http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-06-08

วีรพัฒน์: รัฐสภา กับ ศาล โปรด “ถอยคนละก้าว” และ..ฯคำแถลงโดยอัยการสูงสุด

.

รัฐสภา กับ ศาล โปรด “ถอยคนละก้าว” และ ข้อสังเกตเกี่ยวกับคำแถลงโดยอัยการสูงสุด
โดย วีรพัฒน์ ปริยวงศ์  นักกฎหมายอิสระ  www.facebook.com/verapat
ในมติชน ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 08 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 14:00:00 น.


รัฐสภา กับ ศาล โปรด "ถอยคนละก้าว"
 
ผู้เขียนขอย้ำ "หลักกฎหมาย" ว่า สิ่งที่ "ศาลรัฐธรรมนูญ" เรียกชื่อว่า "คำสั่ง" ให้ "รัฐสภา" รอการพิจารณาการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในวาระที่ 3 นั้น เป็นสิ่งที่ "ขัดต่อรัฐธรรมนูญ" และ "ไม่อาจมีผลผูกพันต่อรัฐสภา" ได้ (คำอธิบายดูที่ http://on.fb.me/NkNvdE ) ซึ่งบัดนี้สมาชิกเสียงข้างมากในสภา ก็ดูจะเห็นไปในทางนั้น

ประเด็นที่สำคัญกว่านั้น คือ เราจะยึด "หลักกฎหมาย" ที่ว่านี้อย่างไรให้นำไปสู่ "ผลทางการเมือง" ที่น่าปรารถนา ?

"รัฐสภา" พึงระวังว่า หากเสียงข้างมากเร่งเดินหน้า "ปฏิเสธ" ศาลทันทีทันใดอย่างย่ามใจ ก็อาจทำให้ "ผู้ไม่หวังดี" ฉกฉวยโอกาสทางการเมืองมาทำลายประชาธิปไตย ตลอดจนชักนำมวลชนไปสู่ความรุนแรงในที่สุด
"ศาล" ก็พึงระวังว่า ฐานแห่งอำนาจตุลาการ คือ ความชอบธรรมและเหตุผลแห่งการใช้อำนาจตามกรอบแห่งกฎหมาย หากศาลย่ามใจจนใช้ อำนาจเกินเลยให้เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย ศาลก็จะกลายเป็นผู้ทำลายฐานอำนาจของตนในที่สุด


เมื่อเป้าหมายสูงสุดของกฎหมาย คือ ความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองและความมั่นคงของประชาธิปไตย ผู้เขียนจึงขอเสนอให้ "รัฐสภา" และ "ศาล" โปรด "ถอยคนละก้าว" และนำ "หลักกฎหมาย" มาผสานเข้ากับ "ความแยบยลทางการเมือง" เพื่อหาทางออกร่วมกัน ตาม "ข้อเสนอ 7
ลำดับขั้น" ดังต่อไปนี้

ขั้นที่ 1. รัฐสภาไม่ควรเร่งเดินหน้าลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในทันที แต่ควรเปิดโอกาสให้สมาชิกได้อภิปรายและแสดงความเห็นอย่างเต็มที่ว่า รัฐสภาควรปฎิบัติตาม "ข้อเสนอ 7 ลำดับขั้น" ฉบับนี้ (หรือข้อเสนออื่นๆ) หรือไม่ โดยการรอนั้น มิต้องถือเป็นการปฏิบัติตาม "คำสั่ง" ที่ว่าหรือไม่ แต่เป็นการตัดสินใจของรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มีโอกาสหารือเท่านั้น

ขั้นที่ 2. สมาชิกรัฐสภาควรร่วมประกาศคำสัตย์ต่อปวงชนว่า เมื่อใดที่การแก้ไข มาตรา 291 ได้เสร็จสิ้นจนเกิดบทบัญญัติหมวดใหม่ คือ "หมวด 16 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่" เรียบร้อยแล้ว สมาชิกรัฐสภาจะร่วมกันแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอีกครั้ง เพื่อเพิ่มข้อความให้ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ได้มีโอกาสตรวจสอบ "ร่างรัฐธรรมนูญ" ฉบับที่ยกร่างโดย ส.ส.ร. ว่า มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ หรือเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติในหมวดพระมหากษัตริย์ หรือไม่

ขั้นที่ 3. "ผู้ตรวจการแผ่นดิน" ควรสำนึกในบทบาทหน้าที่ของตนในฐานะองค์กรตามรัฐธรรมนูญ โดยอาศัยอำนาจตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 244 (1)(ก) และ มาตรา 244 (3) ประกอบกับมาตรา 244 วรรคสอง ทำการพิจารณาสอบสวนและจัดทำ "ข้อเสนอแนะ" อย่างเร่งด่วนว่า "เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร" หรือแม้แต่ "ประธานรัฐสภา" ควรปฏิบัติต่อสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกว่า "คำสั่ง" หรือไม่ ดังนี้:

"ผู้ตรวจการแผ่นดิน เห็นว่า สิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกว่า 'คำสั่ง' นั้น แท้จริงแล้วก็คือ 'คำขอ' ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ซึ่งย่อมไม่มีข้อกำหนดหรือวิธีพิจารณาข้อใดที่จะมาขัดหรือแย้งได้ ดังนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงเสนอแนะว่า "เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร" หรือแม้แต่ "ประธานรัฐสภา" ย่อมมีดุลพินิจที่จะพิจารณาว่าจะสามารถปฏิบัติตาม 'คำขอ' ดังกล่าวได้มากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ การใช้ดุลพินิจดังกล่าวย่อมไม่ถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย"

ขั้นที่ 4. หาก "รัฐสภา" มีความเห็นไปในทางเดียวกันกับ "ผู้ตรวจการแผ่นดิน" ว่า สิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกว่า "คำสั่ง" นั้น ก็คือ "คำขอ" ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213  และเมื่อพิจารณาความเห็นของ "อัยการสูงสุด" ที่พบว่าคำร้องที่เกี่ยวข้องนั้นปราศจากมูลการกระทำตามมาตรา 68 แล้วไซร้   "รัฐสภา"  ย่อมชอบที่จะใช้ดุลพินิจไม่ปฏิบัติตาม "คำขอ" ของศาลดังกล่าว และ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ก็ย่อมพึงตระหนักใน "การถ่วงดุลอำนาจโดยสภาพระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญ" อีกทั้งพิจารณาถึง "คำสัตย์ของสมาชิกรัฐสภา" (ตามข้อเสนอลำดับขั้นที่ 2 ข้างต้น) เพื่อสามารถพิจารณาได้ว่า สิ่งที่ตนเรียกว่า "คำสั่ง" นั้น ก็คือ "คำขอ" ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213  เช่นกัน

ขั้นที่ 5. หาก "การถ่วงดุลอำนาจโดยสภาพระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญ" เกิดขึ้นได้เช่นนี้  "รัฐสภา" ย่อมชอบที่จะเดินหน้าลงมติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในวาระที่ 3 ต่อไป และเมื่อพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว "ศาลรัฐธรรมนูญ" ก็ย่อมชอบที่จะใช้อำนาจตาม ข้อ 23 แห่งข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาฯ เพื่อ "จำหน่ายคำร้อง" ด้วยเหตุว่าประเด็นหรือวัตถุแห่งการพิจารณาตาม มาตรา 68 ได้สิ้นสุดไปแล้ว (ไม่ว่าการกระทำที่กล่าวอ้างจะเข้ากรณี มาตรา 68 หรือไม่)

ขั้นที่ 6. ทันทีที่ "รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม" มีผลบังคับใช้ สมาชิกรัฐสภาต้องรักษาคำสัตย์ โดยดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมอีกครั้งเฉพาะในส่วนที่เพิ่มให้ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ได้มีโอกาสตรวจสอบร่างรัฐธรรมนูญที่ ส.ส.ร. จะได้ยกร่าง (เฉพาะประเด็นตามข้อเสนอลำดับขั้นที่ 2.) ทั้งนี้โดยไม่เป็นการกระทบต่อกระบวนการอื่นที่เกี่ยวข้อง

ขั้นที่ 7. จากนั้นทุกฝ่ายควรร่วมกันเดินหน้าจรรโลง "กระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่" ซึ่งพึงได้รับ "การตรวจสอบถ่วงดุลโดยปวงชนชาวไทย" อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะโดยกระบวนการขั้นตอนเลือกตั้ง ส.ส.ร. ไปจนถึงการเคารพ "วิจารณญาณทางประชาธิปไตย" ของปวงชนผู้ไปลงประชามติเพื่อแสดงเจตจำนงกำหนดอนาคตของตนเองในท้ายที่สุด



ข้อสังเกตเกี่ยวกับคำแถลงโดยอัยการสูงสุด

เมื่อผมได้ฟังคำแถลงของอัยการสูงสุดเสร็จแล้ว รู้สึกเสียดายว่า แทนที่จะสามารถชมเชยอัยการฯได้เต็มปาก กลับต้องบอกว่าอัยการฯ อาจกำลังใช้อำนาจหน้าที่เกินกรอบตามรัฐธรรมนูญ จนคำแถลงของอัยการฯ ฟังประหนึ่งคล้ายคำวินิจฉัยของศาล
จริงอยู่ว่าอัยการฯ ท่านอ้างกฎหมายได้น่าคล้อยตามหลายข้อ และพยายามแถลงรายละเอียดเพื่อไม่ให้สังคมเคลือบแคลง โดยแม้อัยการฯ จะบอกว่าดูเรื่อง "มูล" ของการกระทำเท่านั้น และไม่ได้วินิจฉัยแทนศาลก็ตาม แต่ท้ายที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นจากการแถลงดังกล่าว ก็คือ อัยการฯได้ใช้อำนาจเกินเลยถ้อยคำของรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรค 1 โดยอัยการฯ กำลังสร้างบรรทัดฐานว่า ต่อไปนี้ "การใช้อำนาจหน้าที่" ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภา สามารถถูกตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริงโดย "อัยการสูงสุด" ตาม มาตรา 68 ได้
ซึ่งผมต้องย้ำให้ชัดว่า ผมไม่เห็นด้วย และก็สังหรณ์ไว้แล้วว่า อัยการฯอาจพลาดท่า ผมเขียนไว้ในบทความฉบับนี้ตั้งแต่เรื่องนี้ยังไม่เป็นประเด็น ( http://on.fb.me/LpqdCF )

สิ่งที่ถูกต้องคือ อัยการฯท่านต้องแถลงให้ชัดว่า คำร้องทั้งหลายเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอมานั้น ล้วนเป็นเรื่อง "การใช้อำนาจหน้าที่" จึงย่อมไม่ใช่ "การใช้สิทธิเสรีภาพ" ตาม มาตรา 68 วรรค 1 ดังนั้น อัยการฯ จึงไม่สามารถไปดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้ว่า เป็นการล้มล้างการปกครองฯ หรือไม่  (หากพบว่ามีมูลเป็น "การใช้สิทธิเสรีภาพ" ก็ค่อยตรวจสอบมูลในส่วนอื่นต่อไป)

หากอัยการฯไม่ "กรอง" คดีโดยแยกแยะการกระทำที่เป็นหรือไม่เป็น "การใช้สิทธิเสรีภาพ" เสียก่อน แต่กลับเข้าไปดูรายละเอียดทั้งหมดของเรื่องที่เสนอมา อัยการฯก็กำลังสร้างบรรทัดฐานที่เพิ่มภาระให้อัยการฯต้องทำการตรวจสอบเรื่องทุกเรื่องที่มีใครเสนอมา ซึ่งสิ้นเปลืองทั้งเวลา งบประมาณแผ่นดิน และอาจไปสร้างภาระให้แก่บุคคลอื่นๆ ที่ต้องมาชี้แจงให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วย

จากคำแถลงเป็นเช่นนี้ ต่อไปหากอัยการสูงสุดท่านไหนใจใหญ่ ก็อาจยื่นคำร้องอีกสารพัดเรื่องต่อศาลได้ เพราะไม่ว่าจะเป็น "การใช้สิทธิเสรีภาพ" หรือ "การใช้อำนาจหน้าที่" ก็ดูประหนึ่งจะตรวจสอบได้ทั้งหมด



.