http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-06-02

ชอบกล โดย คำ ผกา

.

ชอบกล
โดย คำ ผกา http://th-th.facebook.com/kidlenhentang
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1659 หน้า 89 


ปราชญ์ไทยในยุคเปลี่ยนผ่านจากรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่รัฐชาติสมัยใหม่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า "ชาติ คำนี้อาการหนักมาก" 
ณ บัดนี้ประเทศไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่าเป็นยุคแห่งการกระเสือกกระสนของกลุ่มคนที่ถูกล้างศีรษะมาให้เชื่อว่ารัฐไทยในยุคก่อนสมัยใหม่นั้นน่าอภิรมย์ จึงใคร่อยากดึงประเทศชาติไปสู่ดินแดนยูโทเปียในจินตนาการของพวกเขา ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ฉันอยากจะรำพึงออกมาเช่นกันว่า
"ประเทศไทย คำนี้อาการหนักและชอบกลนัก"

ชนชั้นนำของฝ่ายที่สูญเสียผลประโยชน์หากประเทศเดินไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แปลว่าประชาชนเป็นเจ้าของประเทศและมีศักดิ์ศรี มีสิทธิเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย ทำงานอย่างหนักในช่วงห้าทศวรรษที่ผ่านมาในการสร้างนิทานว่าด้วย "ความเป็นไทยเดิม" จากนั้นกวาดเอา "ข้อเท็จจริง" ทางประวัติศาสตร์ไปซุกซ่อนให้พ้นหูพ้นตาประชาชน เพื่อสัมฤทธิผลในการสร้าง "ความจริง" ว่าด้วยความเป็นไทยเดิมเพื่อจะบอกคนไทยว่า "เราอยู่กันมาอย่างนี้อย่างน้อยไม่ต่ำว่า 700 ปี
นิทานว่าด้วย "ความเป็นไทยเดิม" ที่ปัจจุบันนี้ "คนไทย" ไม่ได้คิดว่าเป็น "นิทาน" แต่เชื่อว่าเป็น "สัจจะ" นั้นมีศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่คำว่า "วัฒนธรรมประเพณีไทยอันสูงส่งล้ำค่าหาใครเหมือน" และขอเพียงแต่เราสามารถผดุงวัฒนธรรมประเพณีไทยอันสูงส่งล้ำค่าหาใครเหมือนนี้เอาไว้ให้ได้ ประเทศชาติของเราก็จะร่มเย็นเป็นสุขปราศจากปัญหาใดๆ มาแผ้วพาน

เราไม่จำเป็นต้องมีประชาธิปไตย เราไม่ต้องมีการเลือกตั้ง เราไม่ต้องมีแนวคิด บรรทัดฐานว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ฯลฯ เพราะวัฒนธรรมประเพณีไทยอันสูงส่งของเรานี้ตอบโจทย์ทุกอย่าง แก้ได้ทุกปัญหา แถวบ้านอาจเรียกว่า "ยาผีบอก" 

การถูกล้างศีรษะมาให้เชื่อว่า "นิทาน" คือสัจจะ ทำให้คนไทยกลายเป็นโรคกลัว "ความจริง"



ใครอย่ามาบอกว่า เมืองไทยเป็นซ่องของโลก กรี๊ดดดดดดดดดดดด-อาการฮิสทีเรียจะขึ้นทันที 
เมื่อฮิสทีเรียขึ้น เหตุผลก็วายป่วง ตรรกะก็หลุดลอย จากนั้นยาผีบอกจะเข้าสิง คนไทยจะหลับตาพนมมือท่องคาถาว่า  
"ประเทศไทยของเรามีวัฒนธรรมอันเก่าแก่ดีงาม ไอ้-อีตนใดมาบอกว่าเมืองไทยเป็นซ่องของโลก มันผู้นั้นกำลังทำลายวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทย" (แปลว่า การมีอยู่ของซ่องนั้นไม่มีผลต่อประเพณีอันดีงามของไทยตราบเท่าที่ไม่มีใครพูดถึงมัน)

ความหมกมุ่นหลงใหลในอาการฮิสทีเรียทำให้คนไทยเหล่านี้ไม่สนใจในข้อเท็จจริงที่ว่า ประเทศไทยนั้นมีกฎหมายห้ามค้าประเวณีก็เมื่อล่วงเข้าทศวรรษที่ 2500 แล้ว ด้วยแรงกดดันจากสหประชาชาติที่เห็นว่าค้ามนุษย์นั้นละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน ในยุคสมัยของ "แม่พลอย" ที่คนไทยใฝ่ฝันหาและก่อนหน้านั้น การค้าประเวณีหรือการมีซ่องหาใช่เป็นการผิดกฎหมายแต่อย่างใดไม่


อาการฮิสทีเรียรังเกียจความจริงยังปรากฏให้เห็นอีกเมื่อเลดี้กาก้าทวีตข้อความขำๆ กึ่งหยอกล้อว่า มาบางกอกก็ต้องซื้อโรเล็กซ์ปลอมสักเรือน
มุขนี้ของ เลดี้ กาก้า ออกจะเก่า เพราะหนังฮอลลีวู้ดกี่เรื่องต่อกี่เรื่อง หากจะพูดถึงกรุงเทพฯ ก็พูดถึงอยู่สองเรื่องคือ พัฒน์พงศ์และโรเล็กซ์ปลอม ประเทศไทยไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาล เขาล้อเล่นขำๆ แล้วก็แล้วไป ไม่มีใครมาจดจำ แต่คนไทยไม่! ผีแห่งประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามและชื่อเสียงของประเทศไทยก็มาสิงร่างให้เกิดอาการดิ้นพล่านเป็นฮิสทีเรียเข้าอีกครั้ง 
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด อีฝรั่งเลว อีปากพล่อย มาพูดถึงประเทศไทยอันดีงามสูงส่งของเราแบบนี้ได้อย่างไรกัน เราต้องจัดการมัน เราต้องยื่นหนังสือถึงสหรัฐอเมริกาข้อหาหมิ่นประเทศไทย 

ก็บอกแล้วไงว่า ต่อให้ประเทศไทยมีซ่อง มีบ่อน มีการค้ามนุษย์ มีการใช้แรงงานเด็ก มีการกดขี่แรงงานต่างด้าว แต่มันจะโอเคถ้าไม่มีใครเอ่ยถึงมัน ถ้าอยากเอ่ยถึงประเทศไทย เราจะเขียนโพยให้ดังนี้ 
"ประเทศไทยเป็นประเทศที่สวยงาม เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เป็นสถานที่อร่ามมลังเมลืองไปด้วยแสงสุกสกาวของวัดวาอารามเปรียบประดุจดั่งดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ เหมือนสวรรค์ได้ชะลอมาอยู่บนผืนโลก ผู้คนช่างมีอัธยาศัยดี ใจเย็น ไม่โกรธง่าย ไม่ฉุนเฉียวเอาแต่ใจเหมือนคนตะวันตก อาหารไทยนั้นนอกจากจะอร่อยแล้วยังประณีต ซับซ้อนสะท้อนถึงอารยธรรมอันเก่าแก่ยาวนานของคนในชาตินี้ ฉันรักดินแดนแห่งนี้ อยากกลับมาหารอยยิ้มของผู้คนที่นี่ โอ้ ประเทศไทย"



คนไทยอายมากเมื่อฝรั่งมาหยอกว่า มาบางกอกแล้วจะซื้อโรเล็กซ์ปลอม อ้างว่าทำให้ประเทศไทยเสื่อมเกียรติ แต่คนไทยไม่เคยอายเลยว่าประเทศของตนนั้นมีการรัฐประหารบ่อยไม่แพ้ชาติใดในแอฟริกา ประเทศไทยไม่เคยอายที่มีประชาชนมือเปล่าถูกสังหารในใจกลางเมือง 

และเราไม่เคยอายเลยหรือกับการอยู่ร่วมกับคนในชาติที่ดวงใจเย็นทมิฬ สามารถ เพิกเฉย กับซากศพของเพื่อนร่วมชาติ ทั้งสามารถออกมาล้าง ทำความสะอาดถนนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งยังสามารถซ้ำเติมคนตาย และผู้สูญเสียว่า "ควายเหล่านั้นสมควรตาย"

ทั้งไม่แยแสกับการมีนักโทษการเมือง และอีกสารพัดปัญหาที่สาหัสกว่าการมีโรเล็กซ์ปลอม 
ทั้งไม่ยอมรับว่า ธุรกิจของปลอมก็สร้างรายได้ให้กับประเทศเหมือนธุรกิจซ่องโสเภณี


ลักษณาการเช่นนี้เหมือนผีปอบที่อยู่กับการลักลอบกินตับกินไตกินเลือดสดในที่ลับก่อนจะเอามือปาดเลือดที่ริมฝีปาก คว้าสูท มาสวม แล้วเก๊กหน้าเป็นมนุษย์ผู้มีอารยธรรมมาอยู่ในที่แจ้ง พอมีคนจับได้ว่า เฮ้ย ตะกี๊แอบกินเลือดที่ไหนมาก็ออกอาการกรีดร้อง "ไม่จริ๊ง ไม่จริง"

คนเหล่านี้คือผีดิบชัดๆ


ถัดจากโรเล็กซ์เป็นดราม่าเรื่องชฎา ความเป็นไทยนี้ชอบกลจริงๆ เพราะจู่ๆ ก็สามารถไปขี้ตู่กลางนาขี้ตาตุ๊กแกไปบอกว่าชฎาเป็นของไทยนะคร้าบพี่น้อง ไม่นึกกลัวว่าเขมรหรือชวา ลาว พม่าเขาจะออกมาบอกว่า ชฎาไม่ใช่ของ "ไทย" แต่เพียงผู้เดียว

ชฎาในละครลิง ชฎาในเวทีแฟชั่นวีก ชฎาในเวทีประกวดนางงาม ชฎาบนศีรษะนางรำที่พระพรหมเอราวัณ ชฎาที่สำเพ็ง ชฎาที่พาหุรัด ชฎาที่กลายเป็นโคมไฟ กลายเป็นของแต่งบ้าน และอีกนานาที่ชฎาในโลกทุนนิยมจะกลายเป็น "สินค้า"
เวทมนตร์ คาถาของมันเกิดจากวิถีแห่งการบริโภคในนามของ "ไลฟ์สไตล์" และ/หรือ "รสนิยม" การ "สวมใส่ชฎา" ในโลกของทุนนิยมก็เหมือนการ "สวมใส่" รสนิยม และสไตล์ลงไปในตัวตนของเราผ่าน "สินค้า" ในตลาด จากนั้นมันจึงสามารถสำแดงแผ่รังสี อำนาจ ไปตามวิถีแห่งเจตนารมณ์หรือแม้กระทั่งกามารมณ์ของผู้สวมใส่ (อย่าบอกว่าชฎาในแคตวอล์กของแฟชั่นวีกหรือในชุดประจำชาติที่ไปประกวดมิสยูนิเวิร์สไม่มีสิ่งที่เรียกว่า sexuality) 

แต่ผีดิบคงไม่ฟัง เพราะผีดิบคอยแต่จะท่องคาถาผีบอก  
"ความเป็นไทยของข้าใครอย่าแตะ" ถามต่อว่า "ความเป็นไทยคืออะไร?" หากไม่ทำหน้า "แบ๊ะ แบ๊ะ" ก็จะถลึงตา แลบลิ้นยาว หันมาตวาดว่า "ใครเขาถามกันว่าความเป็นไทยคืออะไร ความเป็นไทยก็คือความเป็นไทยอยู่ตรงนี้อยู่ที่มาชั่วกัปชั่วกัลป์ที่บรรพบุรุษของเราเฝ้ารักษาเอาไว้เป็นมรดกให้อีพวกเนรคุณอย่างมึงมาเสพสุขอยู่นี่ไง พวกมึงมันพวกเนรคุณ หนักแผ่นดิน ไม่รักความเป็นไทยก็ไปลาออกจากความเป็นไทย คืนบัตรประชาชนด้วย"-จบข่าว

เลยไม่ได้ถามต่อว่า "บัตรประชาชน" ในประเทศอื่นๆ เป็นบัตรที่เอาไว้สมัครเข้าหรือลาออกจากสัญชาติได้ด้วยเหรอจ๊ะ?
เลยได้ความรู้เพิ่มอีกอย่างว่าในกระบวนการทำนิทานเรื่องความเป็นไทยให้กลายเป็นสัจจะนั้น "การสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้กับบัตรประชาชน" ก็เป็นหนึ่งในกระบวนการนั้นด้วยและประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง 
เพราะคนไทยจำนวนมากจินตนาการไม่ได้ว่ามีอีกหลายสิบประเทศในโลกนี้ที่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "บัตรประชาชน"


ความเป็นไทยของผีดิบเหล่านี้มันชอบกลตรงที่ ในยามปกติผีดิบไม่เคยดูโขน ไม่เคยรู้จักละครร้อง ละครรำ ไม่รู้ว่าเสภาคืออะไร คนเหล่านี้อาจจะดูหนังเรื่องคนโขน อาจจะอินกับระนาดเอก แต่ก็บอกไม่ได้อยู่ดีว่าอะไรคือ "ดนตรีไทย" เพราะปกติแล้วผีดิบเหล่านี้ก็ใช้ชีวิตเหมือนคนไทยทั่วไปนี่แหละคือ เล่นเฟซบุ๊ก ดูหนัง เดินห้าง กินอาหารญี่ปุ่นที่ฟูจิ คนเหล่านี้ใช้กระเป๋าราคาแพงเพราะว่ามันแพง เท่าๆ กับที่รู้ว่าอะไรที่เป็นฟ้อนๆ รำๆ มีชฎาต้องเป็นวัฒนธรรมไทย เข้าใจว่ามีแต่คนไทยเท่านั้นที่กินเผ็ดได้ 
แต่ผีดิบเหล่านี้แหละที่จะบอกว่าตนเองรักความเป็นไทยยิ่งชีพพร้อมจะสละชีพปกป้อง พอ "รบ" กับพวก "ไม่รักไทย" เสร็จก็ไปเดินห้าง กินข้าวที่ฟูจิ เล่นไอแพด ไอโฟนของตัวเองต่อ 
พอจะชวนไปดู "ลิเก" เสียหน่อยก็จะบอกว่า "อุ๊ยดีจัง น่าชื่นชม ที่เธอเห็นคุณค่าความเป็นไทย แต่เราไม่ว่าง" ครั้นจะชวนไปดูโอเปร่า หล่อนก็จะบอกว่า "โอ๊ย ไปดูของฝรั่งทำไม เราไปดูทวิภพที่รัชดาลัยดีกว่า"

ความเป็นไทยอันชอบกลยังมีให้เห็นอีกมากมาย ทั้งเรื่องทำไมนายกฯ ไม่ใส่ชุดประจำชาติเวลาไปต่างประเทศ ซึ่งก็อยากจะถามต่อเหมือนกันว่าจะเอาชุดประจำชาติ "ไหน" ดี? ชุดประจำชาติของไพร่ไทยนั้นมีผ้าลุ่ยๆ ผืนเดียวพันตัวเท่านั้นกระมังค่าที่ทรัพยากรทั้งหมดถูกดูดไปไว้ที่ศูนย์กลางของ "มณฑล" หมดแล้ว 
ไพร่จึงไม่สามารถฟุ่มเฟือยกับเครื่องนุ่งห่ม เพราะลำพังจะหากินก็ลำบากเหลือประมาณ



ล่าสุดของความชอบกลแห่งความเป็นไทยที่ได้พบคือในเฟซบุ๊กของผู้ที่อวดอ้างว่าตนเป็นทั้งปัญญาชนและสื่อที่มี "คุณภาพ" ได้ทำการตัดต่อภาพใบหน้าของ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ กับเครื่องแต่งกายของชาวอะบริจิ้น พร้อมทั้งเขียนข้อความว่า "นายกฯ ไปออสเตรเลียน่าจะใส่ชุดประจำชาติออสเตรเลีย"
ฉันไม่มีปัญหากับการล้อเลียนนายกรัฐมนตรี เพราะนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจในสังคมประชาธิปไตยที่ไหนก็ย่อมถูกล้อเลียนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สะท้อนความ "เสื่อม" ในความเป็นไทยอันชอบกลนี้คือการดูถูก เหยียดหยาม วัฒนธรรมอะบอริจิ้น ซึ่งน่าจะจบไปตั้งแต่พ้นยุคอาณานิคมไปแล้ว
และประเทศออสเตรเลียก็ศิวิไลซ์มากพอที่จะยกย่องให้อะบอริจิ้นเป็น "เจ้าของเดิม" ของประเทศออสเตรเลีย แต่นัยที่ปรากฏในภาพและข้อความของผู้ที่อ้างตนว่าเป็นปัญญาชนผู้นี้คือ จิตไร้สำนึกของเขาที่มองไปยังคนพื้นเมืองด้วยสายตาเหยียดหยาม ขบขัน และคิดว่าคนเหล่านั้นคือคนไร้วัฒนธรรม

ปัญญาชนผู้นั้นคงไม่ทราบว่า คนไทยก่อนฝรั่งจะเข้ามาบังคับให้สวมเสื้อนั้นก็แต่งกายไม่ได้แตกต่างไปจากเผ่าอะบอริจิ้นเท่าไหร่ แต่ที่น่าอายเสียยิ่งกว่าการมีซ่องและการมีโรเล็กซ์ปลอมในประเทศไทยคือการที่เรามีแต่คนไทยที่ไม่รู้จักกำพืดของตนแล้วเฝ้าพร่ำบ่นคาถาผีบอกไปเหยียดหยาม ดูหมิ่นคนในวัฒนธรรมอื่น

ความเป็นไทยอันชอบกลนี้มันชอบกลและอาการหนักมากไม่ใช่เพราะเรามีอำมาตย์ แต่เพราะประเทศไทยเราเต็มไปด้วยไพร่ที่ไม่รู้กำพืด



.