http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-06-09

คอก โดย คำ ผกา

.

คอก
โดย คำ ผกา http://th-th.facebook.com/kidlenhentang
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 08 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1660 หน้า 89


“วันนี้ท่านเจริญสติแล้วหรือยัง?”
สสส. น่าจะทำแคมเปญนี้ทดแทนแคมเปญสุขภาพอันเก่าล้าสมัยที่บอกว่า "วันนี้คุณดื่มนมแล้วหรือยัง?" เพราะล่าสุด ได้มีการยกย่องให้ การ "เจริญสติ" เป็นยาแก้สารพัดโรค

เช่น หาก สตีฟ จ็อบส์ รู้จักการเจริญสติก็อาจจะไม่ตายเร็วเช่นนี้ มิพักต้องพูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่า สตีฟ จ็อบส์ สนใจในพุทธศาสนานิกายเซนมากว่า 30 ปี และยังเป็นผู้ประพฤติมังสวิรัติ 
ทว่า มะเร็งคือมะเร็ง ไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าการเจริญสติจะทำให้ผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งอายุยืนขึ้น แต่ก็นั่นแหละ ในประเทศนี้ยังมีผู้เคยกล่าวไว้ว่า "อย่างมงายในวิทยาศาสตร์" ทั้งยังเคยกล่าวว่า "มนุษย์สมัยก่อนเหาะเหินเดินอากาศได้"

น่าแปลกใจต่อไปอีกว่า หากไม่มี "วิทยาศาสตร์" จะมีเทคโนโลยีดิจิตอล จะมีคอมพิวเตอร์ จะมี สตีฟ จ็อบส์ และจะไม่มีไอแพด ไอโฟน ที่ท่านผู้เผยแผ่วจนะยกย่องว่าเป็น "อัจฉริยะ" หรือไม่?
น่าแปลกใจต่อไปอีกว่า หากไม่มีวิทยาศาสตร์ มนุษย์จะกล้าลุกขึ้นมาท้าทายอีกทั้งตั้งคำถามต่อ "ศรัทธา" ที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่?
น่าแปลกใจว่าหากไม่มีวิทยาศาสตร์เราอาจยังเชื่อว่าโลกแบน และยังทำการล่าแม่มดมาเผาทั้งเป็นอยู่ก็เป็นได้



ยังกล่าวกันได้อีกว่า หาก บิล คลินตัน รู้จักเจริญสติ จะไม่ก่อสัมพันธ์พลาด กับ นักศึกษาฝึกงาน เราก็ต้องตั้งคำถามกันต่อไปว่า การ "ล่วงละเมิดทางเพศ" เกิดขึ้นจาก ความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำ ผู้ที่อยู่ใน "ตำแหน่ง" ที่เหนือกว่า ย่อมมีเสน่ห์น่าดึงดูดใจ เจ้านายมีแรงดึงดูดลูกน้อง, ครูบาอาจารย์มีแรงดึงดูดต่อนักเรียน, หมอมีแรงดึงดูดต่อคนไข้, สมภารมีแรงดึงดูดต่อไก่วัด ฯลฯ 
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีคำสอนว่า "สมภารไม่กินไก่วัด" เพราะเราไม่รู้ว่าไก่วัดมาหาสมภารเพราะเสน่หาอย่างแท้จริงหรือมาเพราะแรงดึดดูดแห่งอำนาจที่เหนือกว่า 

สิ่งที่ บิล คลินตัน และมนุษย์ในโลกสมัยใหม่พึงมีมิใช่การเจริญสติ แต่เป็นการตระหนักถึงโครงสร้างแห่งอำนาจนี้ และ "เลือก" ที่จะทำหรือไม่ทำ
หากเลือกจะทำเช่นที่ บิล คลินตัน ทำ-บิล คลินตัน ก็ได้ยืดอกรับผลแห่งการกระทำนั้น การยอมรับการกระทำของตนอย่างกล้าหาญคือสิ่งที่พยุงศักดิ์ศรีของ บิล คลินตัน เอาไว้ได้ในสังคมสมัยใหม่ 
ทุกวันนี้ บิล คลินตัน ยังคงความ "น่านับถือ" ของเขาเอาไว้ได้ ไม่ใช่เพราะสัมพันธ์ที่พลาดหรือไม่พลาด แต่เพราะการ "เคารพ" และยอมรับ "บทลงโทษ" ในกติกาของสังคมที่ตนสังกัดอยู่ 
สิ่งเดียวที่จะทำให้ บิล คลินตัน สูญเสียซึ่งความเคารพนับถือคือ หากเขาดื้อรั้น ปฏิเสธ เอาสีข้างเข้าถู ใช้วาจาแถไถ โกหก ตลบตะแลง หรือประพฤติตนเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ทำแล้วบอกว่าไม่ได้ทำแม้จะจำนนต่อหลักฐาน หรือแสร้งไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ไปถือศีลกินเจ

และสิ่งนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับการ "เจริญสติ"

ยิ่งไปกว่านั้น เรารู้ได้อย่างไรว่า บิล คลินตัน คิดว่านั่นคือสิ่งที่เรียกว่า "สัมพันธ์พลาด" เพราะมันเป็นความผิดพลาดครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องมี ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดใหญ่หรือความผิดพลาดเล็ก ตัวบิล คลินตัน เองอาจจะหันไปมองความผิดพลาดนั้นด้วยความขอบคุณ อาจจะหันไปมองมันด้วยความขบขัน อาจจะหันไปมองมันด้วยความเย้ยหยัน อาจจะหันไปมองมันในฐานะที่มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางการเมืองที่แสนสามัญ ฯลฯ 
เราจะถือดีอย่างไรไป "หยิบ" ประสบการณ์ของใครสักคนที่เราไม่รู้จักรสนิยมทางเพศ อุดมการณ์ทางการเมือง ปูมหลังทางความเชื่อและศรัทธา วิถีปฏิบัติ ความไฝ่ฝันและรวมถึงจินตนาการต่อชีวิตหลังความตายของเขามา แล้วชี้นิ้วตัดสินว่า "ถ้าหากคุณรู้จักเจริญสติฯ" 

เพราะมิเช่นนั้นเราอาจพูดได้ว่า ฮิตเลอร์อาจจะอยากบอกว่า "รู้งี้เจริญสติเสียหน่อยจะฆ่ายิวได้แนบเนียนไม่โฉ่งฉ่างเท่านี้" 
หรือ เราอาจพูดได้อีกว่า "หากพระนางมารี อังตัวแนตต์ เจริญสติเธอจะไม่พูดว่า ถ้าไม่มีขนมปังก็ไปกินเค้กสิ" 
หรือเราอาจจะพูดว่า "หากคณะราษฎรเจริญสติจะไม่ลุกขึ้นมาทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475" หรือเราอาจพูดว่า "หากเรามีเจริญสติเราจะไม่ปล่อยถ้อยคำไร้สติ"
ไม่แต่ บิล คลินตัน เรายังถือ "ดี" ไปบอก วิทนี่ ฮูสตัน ว่า "ถ้าเธอเจริญสติเธอจะไม่หันเข้าหายาเสพติด"



การหันไปพึ่งยาเสพติดทั้งโดยมีสติและไม่มีสตินั้นอาจเกิดเป็นไปได้ตั้งแต่ การขาดเพื่อน ขาดความรัก ความเข้าใจ หรือแรงสนับสนุนจากคนรอบข้าง หรือเกิดจากภาวะแปลกแยกของตนเองจากสังคมโดยรวม อาจเกิดจากภาวะโกรธขึ้งความดัดจริต สอพลอของโลกที่อยู่รอบๆ ตัว

ทางออกของปัญหามีทั้งการไปหาจิตแพทย์ และกระบวนการบำบัดรื้อฟื้นความภูมิใจและรักตนเองกลับคืนมา

ย้ำว่าลำพังการเจริญสติไม่อาจช่วยอะไรหากปราศจากกระบวนการบำบัดจากนักบำบัดที่มีประสบการณ์และละเอียดอ่อนต่อความเป็นมนุษย์

และถึงอย่างนั้นสิทธิที่จะไม่รับการบำบัดก็เป็นของบุคคลคนนั้นอยู่นั่นเอง และเราไม่มีสิทธิใดๆ แม้แต่น้อยที่จะไปใช้ประโยคของการสร้างเงื่อนไขกับชีวิตของใครที่เราไม่รู้จักเขาดีพอ
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้มี "ธรรม" พึงสังวรคือการหยิบเอาชีวิตของใครก็ตามมาเป็นบทเรียนทางศีลธรรมอย่างตื้นเขินนั้นถือว่าหยาบคายและไม่ให้เกียรติต่อ "ชีวิต" ของคนคนนั้นเป็นอย่างยิ่ง  
มีแต่ในสังคมที่ประชาชนถูกทำให้สิ้นความสงสัยและปัญญาถูกชำระล้างออกจากกะโหลกอย่างหมดจดเท่านั้นที่จะเฮโลสาระพาอาเมนกับวจนะที่พร่องทางตรรกะทั้งแฝงนัยดูถูกผู้อื่น ความเชื่ออื่น วัฒนธรรมอื่น ไม่ลังเลที่จะใช้บรรทัดฐานความเชื่อ ความดี ศีลธรรมในกะลาอันกระจิริดของตนไปตัดสิน "สติ" ของคนทั้งโลกว่าเจริญพอหรือไม่


ในสังคมที่ยินดีกับการเจริญสตินี้ป็นสังคมเดียวกันกับสังคมที่ เครื่องสำอางสามารถจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งโดยเชิญนักเผยแพร่วจนะในอาภรณ์สีขาวมาแสดงวจนะให้กลุ่มลูกค้าซึ้งใจกับ "ความขาวจากภายใน" ทั้งยังพับดอกบัวเป็นที่บูชากันอย่างเอิกเกริก 
กิจกรรมนี้มองเผินๆ เหมือนน่าขำ แต่ไม่ควรขำเพราะมันเชื่อมโยงให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่า ไวเทนนิ่งภายนอกนั้นใช้เครื่องสำอางทาถู
ส่วนไวเทนนิ่งทาง "จิต" ก็ใช้ "ศีลธรรม" ทาถู ขาวแต่ภายนอกอย่างเดียวไม่พอ เราต้องขาวมลังเมลืองจากภายใน 
ความขาวถูกนำมาเท่ากับ "ความดี" อย่างแยบยล และ "ความดี" ก็เข้ามาสู่การเป็นส่วนหนึ่งของ "สินค้า" อย่างสนิทสนม ผู้เผยแพร่วจนะในเครื่องแบบสีขาวและดอกบัวที่เป็นบุคลาธิษฐานของพุทธศาสนาถูกผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมการขายอย่างแนบเนียน

เมื่อเป็นเช่นนี้ "ความขาว" ของเครื่องสำอางและกลุ่มผู้บริโภคเครื่องสำอางยี่ห้อนี้จึงแตกต่างจากความขาวจากครีมหน้าขาวกวนอิม เพราะมันไม่ใช่ความขาวดาษดื่นที่ได้มาจากการกัดสีผิวจากภายนอกแต่ได้มาซึ่งการ "ฟอกสี" จากภายในด้วยคุณธรรมความดี (แต่เครื่องสำอางเราไม่ได้แจกฟรีเพื่อสาธารณกุศลแน่ๆ อีกทั้งแขกเหรื่อรวมทั้งพรีเซ็นเตอร์ทั้งมีเครื่องแบบขาวและเครื่องแบบปกติต่างก็รับเงินค่าตัวกันถ้วนหน้า)

นี่คือสังคมเจริญสติที่คนไทยคลั่งไคล้



สังคมเจริญสติเช่นนี้จึงนำไปสู่การเป็นสังคมเชิดชูคนดีอย่างไม่ลืมหูลืมตา หากถามต่อไปว่า "ความดี" คืออะไร? และใครคือ "คนดี"? 

คนดีคือคนที่เพิกเฉยต่อความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม?
คนดีคือคนที่เคารพกฎหมาย? 
คนดีคือคนที่เข้าวัด ทำบุญ นั่งสมาธิ เจริญสติ? 
คนดีคือคนที่ซื้อหนังสือธรรมะมาอ่านอย่างสม่ำเสมอ? 
คนดีคือคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ 
คนดีคือคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ เข้าวัด ทำบุญ กตัญญู นั่งสมาธิ และพร้อมจะฟาดฟันทำลายคนที่ตนเห็นว่าเป็นมารศาสนา?

คนดีคือคนที่เชื่อว่าหากเราทำดี ไม่เบียดเบียนคนอื่น เราคิดดี ทำดี พูดดี สังคมโดยรวมก็จะดีไปด้วย ไม่ต้องไปประท้วง ไปเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนทางการเมืองใดๆ เพราะนั่นเป็นการสร้างความวุ่นวายให้กับสังคมโดยรวม อยากให้สังคมดีขึ้นต้องเริ่มที่ตัวเอง? 
คนดีคือคนที่ขยัน หมั่นเพียร จงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง ไม่ทรยศต่อบรรพบุรุษของชาติที่ได้ต่อสู้ปกป้องบ้านเมืองมาแต่อดีต  
คนดีต้องพร้อมสละชีวิตเพื่อทุกสถาบันอันเป็นที่รักอย่าให้ใครมาดูหมิ่นเหยียดหยาม 
คนดีต้องปกป้องเกียรติยศ ศักดิ์ศรีชื่อเสียงของประเทศชาติโดยไม่จำเป็นต้องคำนึงข้อเท็จจริง 
คนดีต้องหมั่นเข้าวัด ทำบุญ ทำทาน

คนดีไม่ควรตั้งคำถามมาก เพราะมันทำให้สังคมวุ่นวาย? 
คนดีต้องทำความดีด้วยการร่วมมือกันขจัดคนชั่วออกไปจากสังคม? 
คนชั่วคือใคร? 
คนชั่วคือคนที่ไม่มีศาสนา? 
คนชั่วคือคนที่กินเนื้อสัตว์ใหญ่? 
คนชั่วคือคนที่ไม่อ่านหนังสือธรรมะ? 

คนชั่วคือคนที่สงสัยในความดี?

ฯลฯ


สังคมเจริญสตินี้มีสติพอที่จะตั้งคำถามหรือไม่ว่า "ความดี" ลำพังโดยตัวของมันเองนั้นมีแนวโน้มจะฉ้อฉล ยกตนข่มท่านและหลงทำลายล้างผู้อื่นในนามของความดีกันได้ง่ายดาย

สังคมเจริญสตินี้มีสติพอที่จะเป็นคน "ขี้สงสัย" มากพอที่จะไม่เฮโลสาระพา เชื่อเพียงเพราะใครๆ เขาก็เชื่อ, อ่านเพียงเพราะใครๆ เขาก็อ่าน, รักเพียงเพราะใครๆ เขาก็รัก, นับถือเพียงเพราะใครๆ เขาก็นับถือ, เลื่อมใสเพียงเพราะใครๆ เขาก็เลื่อมใส
แต่เริ่มใช้วิจารณญาณของตนเองตรวจสอบตรรกะและเหตุผลของถ้อยคำจากบุคคลที่บังเอิญ "ดัง" และได้ฉายาว่าเป็น "ปราชญ์" นักคิดจากการคิดกลเม็ดการตลาดจากนักสื่อสารมวลชนผสมผเสไปกับบรรยากาศการปลุกเร้าให้คนหมกมุ่นใน "ความดี" อันเป็นนามธรรมเพื่อหาข้ออ้างบิดพลิ้วตนเองออกจากหลักการเคารพในความเป็นมนุษย์ เสรีภาพ และความเสมอภาคที่เป็นสากล และเพื่อเบี่ยงเบนมิให้คนสนใจปัญหาในเชิงโครงสร้างมากไปกว่าระดับศีลธรรมของปัจเจกบุคคล และปลอบประโลมตัวเองไปวันๆ ด้วยการทำความดีในระดับสังคมสงเคราะห์
ที่ยิ่งทำ ผู้ทำยิ่งสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ และผู้รับยิ่งน่าเวทนา ยิ่งต้องตระหนักในบุญคุณหนักขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งต้องก้มลงขอบพระคุณในระดับที่หลังค้อมต่ำลงเรื่อยๆ

ปราชญ์อุปโลกน์ก็ฉลาดพอและรู้ว่าจะขาย "ความดี" สำเร็จรูป และผสมผสานคำศัพท์ "ร่วมสมัย" ใส่ลงไปในคำศัพท์ "ศักดิ์สิทธิ์" เพื่อตบตาผู้บริโภคว่านี่คือวจนะสมัยใหม่เพื่อคนรุ่นใหม่เข้าถึงง่ายไม่ทิ้งแก่นแท้ปรัชญาของศาสดา


สังคมที่เราอยู่นี้เป็นสังคมแห่งความหิวโหยของคนที่่'ขี้เกียจสงสัย' ผลก็คือการบริโภคอย่างตะกละตะกลาม มิพักพินิจอ่านฉลาก คำเตือน หรือตรวจสอบวันหมดอายุ อีกทั้งไม่เคยสนใจดูรายละเอียดของส่วนผสม แต่ตะกลามบริโภคตามอย่างกัน 

เพราะเพียงเริ่มต้น "ซื้อ" สินค้าแห่งความดี คุณก็จะถูกกวาดต้อนเข้าไปอยู่ใน "คอก" ของคนดีให้เป็นที่สบายใจว่าไม่ใช่พวก "นอกคอก"
จากนั้นก็มีความชอบธรรมที่มองคน "นอกคอก" ด้วยสายตาเหยียดหยามว่าเป็นพวกตัวดำ จิตดำ ไม่รู้จักกระเสือกกระสนหาไวเทนนิ่งมาทาถูทั้งผิวหนังและจิตวิญญาณ

วันนี้คุณพร้อมจะถูกต้อนไปอยู่ใน "คอก" แล้วหรือยัง? 



______________________________________________________________________________________


เพื่อ “เจริญสติปัญญา” ว่า ผู้นำ..การเจริญสติ ก็อาจถือดีว่า ตนดีเยี่ยมจน “ขาดสติ”! ไปได้
ขอเชิญชวน..
อ่าน “ความคมของฆ่าเวลาบาปยิ่งกว่าการฆ่าคน” บทเรียนของพุทธศาสนาในสังคมประชาธิปไตย โดย วิจักขณ์ พานิช กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร 
ที่ http://blogazine.in.th/blogs/buddhistcitizen/post/3465 



.