.
นิสัยอ่ะ!!!
โดย จอห์น วิญญู spokedark.tv www.facebook.com/spokedarktv
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 08 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1660 หน้า 79
คุณแม่ของผมชอบฟังวิทยุครับ โดยเฉพาะสถานีวิทยุ NPR (National Public Radio) ของสหรัฐอเมริกา ของเค้าดีจริง มีโปรแกรมเด็ดๆ ที่ให้ความรู้และความบันเทิงแบบไม่อีโมเกินไปอยู่มากมาย เดี๋ยวนี้หาสื่อดีๆ ไม่อีโมลำบาก อิอิอิ
หลายๆ ครั้งที่หม่ามี้ฟังบทสัมภาษณ์หรือบทความทางวิทยุอะไรซักอย่างที่ท่านเห็นว่าเหมาะกับลูกคนไหน ท่านก็จะส่งลิงก์มาให้พวกเราฟังทางอีเมลหรือเฟซบุ๊ก
ซึ่งก็เป็นเรื่องค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวว่าท่านเลือกที่จะส่งอะไรให้ใคร
วันก่อนผมได้รับอีเมลลิงก์บทสัมภาษณ์นักข่าวนิวยอร์กไทมส์ชื่อ Charles Duhigg
ที่เพิ่งจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับวิธีการ "เปลี่ยนนิสัย" (The Power of Habit)
เอิ่ม---
คือผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคุณแม่ผมท่านเห็นว่าผมมีนิสัยอะไรที่ผมควรจะต้องเปลี่ยนหรือไงไม่ทราบ---ผมก็ออกจะดีพร้อมเพอร์เฟ็กต์เลิศซะไม่มีอยู่แล้ว ข้อเสียของผมอาจจะมีบ้างตรงที่เป็นสุภาพบุรุษเกินไป เป็นผลให้หญิงสาวหลายคนเข้าใจเจตนาผมผิด
หรือผมทุ่มเทกับงานการมากเกินไปจนบางครั้งอาจจะละเลยสุขภาพตัวเองไปบ้าง
แต่มันก็แค่นั้น
อ้วกกกกกกกกกกกกกกกก---
กลับเข้าสู่โลกแห่งความจริง ก็ได้
ครับ ไอ้กระผมมันก็มีนิสัยไม่ดีหลายอย่างที่ถ้าเลิกได้ ดัดได้ ตัดได้ เปลี่ยนได้ ชีวิตมันก็น่าจะดีขึ้นเยอะ นิสัยแย่อันดับหนึ่งที่ผมจะโดนคุณแจนนิส มารดาสุดที่รักบ่นงุมงำใส่มาตั้งแต่เล็กจนโตแบบแก้ไม่ได้ซักทีก็คือนิสัยกินเร็วครับ
ไอ้ความรีบกิน กินเร็ว ไม่ค่อยเคี้ยวของผมเป็นบ่อเกิดของอาการท้องอืด หน้ามืด ผะอืดผะอม
และการกินมากเกินไปในที่สุด พี่สาวผมบอกว่าผมกินอาหารแบบเครื่องดูดฝุ่น คุณแม่ผมบอกว่าเหมือนงูหลาม ผมเชื่อว่าพี่ชายและพ่อหมอ (พี่เขย) คงจะมีคำบรรยายที่ "แมนๆ" กว่านั้นให้ผม แต่เค้าไม่ค่อยพูดออกมาหรอก อย่างมากก็จะพูดกระทบไปทางไอ้ทิมมี่หมาที่ผมเลี้ยงไว้ว่า "แหม---พ่อลูกมันกินเร็วเหมือนกันเลยเนอะ"
แบบนี้เป็นต้น
นิสัยแย่ๆ อย่างอื่นของผม คุณอย่ารู้เลยครับ เดี๋ยวจะเลิกคบกันไปซะเปล่าๆ
สงสัยคุณแม่ผมท่านจะเห็นว่าคุณนักข่าวฝรั่งท่านนี้อาจจะโน้มน้าวให้ผมพยายามเปลี่ยนตัวเองก็เป็นไปได้ ซึ่งไอ้บทสัมภาษณ์ที่ว่าเนี่ยก็ฟังดูเข้าท่าจริงๆ แหละ
เรียกว่าฟังแล้วมันน่าสนใจมากจนต้องเอามาขยายให้ท่านผู้อ่านที่รักต่อ
คืองี้ครับ
เค้าบอกว่า การกระทำอะไรก็ตามที่เป็นนิสัยแล้วเนี่ย การควบคุมจะมาจากสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานแบบอัตโนมัติ ไม่ใช่สมองส่วนรู้สำนึกอีกต่อไป
หมายความว่า อะไรก็ตามที่เราทำจนเป็นนิสัยแล้ว เราจะทำได้โดยไม่รู้ตัว และการทำเช่นนั้น จะเกิดเมื่อมีภาวะหรือเหตุการณ์บางอย่างกระตุ้น เช่น การขับรถไปทำงานและขับรถกลับบ้าน เราทำแบบนั้นซ้ำๆ ทุกวันจนหลายๆ ครั้งเราขับรถไปถึงที่ทำงานหรือขับรถกลับบ้านโดยจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราทำเช่นนั้น เพราะในระหว่างที่เราขับรถอยู่ สมองส่วนที่สั่งการให้เราขับรถหรือจำทางนั้นมันเป็นสมองส่วนออโต้
สมองส่วนที่รู้ตัวของเราสามารถคิดเรื่องอื่นได้ เช่น เรื่องงานที่กำลังจะไปทำหรือเรื่องว่ากลับบ้านไปเราจะทำกับข้าวอะไรหรือทำกิจกรรมอะไรต่อ เช่นเดียวกับการแปรงฟัน อาบน้ำ หรือกดชักโครก มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
แต่ถ้าวันหนึ่งเราขับรถไปที่อื่นที่ไม่ใช่ออฟฟิศ เราไปค้างอ้างแรมในสถานที่ที่แปลกไป หรือเดินทางไปต่างประเทศ อาการ "อัตโนมัติ" ที่เรามีอยู่สำหรับทำกิจกรรมนั้นๆ จะหายไปในทันทีครับ
จากการทดลองพบว่า หากเราไปค้างในที่ที่ไม่ใช่บ้านของเราเอง เราจะแปรงฟันในวิธีที่ต่างออกไป!
ยิ่งถ้าเราคิดด้วยว่าปกติตรูแปรงฟันยังไง เราจะจำไม่ได้หรอกครับ เพราะเราทำจนสมองส่วนที่เป็นอัตโนมัติได้เข้ามาควบคุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นักพฤติกรรมศาสตร์จึงฟันธงว่า หากเราต้องการเปลี่ยนนิสัย สิ่งที่จะได้ผลเป็นการดีที่สุดเพื่อการ "หักดิบ"
ในเบื้องต้นก็คือ ให้เดินทางครับ
ถ้าเราออกจากพื้นที่ หรือสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยเสีย (อันเป็นที่ที่สมองส่วนออโต้ไพลอตจะเข้าควบคุมพฤติกรรมของเรา) การเปลี่ยนนิสัยบางอย่างมันจะง่ายขึ้น
เค้ายกตัวอย่างของคนที่อยากเลิกบุหรี่ ออกเดินทางเสีย Routine ในการสูบบุหรี่จะเปลี่ยนไป
คนที่สูบบุหรี่ก็คงทราบกันดีนะครับ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยการสูบบุหรี่ตอนเดินเข้าส้วมตอนเช้า หรือ นิสัยการสูบบุหรี่เป็นรอบๆ ในที่ทำงาน บุหรี่กับกาแฟ บุหรี่กับคนที่คุ้นเคยหลังอาหาร อะไรแบบนี้เป็นต้น
นอกจากนี้แล้วนักพฤติกรรมศาสตร์บวกกับนักการตลาดยังค้นพบอีกว่า คนเรามีแนวโน้มในการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเมื่อ หนึ่ง ย้ายบ้าน และ สอง ตั้งครรภ์ เพราะสองเหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางการใช้ชีวิตแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
การศึกษาพบว่าคนที่ย้ายบ้านมีแนวโน้มจะเปลี่ยนยี่ห้อกาแฟหรือยาสีฟันสูง ทั้งนี้ ไม่ใช่การตัดสินใจแบบรู้ตัว แต่เป็นไปเพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นอยู่มากกว่า
อีกอย่างคือคนท้องครับ
เรื่องคนท้องนี่มีเรื่องตลกมากที่เค้าเล่าแล้วอยากเอามาเล่าต่อ คือ ห้างทาร์เก็ต (TARGET) เค้าจริงจังมากกับการหาข้อมูลของลูกค้าว่าแต่ละคนกำลังมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเพื่อที่ทางห้างจะได้สามารถจัดโปรโมชั่นลดแลกหรือส่งโฆษณาเข้าไปป้อนในลูกค้าแต่ละรายได้ถูกต้อง
พวกนี้น่ากลัวมากครับ เพราะพี่แกเก็บข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้ารายบุคคลไว้อย่างมหาศาล ซื้ออะไร เท่าไหร่ เมื่อไหร่ มากขึ้นน้อยลงยังไง และเรื่องว่าใครท้องเนี่ย---
สำมะคัญมากเพราะนักการตลาดเค้ารู้กันหมดแล้วว่าช่วงท้องเป็นนาทีทองที่จะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งเปลี่ยนจากการซื้อของยี่ห้อคู่แข่งได้ และจากการวิเคราะห์สินค้าที่ผู้หญิงคนนั้นซื้อ ห้างทาร์เก็ตสามารถทำนายได้อย่างค่อนข้างแม่นยำว่าใครท้อง และอายุครรภ์อยู่ที่เท่าไหร่
เช่น อยู่ๆ ก็เริ่มซื้อวิตามินบางชนิดที่ไม่เคยซื้อ หรือการเริ่มซื้อผลิตภัณฑ์จำพวกโลชั่นไร้กลิ่นเป็นจำนวนมากๆ เป็นต้น
เรื่องมันเกิดตอนที่มีคุณพ่อนายหนึ่งมาโวยวายที่ห้างทาร์เก็ตใกล้บ้านตัวเองว่าทำไมทางห้างถึงส่งคูปองโปรโมชั่นของใช้เด็กอ่อนไปให้ลูกสาวอายุ 16 ที่บ้าน? ทำแบบนี้หมายความว่าห้างทาร์เก็ตกำลังสนับสนุนให้เด็กสาวๆ ตั้งท้องทางอ้อมหรืออย่างไร หยั่งงู้นหยั่งงี้หยั่งงั้น---
ผู้จัดการห้างก็ขอโทษขอโพยคุณพ่อเป็นการใหญ่ว่าคงเกิดเหตุผิดพลาดทางเทคนิคและจะดูแลไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก
ต่อมาอีกสองสามวันผู้จัดการห้างยังคงรู้สึกผิดไม่หายเลยโทรศัพท์กลับไปหาคุณพ่อผู้นั้นเพื่อขอโทษอีกครั้งในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ปรากฏว่าคุณพ่อตอบกลับมาว่า อันที่จริงเขาเป็นฝ่ายที่ต้องขอโทษต่างหาก เนื่องจากเหตุผิดพลาดทางเทคนิคในครอบครัวตัวเอง คือว่า ลูกสาวท้องจริงๆ!!
ห้างสรรพสินค้ารู้ก่อนบุพการีครับพี่น้อง---มันน่าสยองตรงนี้
เอาเถอะ ออกนอกเรื่องวิธีการ "เปลี่ยนนิสัย" มาซะไกล วกกลับเข้ามาซักหน่อยเผื่อคุณผู้อ่านที่รักของผมจะลองนำเอาไปใช้
เค้าบอกว่า อันดับแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่อยากจะเปลี่ยนนิสัยอะไรบางอย่างในตัวเองก็คือ ต้องเชื่อว่าเปลี่ยนได้ ถ้าตัวเองยังไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำได้ แมวที่ไหนจะมาเชื่อล่า โถ---
อันดับต่อมาก็คือคุณต้องหาคำตอบให้ได้ว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร
เช่น คนบางคนคิดว่าตัวเองติดขนมหรือของหวาน แต่ถ้าลองสังเกตและทดลองเปลี่ยนอาหารที่กินกลับกลายเป็นค้นพบว่าไม่ได้ติดขนม แต่ติดคนในวงเม้าธ์ระหว่างเวลากินขนมต่างหาก อะไรทำนองนี้
และอันดับสุดท้ายก็คือ ปรับสภาพสิ่งแวดล้อมหรือปรับสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้สมองเราเข้าสู่ระบบอัตโนมัตินั้นๆ เช่น ถ้ารู้ว่าถึงเวลาหนึ่งแล้วจะต้องเดินไปสูบบุหรี่ ในช่วงเวลานั้นก็ลองออกจากออฟฟิศไปเดินที่อื่นเสีย เป็นต้น หากทำเช่นนี้ได้นานพอนิสัยเดิมก็จะหลุดออกจากสารบบไปได้
ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทฤษฎีวิธีการเปลี่ยนนิสัยแบบนี้ใช้ได้กับปัจเจกบุคคลแล้วจะปรับใช้กับนิสัยประจำชาติมั่งได้มั้ย เช่น นิสัยมองโลกในแง่ดี เจ็บแล้วไม่จำ หรือนิสัยชอบเรียกร้องการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงอะไรเงี้ย---
ปรับสภาพแวดล้อมยังไงดีอ่ะ
จะได้เลิกเอะอะก็ "ถึงเลือด" เอะอะก็ "ถึงเนื้อ" กันซักที
.
Selected Messages & Good Article for People Ideas and Social Justice .. หวังความต่อเนื่องของพลังประชาธิปไตยและการเลือกตั้งของปวงชนอันเป็นรากฐานอำนาจอธิปไตย เพื่อกำกับกติกาและอำนาจการเมือง-อำนาจตุลาการ ไม่ว่าต่อคนชั่ว(เพราะใคร?) และคนดี(ของใคร?) ไม่ให้อยู่เหนือนิติรัฐของประชาชน
http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย