http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-06-10

ปริศนาพระแก้วมรกต(1) จากปาฏลีบุตรถึงนครอินทปัตถ์ โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์

.

ปริศนาพระแก้วมรกต (1) จากปาฏลีบุตรถึงนครอินทปัตถ์
โดย ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ www.facebook.com/pensupa.sukkatajaiinn คอลัมน์ ปริศนาโบราณคดี
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 08 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1660 หน้า 76


พระแก้วมรกต หรือ "พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร" เปรียบได้ดั่งมหากาพย์แห่งสุวรรณภูมิ ปรากฏรายละเอียดอยู่ใน "ตำนานรัตนพิมพวงศ์" ซึ่งรจนาโดยพระพรหมราชปัญญา พระภิกษุชาวล้านนา มีชีวิตอยู่ในช่วงระหว่างรัชกาลของพระเจ้าติโลกราชถึงพระเมืองแก้ว หรือช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-21 ถือเป็นยุคทองของวรรณกรรมล้านนาที่เกิดความนิยมในการรจนาด้วยบาลีปกรณ์
แม้ว่าชาวอินเดีย-ลังกา-พม่า จักยืนยันว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องของพระแก้วมรกตในประเทศของพวกตนมาก่อน กอปรกับรูปแบบศิลปกรรมของพระแก้วมรกตเองก็ได้มีนักโบราณคดีหลายท่านออกมาชี้ให้เห็นว่าเป็น "ศิลปะยุคล้านนาสกุลช่างเชียงแสน-พะเยา" สร้างราว 500-600 ปีมานี่เอง
กล่าวคือสร้างขึ้นร่วมสมัยกับยุคที่เขียนตำนาน เพียงแต่มีการลากยาวย้อนยุคกลับไปสู่อดีตเพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่องค์พระพุทธรูป

อย่างไรก็ดี ในละแวกเพื่อนบ้านแถบสุวรรณภูมิ ชื่อของพระแก้วมรกต นอกเหนือจากแผ่นดินล้านนาที่ปรากฏอยู่ในตำนานมูลศาสนา ชินกาลมาลีปกรณ์ พงศาวดารโยนก และพงศาวดารเหนือแล้ว ยังมีการเขียนถึงอยู่ด้วยในพงศาวดารหลวงพระบาง และพงศาวดารกรุงกัมพูชา

ด้วยเหตุนี้ เงื่อนงำของพระแก้วมรกต ระหว่าง "ตำนาน" กับ "องค์พระปฏิมากร" จึงสร้างปริศนาอย่างไม่รู้จบว่ามีความน่าเชื่อถือจริง มากน้อยแค่ไหน


เส้นทางอันยาวไกลของพระแก้วมรกตที่เราพอจะคุ้นๆ กันอยู่นั้น เริ่มขึ้นที่ประเทศอินเดียเมื่อ พ.ศ.500 โดยพระอินทร์กับพระวิสสุกรรมได้นำหินหยกสีเขียวขุ่นมาสลักเป็นพระพุทธรูปถวายแด่พระนาคเสนเถระ ณ กรุงปาฏลีบุตร พระนาคเสนเฉลิมนามว่า "พระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต" จากนั้นได้ทำนายว่าตราบใดที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองขึ้น ณ แว่นแคว้นใดก็ตาม พระแก้วมรกตก็จักเคลื่อนย้ายไปสถิต ณ แผ่นดินผืนนั้น
โดยมีชื่อทวีปทั้ง 6 เรียงกันคือ ชมพูทวีป ลังกาทวีป กัมโพชทวีป โยนกทวีป สุวรรณทวีป และปมหลวิชัย 
มีข้อสังเกตว่า พระแก้วมรกตได้ผ่านการประดิษฐานตามคำทำนายมาแล้วจริงถึง 5 ทวีป ณ ปัจจุบัน กรุงเทพฯ ของเราย่อมหมายถึงสุวรรณภูมิ หรือสุวรรณทวีป

ถ้าเช่นนั้น ปมหลวิชัยคือทวีปอะไร อยู่ที่ไหน หากคำพยากรณ์เป็นจริง ก็ขอให้ช่วยกันระแวดระวังพระแก้วมรกตไว้ให้ดีๆ ก็แล้วกัน เพราะการเดินทางนั้นยังไม่สิ้นสุด 
น่าสงสัยเหมือนกันว่า ในเมื่อคนแต่งเรื่องพระแก้วมรกต เป็นคนในโยนกทวีป ไฉนจึงไม่ให้จุดอวสานจบลงที่ล้านนา?

เมื่อชมพูทวีปเกิดจราจลราวปี พ.ศ.800 กษัตริย์กรุงปาฏลีบุตรนามพระเจ้าศิริกิตติกุมาร ได้นำพระแก้วมรกตลงสู่สําเภาลี้ภัยไปยังลังกาทวีป พระเจ้าแผ่นดินลังกา (ตำนานไม่ได้ระบุพระนาม) ทรงปีติยินดีเป็นที่ยิ่ง  
ผ่านไปอีก 200 ปี ประมาณ พ.ศ.1000 พระเจ้าอนิรุทธแห่งกรุงพุกามส่งพระราชสาส์นไปยังลังกา เพื่อขอคัดลอกพระไตรปิฎกพร้อมกับพระแก้วมรกต

ตำนานบางเล่มระบุว่าทางลังกายินดีมอบให้ แต่สำเภาที่บรรทุกพระแก้วมรกตถูกพายุพัด พลัดเข้าไปทางอ่าวกัมพูชาแทน
ในขณะที่บางตำนานบอกว่าทางลังกาอิดเอื้อน กระทั่งพระเจ้านารายณ์ราชสุริยวงศ์ เจ้ากรุงอินทปัตถ์มหานคร แคว้นกัมพูชา กรีธาทัพมาช่วงชิงขอพระแก้วมรกตตัดหน้าพระเจ้ากรุงพุกามชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด 

หลังจากที่พระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่ ณ กรุงอินทปัตถ์ช่วงระยะหนึ่ง (ไม่ได้ระบุว่านานแค่ไหน) กระทั่งแผ่นดินของพระเจ้าเสน่ห์ราช (บ้างก็ว่าสมัยของพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์) ได้เกิดพายุฝนขนาดใหญ่ตกเป็นนิจกาลยาวนานหลายเดือน เหตุเพราะกษัตริย์ไม่ได้ตั้งอยู่ในศีลในธรรมดีแต่รังแกเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์  
แผ่นดินกัมพูชาก็มิอาจรองรับพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์นั้นได้อีก ทำให้พระมหาเถระรูปหนึ่ง (ไม่ได้ระบุนาม) แอบอัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นสําเภาหนีไปถวายพระเจ้าอาทิตยราช เจ้าผู้ครองนครอโยธยา 

ขอพักตำนานเรื่องพระแก้วมรกตไว้เพียงเท่านี้ก่อน เพื่อมิให้หลงประเด็นที่ต้องการจะวิเคราะห์



ปัญหาก็คือ ตำนานเรื่องนี้มีลักษณะ "กึ่งเรื่องเล่า-กึ่งอ้างอิงเหตุการณ์จริง" คือมีความพยายามที่จะหยิบยกนามของบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงๆ ในประวัติศาสตร์มาเป็นพยานเพื่อเพิ่มน้ำหนัก 
เริ่มจาก "พระนาคเสน" ซึ่งเรารู้จักกันดีถึงกิตติศัพท์ว่าเคยเป็นผู้อาสาพระเจ้ากนิษกะ โต้ตอบปัญหากับ "เมนานเดอร์" แม่ทัพกรีกที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชส่งให้มารุกรานชาวอินเดีย ทว่า เมนานเดอร์จนมุมต่อปริศนาธรรมต้องยอมพ่ายแพ้ หันมานับถือศาสนาพุทธ เปลี่ยนนามเป็น "พญามิลินทร์" ยุคนั้นตรงกับ พ.ศ.500 เศษ ถือเป็นยุคแรกของการสร้างพระพุทธปฏิมาเป็นรูปเคารพ ในทางศิลปกรรมเรียกว่า ศิลปะแบบคันธารราษฎร์  
ซึ่งถ้าหากตำนานเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในยุคพระนาคเสน-พญามิลินทร์ พุทธศิลป์ของพระแก้วมรกต ย่อมเป็นรูปแบบคันธารราษฎร์ แต่นี่กลับไม่ใช่

อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่า วัดที่พระนาคเสนได้รับพระแก้วมรกตนั้น มีชื่อว่าวัดอโสการาม อันเป็นชื่อเดียวกันกับวัดอโสการามที่เชียงใหม่ อีกนามหนึ่งของวัดป่าแดงหลวง วัดที่มีการรจนาตำนานพระแก้วมรกตนั่น 
ในขณะที่มีการเอ่ยถึงพระนาคเสน บุคคลที่มีตัวมีตนเป็นๆ แต่ครั้นพอมาถึงตอนที่กล่าวถึงกษัตริย์กรุงลังกา กลับไม่ระบุพระนามให้แน่ชัด มีแต่เพียงศักราช พ.ศ.800 เท่านั้นที่พอจะให้คลำทางได้บ้างว่าควรตรงกับรัชกาลใด
จะเป็นพระเจ้าโคฐาภัย (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.796-809) หรือพระเจ้าเชฏฐติสสะ (พ.ศ.809-819) ล่ะหรือ?
แต่เมื่อประเมินดูภาพรวมแล้ว ทั้งสองรัชกาลนี้กรุงอนุราธปุระในลังกาต่างก็เกิดเหตุจลาจลวุ่นวาย มีการเผยแผ่มาของศาสนาพุทธลัทธิมหายานที่สำนักอภัยคีรี พระสงฆ์หลายรูปที่เลื่อมใสนิกายใหม่นี้ถูกปราบต้องหลบหนีไปอินเดีย ดูๆ แล้วรัชสมัยนี้ไม่น่าจะเหมาะสมกับแผ่นดิน "เนื้อนาบุญ" ในการรองรับพระแก้วมรกตจากอินเดียได้ ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นการ หนีเสือปะจระเข้

แต่หากเราไม่สนใจตัวเลขกลมๆ มองเลยลงมาอีกสักนิด พบว่าปี พ.ศ.854 สมัยของพระเจ้าสิริเมฆวัณณะมหาราชองค์หนึ่งแห่งลังกานั้นน่าสนใจกว่า เพราะพระองค์ทรงได้รับพระทันตธาตุ หรือพระเขี้ยวแก้ว มาจากแคว้นกลิงคราฐของอินเดียซึ่งตรงกับสมัยของพระเจ้าสมุทรคุปต์
อาจเป็นไปได้ว่า ผู้รจนารัตนพิมพวงศ์ อาจต้องการสื่อถึงเหตุการณ์สำคัญล้อหน้าประวัติศาสตร์ตอนนี้ก็เป็นได้ เพียงแต่ระบุศักราชคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย


ที่น่าสนใจยิ่ง คือการเอ่ยนามของมหาราชแห่งกรุงพุกาม "พระเจ้าอนิรุทธ" หรือ "อโนรธา" ไว้อย่างชัดแจ้ง แต่ต้องขอประทานโทษด้วยที่ศักราชมีความแตกต่างกันอย่างมากถึง 500-600 ปี  
พระเจ้าอนิรุทธมหาราช ครองราชย์ระหว่างปี 1587-1620 ไม่ใช่ พ.ศ.1000 เหมือนที่ในตำนานระบุ พระองค์เป็นบุคคลที่มักถูกนำมาอ้างถึงบ่อยๆ ไม่เพียงแต่ตำนานเรื่องพระแก้วมรกตเท่านั้น แต่ยังปรากฏนามว่าเป็นผู้สร้างพระสิขีปฏิมาศิลาดำอีกด้วย เรื่องนี้เนื้อหาอีนุงตุงนังเข้าไปใหญ่ เพราะเอายุคสมัยของอโนรธาผู้นี้ไปพัวพันกับเหตุการณ์สมัยพระนางจามเทวี ซึ่งเกิดก่อนราว 3-4 ศตวรรษ

สรุปง่ายๆ ก็คือคนสมัยก่อน เมื่อต้องการเอ่ยถึงกษัตริย์พม่า ไม่รู้จะเรียกขานนามว่าอย่างไรดี เลยเหมาใช้ชื่อ "อนิรุทธ" เอาทั้งหมดดื้อๆ ง่ายดี
แต่การใช้ชื่อ "อนิรุทธ" ในตำนานพระแก้วมรกตครั้งนี้หาใช่การมั่วนิ่มไม่ ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรพุกามกับลังกามีอยู่จริงในสมัยของพระองค์ แต่เป็นเรื่องที่กลับตาลปัตรกัน 
ความจริงมีอยู่ว่า รัชสมัยของพระเจ้าวิชัยพาหุที่ 1 แห่งราชวงศ์โปลนนาลุวะในลังกา (1589-1653) ได้มีชาวโจฬะจากอินเดียใต้ยกทัพมารุกราน พระเจ้าวิชัยพาหุทราบกิตติศัพท์ความเข้มแข็งเด็ดขาดของพระเจ้าอนิรุทธจึงได้ขอความช่วยเหลือ  

เมื่อพระเจ้าอนิรุทธช่วยขับไล่พวกโจฬะแล้ว พระเจ้าวิชัยพาหุมีพระราชประสงค์จักฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่สูญหายไปจากลังกา พระเจ้าอนิรุทธจึงได้ส่งพระมหาเถระพร้อมคัมภีร์พระไตรปิฎก รวมทั้งช้างเผือก 1 เชือกไปถวายพระเจ้ากรุงลังกา
ขากลับสมณทูตของพุกามได้ทูลขอพระเขี้ยวแก้ว แต่พระเจ้าวิชัยพาหุที่ 1 มอบองค์จำลองมาให้ หลังจากนั้นไม่นานพระสงฆ์ในลังกาต้องนำพระเขี้ยวแก้วไปซ่อนไว้ในถ้ำที่แคว้นโรหณะ

เห็นได้ว่าพระภิกษุผู้รจนารัตนพิมพวงศ์ คงได้ยินได้ฟังเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพุกามกับลังกามาแล้ว ยิ่งชื่อของอนิรุทธนั้นโด่งดังเป็นที่รู้จักของชาวล้านนามาตั้งแต่ครั้งหริภุญไชย เพียงแต่อาจไม่ทราบระยะเวลาที่แน่ชัด พร้อมกันนั้นก็คงได้ยินเรื่องการขอคัมภีร์พระไตรปิฎกระหว่างพุกามกับลังกาด้วยเช่นกัน ทว่าอาจสับสนว่าใครเป็นฝ่ายขอใคร

และแน่นอนที่สุด พระพรหมราชปัญญาต้องทราบเรื่องการขอพระเขี้ยวแก้วไปยังกรุงพุกาม จึงได้นำเอารายละเอียดเหล่านี้มาผูกโยง แต่งเป็นเหตุการณ์ในตำนานพระแก้วมรกต ดูเผินๆ แล้วสมจริงเพราะมีการอ้างชื่อบุคคลสำคัญอย่างอโนรธา แต่ผิดฝาผิดตัวไปนิด เพราะในความเป็นจริงนั้นพระเจ้าอนิรุทธเขาเป็นพระเอกขี่ม้าขาว อุตส่าห์ยกทัพมาช่วยเหลือลังกาให้พ้นจากเงื้อมมือโจฬะ พร้อมยังนำเอาพระไตรปิฎกมามอบให้อีก 
แต่กลับถูกจารึกนามในตำนานพระแก้วมรกตว่าเป็นคนเกเร แรกๆ ยกทัพมาขอคัมภีร์พระไตรปิฎก ได้ไปแล้วยังเกิดความโลภอยากได้พระแก้วมรกตอีกองค์ ซ้ำบุญไม่ถึงสู้กษัตริย์ขอมไม่ได้ เป็นซะงั้น  
สะท้อนให้เห็นว่า ภาพลักษณ์ชาวลังกาในสายตาของพระภิกษุล้านนานั้นเปรียบเสมือนหิ้งบูชาอันสูงสุดเสมอ ทั้งๆ ที่บางยุคบางสมัยลังกาก็เคยเพลี่ยงพล้ำ ถึงกับต้องขอความช่วยเหลือจากพม่าให้ไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนามาแล้ว



หันมามองกษัตริย์กัมพูชาดูบ้าง ว่ามีใครไหมที่เคยยกทัพไปตีลังกาเพื่อแย่งชิงพระพุทธรูปองค์สำคัญ ถ้ามี วรมันองค์นั้นก็ต้องศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ซึ่งส่วนใหญ่กษัตริย์ขอมมักเป็นฮินดู หรือไม่ก็พุทธมหายาน แล้วจะไปยุ่มย่ามอะไรกับกรุงลังกาซึ่งเป็นพุทธเถรวาทจ๋า?
ตำนานตอนนี้ไม่ได้ระบุศักราชเสียด้วย แต่ก็พออนุโลมได้ว่า ต้องอยู่ในช่วงไล่เลี่ยหลังสมัยพระเจ้าอนิรุทธกับพระเจ้าวิชัยพาหุที่ 1 เล็กน้อย
ถ้าเช่นนั้นควรตรงกับสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 แห่งอาณาจักรยโสธรปุระ ใช่หรือไม่ เนื่องจากครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1553-1593 แถมยังมีชื่อพ้องจองกับที่ตำนานระบุไว้ว่า "นารายณ์สุริยวงศ์"  
ความเป็นจริงก็คือ สุริยวรมันที่ 1 พระองค์นี้เป็นกษัตริย์ที่นิยมชมชอบในศาสนาฮินดูมากกว่าพุทธ มีการเติบโตและขยายตัวของเทวาลัยขึ้นมากมายเป็นดอกเห็ด
หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเอากองทัพเรือไปช่วงชิงพระแก้วมรกตที่ชาวพุกามเขาอยากได้แต่อย่างใดเลย ยกเว้นเสียแต่ว่าลมเพลมพัดพาเรือที่บรรทุกพระแก้วมรกตมาเกยตื้นที่ปากอ่าวเมืองอินทปัตถ์เอง

ในเมื่อแผ่นดินขอม (อินทปัตถ์) ครั้งกระนั้นนับถือฮินดู แน่นอนว่าฟ้าดินย่อมอาเพศเป็นเหตุให้พระแก้วมรกตต้องจรลีเร่ร่อนมาสู่กรุงอโยธยา

ถือเป็นการปรากฏขึ้นครั้งแรกของพระแก้วมรกตบนแผ่นดินสยาม แต่ดูเหมือนยังไม่พ้นภาพรวมของกัมโพชทวีป เพราะยังมิได้ขึ้นสู่โยนก
แต่ก่อนจะข้ามไปยังโยนก ปริศนาหนึ่งที่คาใจนักโบราณคดีทั้งประเทศมานานก็คือ "อโยธยา" ที่ว่านั้นอยู่ที่ไหนกันแน่

พระนครศรีอยุธยา ชัยนาท ลพบุรี หรือลำพูน?



* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

อ่านตอนที่สอง - ปริศนาพระแก้วมรกต(2) จากอโยชฌาถึงวชิรปราการ โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์  
ที่ http://botkwamdee.blogspot.com/2012/06/p2emrbd.html



.