http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-06-02

ไม่ใช่อุบัติเหตุ เพราะทำผิดซ้ำซากมา6ปี ปรองดองแบบตายฟรี ..คนผิดลอยนวล โดย มุกดา สุวรรณชาติ

.

ไม่ใช่อุบัติเหตุ... เพราะทำผิดซ้ำซากมา 6 ปี ปรองดองแบบตายฟรี ...คนผิดลอยนวล
โดย มุกดา สุวรรณชาติ คอลัมน์ หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1659 หน้า 20


ปัญหาความขัดแย้งที่ผ่านมา 6 ปี ทีมวิเคราะห์ยืนยันว่าไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะกลุ่มอำนาจเก่าไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลก และมุ่งแต่จะรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนโดยไม่สนใจผลกระทบต่อส่วนรวม ทำให้ผู้มีอำนาจของกลุ่มนี้ตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้งซ้อน
ยิ่งผิดความขัดแย้งยิ่งขยายจากบางคนไปสู่บางกลุ่ม 

เมื่อกลุ่มอำนาจใหม่และมวลชนลุกขึ้นสู้ ความขัดแย้งก็ขยายไปทั่วประเทศ แถมข้ามไปถึงเมืองนอก จากมีคนตาย 1-2 คน จนมีคนตายเป็นร้อย
ถึงวันนี้จะเอา พ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับ...ลืมเสียเถิด ความหลัง มาล้างเลือดคงไม่ง่าย ต้องมาดูความผิดพลาด แล้วแก้ไขหรือแก้เกมตามสถานการณ์ใหม่ อย่างใจเย็น 
การปรองดองในรอยเลือดเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เร่งไม่ได้ ฝืนใจไม่จบ แต่ พ.ร.บ.ปรองดองฉบับพลเอกสนธิ มีคนได้ มีคนเสีย


1. ความผิดพลาดขั้นแรกของกลุ่มอำนาจเก่า คือแยกมิตรแยกศัตรูไม่เป็น ดันไปกำหนดให้ทักษิณเป็นศัตรูที่ต้องกำจัดทั้งๆ ที่การแย่งชิงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจก็เป็นการต่อสู้แบบนี้มานานแล้ว 
ส่วนความขัดแย้งทางการเมือง ที่ต่อสู้ผ่านระบบรัฐสภาและการเลือกตั้ง เมื่อทักษิณเสนอนโยบายที่ดีกว่า คนชื่นชมมากจนเกินครึ่งประเทศ กลับมองว่าเป็นอันตราย 
บางกลุ่มก็กลัวว่าจะไม่มีโอกาสหวนกลับมาอีก ใครอยู่ฝ่ายทักษิณก็ต้องเป็นศัตรู ยกเว้นยอมย้ายข้าง

2. ความผิดพลาดขั้นที่ 2 เมื่อกลุ่มอำนาจเก่าตัดสินใจทำการรัฐประหารในเดือนกันยา 2549 ต้องเรียกว่าเป็นการดันทุรัง ฝืนโลก เพราะเดิมกลุ่มผู้นำทหารก็ไม่กล้าทำแม้จะมีการชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลือง แต่กลุ่มอำนาจเก่าใช้แรงกดดันหลายด้านอย่างต่อเนื่อง ทหารจึงร่วมมือด้วย แต่ประชาชนก็ไม่ยอมรับ จึงต้องรีบเลือกตั้งใหม่ ซึ่งก็แพ้เหมือนเดิม
ผิดคราวนี้สร้างศัตรูขึ้นเป็นล้านๆ คน

3. ความผิดพลาดขั้นที่ 3 คือการใช้อำนาจตุลาการภิวัฒน์ในปลายปี 2551 เพื่อโค่นรัฐบาลและยุบพรรคพลังประชาชน ในครั้งนั้นกลุ่มอำนาจเก่าเห็นว่าการใช้กำลังทหารยึดอำนาจไม่เหมาะสมเพราะจะไม่มีใครในโลกยอมรับ จึงเลี่ยงไปใช้ตุลาการภิวัฒน์ตัดสิน ปลดนายกฯ ยุบพรรคพลังประชาชน ความผิดพลาดครั้งนี้มีผู้วิเคราะห์ว่าเป็นความผิดพลาด 2 ชั้น ความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์คือการใช้ตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งเป็นการดึงเอาตุลาการมาสู่วังวนอำนาจการเมือง ความยุติธรรมก็ต้องเปลี่ยนไปตามสี ตามฝ่าย ความเคารพเชื่อถือก็หายไป

ความผิดพลาดทางยุทธวิธี คือกลุ่มอำนาจเก่าให้พันธมิตรเสื้อเหลืองให้เข้าไปยึดสนามบินทั้งๆ ที่รู้ว่าใช้ตุลาการภิวัฒน์ยุบพรรคและปลดนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้อยู่แล้ว ชื่อเสียงของกลุ่มพันธมิตรฯ จึงย่อยยับดับฝังอยู่ในสนามบินพร้อมกันเสียงด่าประณามของคนในประเทศและทั่วโลก
ในยุคนั้นยังไม่มีคนเสื้อแดง กำลังมวลชนที่ตื่นตัวซึ่งอาจจะก่อให้เกิดปัญหาในการปกครองก็คือกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลือง ดังนั้น งานนี้จึงเหมือนกับการเสร็จนาฆ่าโคถึกเสร็จศึกก็ต้องฆ่าขุนพลที่เป็นอันตราย สนธิ ลิ้มทองกุล จึงได้รับลูกปืนเป็นรางวัล เพียงแต่โชคดีที่ยังไม่ตาย 
วันนี้สนธิต้องทบทวน บทบาทและรอยแผลของตนเอง หาเส้นทางถอย

ความผิดพลาดครั้งนี้ทำให้เกิดนักสู้เสื้อแดงงอกขึ้นมาจากดิน โผล่ขึ้นมาที่ท้องสนามหลวงทีละ 20-30 คน และจากนั้นก็กระจายไปทั่วประเทศกลุ่มละ 20-30 คน แต่มีเป็นหมื่นๆ แสนๆ กลุ่ม 
ความอยุติธรรมจากกลุ่มอำนาจเก่าเหมือนฝนจากฟ้าที่หลั่งลงมาให้ต้นกล้าแห่งการต่อสู้งอกงาม

4. ความผิดพลาดขั้นที่ 4 คือการปราบปราบประชาชนด้วยอาวุธสงคราม อำนาจรัฐที่ได้มาจากการข่มขู่ฉ้อฉล ฉกชิงย่อมไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน เมื่อมีการทวงอำนาจอธิปไตยคืน ผู้ปกครองกลับใช้การสั่งปราบด้วยอาวุธ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เป็นข่าวคราวดังไปทั่วโลก เด็กน้อย เสื้อแดง เหมือนได้รับถ่ายทอดพลังจากการล้อมปราบในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 พวกเขาโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งความคิดและกำลัง

ในระยะเวลาแค่เพียง 1 ปี ก็ สำแดงพลังให้เห็นในการเลือกตั้งกรกฎาคม 2554 แม้ไม่อยากได้เลือดและชีวิตเป็นปุ๋ย แต่ความผิดพลาดครั้งนี้ มีส่วนกำหนดทางเดินของคนเสื้อแดงและชะตากรรมของประเทศไทย



ฝ่ายพรรคเพื่อไทยปัจจุบัน 
กว่าจะถึงวันนี้ 
ตัดสินใจอะไรผิดพลาดบ้าง

เมื่อครั้งเป็นไทยรักไทย ทั้งทักษิณและแกนนำในพรรคเข้าใจว่าเสียงของประชาชนที่เลือกตั้งนับ 10 ล้านเสียง คือพลังที่ปกป้องรัฐบาลได้จากทุกอย่าง 
ที่จริงแล้วเสียงจากการเลือกตั้ง เพียงสามารถเอาชนะตามหลักการนับคะแนนเท่านั้น แต่การต่อสู้ทางการเมืองมิได้มีแต่การเลือกตั้งอย่างเดียว
ฝ่ายตรงข้ามใช้สื่อโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ กลุ่มมวลชนจัดตั้ง เดินขบวนกดดัน ใช้กำลังทหาร ใช้อาวุธ ดังนั้น เสียงจากการเลือกตั้งที่อยู่ในบ้านเฉยๆ จึงไม่สามารถช่วยเหลือรัฐบาลได้ 
หลังชนะการเลือกตั้งในปี 2550 ก็ถูกกดดันแบบเก่าอีก เพราะแม้เปลี่ยนชื่อพรรคเป็นพลังประชาชน แต่แนวทางและยุทธศาสตร์ไม่ปรับ ประชาชนออกมาลงคะแนนวันเดียว แล้วกลับบ้านเหมือนเดิม ก็เลยถูกยึดอำนาจซ้ำด้วยตุลาการภิวัฒน์

แต่ ปี 2551 การสรุปบทเรียนความผิดพลาด ทำให้กลุ่มไทยรักไทยเดิม เปิดเกมจัดตั้งมวลชน ตามกระแสการตื่นตัว และโต้ตอบกลับด้วยรูปแบบวิธีการที่คล้ายกันคือจัดตั้งคนเสื้อแดงสู้กับพันธมิตรเสื้อเหลือง มีทีวีจอแดงสู้กับทีวีจอเหลือง แต่ความคล้ายกันนี้กลุ่มเสื้อแดงยืนอยู่บนสัจธรรม การขยายตัวจึงมีมากกว่า 
การต่อสู้ในปี 2553-2554 ไม่ถือว่าเป็นการทำผิดพลาดเพียงแต่แกนนำอาจจะคิดว่า คงไม่มีใครโง่พอจะฆ่าคนกลางเมืองได้ ซึ่งเรื่องโง่ๆ แบบนี้กลุ่มอำนาจเก่าทำได้เสมอ และวันนี้กำลังกลายเป็นอุปสรรคสำคัญของการปรองดอง

ทุกความผิดพลาดที่กล่าวมาไม่ได้เป็นอุบัติเหตุ จึงส่งผลสะเทือนต่อสังคมไปตามรากฐานของปัญหาและที่มาของผู้สร้างปัญหา หลายด้าน หลายกลุ่ม กระทบต่ออำนาจอธิปไตยทั้ง นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ กระทบ สถาบันพระมหากษัตริย์ ทหาร สื่อมวลชน จึงเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขด่วน



ปี 2555 ทักษิณและเพื่อไทย
เดินเกมนิรโทษกรรมและปรองดอง

ภาพของสถานการณ์ที่มองเห็น กองเรือธงแดงส่งทักษิณถึงชายฝั่ง เขาโดดลงมาจากเรือส่งสัญญาณให้นักรบเสื้อแดงไม่ต้องตามมา ปล่อยนกพิราบไป 1 ฝูง ชูธงที่เขียนว่าสันติ แล้วเดินไปขึ้นรถ ซึ่งขับโดย พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เสียงฮือฮา ดังจากกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ขบวนรถก็เคลื่อนออกไปมีนักการเมืองจากพรรคร่วมรัฐบาลตามไปด้วย 109 คน แต่บนเส้นทางข้างหน้าไม่ไกลนักกลุ่มคนเสื้อฟ้าและเสื้อเหลือง โห่ร้องและตะโกนคัดค้านการปรองดองขับไล่ทักษิณ คนเสื้อแดงก็มีทั้งที่เห็นด้วยไม่เห็นด้วย

ปรากฏการณ์ที่คนชื่นชม ตั้งแต่การแสดงดนตรี การรดน้ำดำหัว การเยือนประเทศต่างๆ ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ การยอมให้มีการจ่ายเงินค่าเยียวยาผู้ชุมนุม การเฝ้ารับเสด็จที่ทุ่งมะขามหย่อง  
ปฏิกิริยาต่อการปราศรัยของทักษิณวันที่ 19 พฤษภาคม การเสนอ พ.ร.บ.ปรองดอง ของพลเอกสนธิ การชุมนุมของพันธมิตรเสื้อเหลือง และคำปราศรัยของ สนธิ ลิ้มทองกุล การคัดค้านขององค์กรต่างๆ 
สิ่งที่มองไม่เห็น คือ แต่ละฝ่ายมีอะไรมาต่อรอง มาเป็นเป้าหมาย ยังเป็นความลับ


ปรองดองแบบพลเอกสนธิ ใครได้ใครเสีย

ผู้วิเคราะห์ไม่มีข้อมูลลึกของการเจรจาลับ แต่วิเคราะห์ผลที่จะเกิดขึ้นว่าใครได้ใครเสีย

1. ทักษิณ ได้แน่นอน แต่ไม่ใช่ชัยชนะ เขามั่นใจว่าจบได้แน่ใน 6 เดือน ผู้วิเคราะห์เข้าใจว่า จบในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแก้ความขัดแย้งได้ แต่หมายถึงทักษิณจะกลับเข้าไทยได้ในเดือนพฤศจิกายน ส่วนปัญหาที่มีอยู่ก็แก้กันต่อไป แต่ไม่แน่ว่าแต่ละเรื่องจะยุ่งยากมากขึ้นหรือน้อยลง

2. พลเอกสนธิ ได้ จะพ้นผิดทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัฐประหาร หรือการกระทำอื่นๆ หลังจากนั้น จะกินอิ่มนอนหลับ อยู่ได้อย่างหรูหรา ลอยนวล

3. คนที่สั่งฆ่า และคนฆ่า ได้ แม้จะไม่มีความสุขแบบลอยนวล

4. กลุ่มที่ทำความผิดแบบยึดสนามบิน ได้ แบบลอยนวล ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว

5. กลุ่ม ส.ว. แต่งตั้ง กรรมการองค์กรอิสระทั้งหลาย จะได้รับเงินเดือนเป็นแสน จะอยู่เพื่อชี้ถูกๆ ผิดๆ แบบลอยหน้าต่อไป

6. กลุ่มนักสู้เพื่อประชาธิปไตย เสีย เสียแม้กระทั่งชีวิต แต่ถ้าใครคิดว่าได้เงินแล้วคุ้มก็เป็นอีกเรื่อง แต่คนตายถ้าเลือกได้คงไม่เอา ถ้าหมดกำลังใจ แตกแยก จะอยู่แบบลอยน้ำ กำลังทั้งขบวน จะลดลง ไม่มีแรงผลักดันความสามัคคีจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ทำไม่ง่าย

7. การพัฒนาประชาธิปไตย ซึ่งอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อ จะวกกลับไปถ้าไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ได้ ระบบยุติธรรมอาจพัฒนาเป็นสามมาตรฐาน

8. กลุ่มที่ปกป้องรัฐบาลจะลดลง เพราะการบริหารงานของรัฐบาลยังมีข้อบกพร่องมากมาย ในระดับปฏิบัติ ที่ทำให้แม้แต่กองเชียร์ก็ยังขัดใจ เช่น การจ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วม การรับจำนำข้าว และพืชผลต่างๆ ฯลฯ การบริหารจะเป็นจุดอ่อน โดยเฉพาะเรื่องทุจริต

ผู้วิเคราะห์คิดว่าเกมยื่น พ.ร.บ.ปรองดองฉบับอื่นมาประกบ คงจะมีผลทำให้เพื่อไทยดูดีขึ้น และเป็นการบีบให้แกนนำเสื้อฟ้าเสื้อเหลือง ต้องเลือกฉบับของพลเอกสนธิ เพราะพวกเขาได้เต็มๆ ดังนั้น พวกเขาจะด่าไปค้านไปแต่ยื่นมือรับด้วยความยินดี



หลายคนคงงงว่า สู้กันมาจนเลือดท่วมจอ แล้วจะจบแบบนี้หรือ ตอนลุกตื่นขึ้นมาสู้ก็ชูสังคมใหม่ ท้องฟ้าใส ยุติธรรม แต่พอถึงวันนี้ เหมือนที่ผ่านมาเป็นความฝัน ต้องเห็นรอยแผลที่กาย เห็นภาพคนตายจึงคิดได้ว่านี่เป็นเรื่องจริง และนิยายเรื่อง ฝันของนักสู้คล้ายจะจบลง แต่ทักษิณและ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ปลุกไพร่ขึ้นมาแล้ว
แม้พวกเสื้อเหลืองส่วนใหญ่จะคิดว่าตนเองเป็นผู้ดีแต่ที่จริงชีวิตก็เหมือนเสื้อแดง ทั้งคู่ทิ้งทีวีดาวเทียมไว้หลายร้อยช่อง ระบบสื่อสารจากสากลที่ทำให้ติดต่อได้ทั้งโลก 
อีกไม่นานนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็จะขนแท็บเล็ตมาให้อีกหลายล้านเครื่อง และในอนาคตแท็บเล็ต ก็จะถูกเหมือนโทรศัพท์มือถือ ระบบการค้าสากล การร่วมมือของภูมิภาค ก็จะบีบพวกปีศาจไม่ให้อาละวาดในที่มีแสงสว่าง

ดังนั้น แม้คนจะเปลี่ยนหน้าแต่การเปลี่ยนแปลงจะดำเนินต่อไป



.