำอะไรบ้าง ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น 
มันอาจมีความสงสัย, แต่ก็ไม่มีใครอยากถาม ไม่มีใครกล้าถาม 
ความตายนั้นดูยิ่งใหญ่เกินกว่าจะไปรบกวนด้วยอะไรเล็กน้อยขนาดนั้น 
ความสงสัยของคนที่ยังอยู่ดูผิดมารยาทเกินไป 
เรายังโชคดีที่มีชีวิตอยู่ จะไปตั้งคำถามอะไรกับความตายเล่า 
เพราะความตายนั้นไม่เคยถามและไม่เคยตอบ

นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ข้อสงสัยต่างๆ ต่อคนตายและความตายนั้นจะถูกเก็บเอาไว้ในใจเสมอ
ความดีและความตายนั้นคล้ายกันตรงที่ไม่ค่อยมีคนกล้าตั้งคำถามเอากับมัน 
ความตายจึงกลายเป็นบทสรุปและนิยามสร้างความดีงามแบบสำเร็จรูปได้โดยปริยาย




ความตายเป็นเรื่องน่าเศร้าเสมอ 
การจากตายเป็นเรื่องสุดท้ายในโลกที่คนอยากจะให้เกิดกับผู้เป็นที่รัก 
ที่แย่คือ, เราไม่มีทางหนีการอำลาเช่นนี้พ้น
มันคือกติกาของชีวิต



.