http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-06-28

พิศณุ: อาหารกลางวัน 180ล้านบาท, +ปฏิบัติการเพื่อความสุข

.
โพสต์เพิ่ม - แมนนี ปาเกียวแพ้ : แพ้จริง หรือแพ้ตามแผน? โดย พิศณุ นิลกลัด

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

อาหารกลางวันมื้อละ 108 ล้านบาท
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1662 หน้า 96


การได้กินอาหารกลางวันประกอบการพูดคุยสนทนาและถามในสิ่งที่อยากรู้ได้ไม่จำกัดกับ วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์ เศรษฐีอันดับ 3 ของโลกเป็นสิ่งที่หาโอกาสไม่ได้ง่ายๆ 
เพราะโอกาสแบบนี้ไม่มีบ่อยๆ วอร์เร็นก็เลยหาเงินเข้าการกุศลด้วยการประมูล Power Lunch with Warren Buffett หรือการทานอาหารกลางวันกับ วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์ ผ่านทางอีเบย์ 
เขาจัดการประมูลมาแล้ว 12 ครั้ง 
ครั้งที่ 13 จบการประมูลเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ผู้ชนะการประมูลทำสถิติด้วยการจ่ายเงิน 3,456,789 ดอลลาร์ 
ตัวเลขสวยอย่าบอกใคร

การประมูลออนไลน์เริ่มเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ราคาเริ่มต้นที่ 25,000 ดอลลาร์ หรือ 787,500 บาท และสิ้นสุดในวันที่ 8 มิถุนายน มีผู้เข้าประมูล 10 คน
ใน 5 วัน มีการขับเคี่ยวเกทับกลับไปกลับมากันถึง 106 ครั้ง เข้มข้นกว่าเมื่อปีกลายที่มีคนประมูลสู้กันเพียง 2 คน และประมูลสู้กัน 8 หน
การประมูลรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับ วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์ เริ่มครั้งแรกในปี 2000 และทำเป็นประจำทุกปี ทำรายได้เพื่อการกุศลกว่า 400 ล้านบาท รายได้ทั้งหมดบริจาคเข้ามูลนิธิ ไกลด์ (Glide) ที่ช่วยเหลือผู้ยากไร้ในซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ซูซานภรรยาคนแรกที่เสียชีวิตไปให้การสนับสนุนและแนะนำให้บัฟเฟ็ตต์รู้จักมูลนิธินี้ 
ผู้ชนะการประมูลในปีนี้เป็นผู้ประสงค์จะออกแต่เงินไม่ประสงค์จะออกนามซึ่งก็เหมือนกับหลายปีที่ผ่านมา สื่อจะทราบว่าเป็นใครก็ต่อเมื่อปรากฏตัวทานอาหารกลางวันกับบัฟเฟ็ตต์ที่ร้านสมิธ แอนด์ วอลเล็นสกี้ (Smith & Wollensky) สาขานครนิวยอร์ก ที่รับเป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงทุกปี

ผู้ชนะการประมูลได้สิทธิ์ชวนญาติ พี่น้อง เพื่อนพ้องอีก 7 คน ร่วมทานอาหารกลางวันกับบัฟเฟ็ตต์เป็นเวลา 4-5 ชั่วโมง 
ค่าอาหารกลางวัน 3 คอร์ส ที่ร้านสมิธ แอนด์ วอลเล็นสกี้ ซึ่งเป็นสเต๊ก เฮ้าส์ ราคาค่อนข้างสูง ตกประมาณคนละเกือบ 2,000 บาท 
หลายคนมองว่าผู้ชนะการประมูลนำเงินมหาศาลไปละลายภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง แทนที่จะเอาไปซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือข้าวของที่ใช้งานได้ 
แต่ผู้ชนะการประมูลที่ออกมาเปิดตัวและให้สัมภาษณ์พูดตรงกันหมดว่า การนั่งสนทนากับ วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์ บนโต๊ะอาหารได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องธุรกิจนั้นเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ามหาศาลจนประเมินค่าไม่ได้ และยังได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลเข้ามูลนิธิไกลด์ด้วย



หากมองในแง่ของจิตวิทยา การใช้เงินให้เกิดความสุข การใช้เงินเพื่อซื้อประสบการณ์และช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ถือเป็นการใช้เงินที่ก่อให้เกิดความสุขสูงสุด และอยู่ในความทรงจำนานที่สุด 
โดยเมื่อเดือนที่แล้วมีรายงานผลการศึกษาน่าสนใจเรื่องการรักษาความสุขให้ยาวนาน และการใช้เงินอย่างไรทำให้ตัวเองมีความสุข เป็นการศึกษาร่วมกันของนักจิตวิทยาแห่ง Missouri University และ University of California, Riverside 
พบว่าการช็อปปิ้งซื้อของชิ้นใหม่ให้ตัวเองมีความสุขนั้นเป็นความสุขเพียงประเดี๋ยวประด๋าว เพราะหลังจากซื้อแล้วของนั้นก็ตั้งอยู่เฉยๆ เช่น เสื้อผ้าก็แขวนอยู่ในตู้ ไม่ได้สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ อะไรให้กับชีวิต
ในทางตรงกันข้าม การใช้เงินในการซื้อประสบการณ์สร้างความสุขใจได้ยืนยาวกว่า เช่น การเรียนทำอาหารก่อให้เกิดความสุขยาวนานกว่าการซื้ออุปกรณ์เครื่องครัวชิ้นใหม่ เอาเงินไปซื้อตั๋วดูคอนเสิร์ตจะทำให้มีความสุขยาวนานกว่าซื้อเครื่องเสียง ยังจดจำความสนุกจากการไปดูคอนเสิร์ตแม้เวลาจะผ่านไปนานเป็นปีๆ แล้ว เมื่อกลับมาคิดถึงช่วงเวลานั้นทีไรก็มีความสุข หรือการจ่ายเงินซื้อทัวร์ไปเที่ยวที่ดีๆ จะมีความสุขติดอยู่ในใจยาวนาน 
ในขณะที่จ่ายเงินซื้อของที่เป็นวัตถุนั้น เมื่อเวลาผ่านไปคุณค่าทางจิตใจมักจะลดลง และจะซื้อของชิ้นใหม่มาทดแทน

นอกจากนี้ การใช้เงินในการช่วยเหลือผู้อื่นยังสร้างความสุขที่ยาวนานกว่าการใช้เงินในการซื้อของให้ตัวเอง เพราะผู้ให้จะรู้สึกอิ่มเอมใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปนั้นสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางบวกแก่ผู้รับ 
ไม่เชื่อลองทดลองเป็นผู้ให้ดูเถิดครับ จะรู้สึกมีความสุขมากกว่าเป็นผู้รับจริงๆ ด้วย



++
บทความของปี 2554

ปฏิบัติการเพื่อความสุข
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1601 หน้า 96


Action for Happiness เป็นองค์กรใหม่ที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยการรวมตัวของนักวิชาการที่ประเทศอังกฤษ มีอุดมการณ์ที่ตรงตามชื่อองค์กร นั่นคือ ปฏิบัติการเพื่อความสุข ตั้งขึ้นมาเพื่อกระจายความสุขไปยังคนทั่วโลก 
ตอนนี้มีคนสมัครออนไลน์เป็นสมาชิกร่วมอุดมการณ์ผ่านทางเว็บไซต์ actionforhappiness.org กว่า 11,000 คน จาก 99 ประเทศ ให้คำปฏิญาณว่าต่อไปนี้จะทำในสิ่งที่ช่วยสร้างความสุขและลดความทุกข์ 
ที่มาของการก่อตั้ง Action for Happiness มาจากการศึกษาสังคมอังกฤษในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา พบว่าแม้คนจะร่ำรวยทางวัตถุมากกว่าสมัยก่อน แต่กลับไม่มีความสุขมากขึ้น 
เพราะว่าคนเห็นแก่ตัวมากขึ้นเนื่องจากค่านิยมในสังคมเห็นว่าเงินเป็นที่มาของความสุข ทำให้คนแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน

จากการสำรวจเมื่อ 50 ปีก่อนพบว่าคนอังกฤษ 60 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าสามารถไว้เนื้อเชื่อใจคนส่วนใหญ่ในสังคมได้ 
แต่ปัจจุบันคนอังกฤษเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีความเชื่อเช่นนี้ 
หากไม่เริ่มเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตเสียใหม่ ในอนาคตจำนวนวัยรุ่นฆ่าตัวตายจะเพิ่มขึ้น คนจะมีอาการป่วยทางจิตมากขึ้น และการทานยาแก้โรคเครียดจะกลายเป็นเรื่องปกติในสังคม 

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีข้อแนะนำ 10 ประการของ Action for Happiness ที่ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นคือ
1. การให้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินทอง แต่สามารถให้ด้วยการสละเวลาหรือแรงกายเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อทำดีต่อผู้อื่น จิตใจก็จะดีตาม ขอให้เชื่อเถอะว่าการอยู่ในฐานะผู้ให้ มีความสุขกว่าเป็นผู้รับ 
2. มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อนฝูง ให้ความรักความห่วงใยผู้อื่น เราเองก็จะได้สิ่งนั้นกลับมา เช่น รู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วม มีค่า 
3. ออกกำลังกาย เมื่อร่างกายแข็งแรง จิตใจก็แจ่มใส 
4. รู้สึกซาบซึ้งพึงพอใจกับสิ่งรอบตัวในปัจจุบัน อย่ากังวลกับอนาคตหรือจมปลักกับอดีตจนเกินไป 
5. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สม่ำเสมอ จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองและภูมิใจตัวเอง 
6. ตั้งเป้าหมายในชีวิต ควรเป็นเป้าหมายท้าทายที่สามารถทำให้สำเร็จได้ ไม่ใช่เป้าหมายที่เกินเอื้อม เมื่อเราบรรลุเป้าหมายก็จะรู้สึกภาคภูมิใจ
7. รู้จักยืดหยุ่น ปรับตัวรับมือกับความเครียดความเศร้าที่เป็นเรื่องปกติในชีวิตมนุษย์ 
8. มองโลกในแง่บวก
9. ยอมรับในความเป็นตัวเอง และยอมรับในความเป็นตัวตนของผู้อื่น เพราะโลกนี้ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ
10. ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและเป้าหมาย ทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น


เงินทองสามารถซื้อความสะดวกสบายให้กับชีวิต และสร้างความสุขได้ในช่วงสั้นๆ 
แต่สิ่งสำคัญที่มีผลต่อความสุขระยะยาวของคนเราก็คือคุณภาพในความสัมพันธ์ที่มีต่อครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และสังคม

พิจารณาคำแนะนำทั้ง 10 ข้อขององค์กรปฏิบัติการเพื่อความสุขแต่ละข้อ คนไทยทุกคนทำได้ และทำไม่ยากเลย
ทดลองทำดูมั้ยครับ



+++

แมนนี ปาเกียวแพ้ : แพ้จริง หรือแพ้ตามแผน?
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1661 หน้า 96


เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่าน มาแมนนี ปาเกียว แพ้เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีชนิดคนดู และคนชกมึนพอๆ กัน
เพื่อนฝรั่งชาวลาสเวกัสของผมคนหนึ่งเดินออกจากเวทีตอนกลางยกสุดท้ายด้วยเกรงว่าถ้ารอหมดยกคนจะแน่น เดินออกลำบาก
ออกจากสนามมวยก็ขับรถกลับบ้าน พอถึงบ้านภรรยาถามเขาว่า "ปาเกียวแพ้ได้อย่างไร"
เขาตกใจแล้วถามภรรยาว่า "ปาเกียวแพ้หรือ?" 
ภรรยาถามว่า "อ้าว แล้วคุณอยู่ในเวทีมวยไม่รู้ได้ไง" 
เขาตอบว่าคิดว่าปาเกียวชนะลอยลำก็เลยเดินออกมาก่อนหมดยกสุดท้าย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ทิม แบรดลีย์ ผู้ชนะ...

ทันทีที่ระฆังหมดยกสุดท้ายดังขึ้น เขาเดินเข้าไปบอก บ็อบ อารัม โปรโมเตอร์ผู้จัดศึกครั้งนี้ซึ่งเดินขึ้นไปรอฟังผลบนเวทีมวยว่า "ผมพยายามเต็มที่แล้ว สู้ไม่ได้จริงๆ"

แต่อีกไม่ถึง 2 นาทีถัดมา ไมเคิล บัฟเฟอร์ โฆษกสนามประกาศผลการตัดสินว่าแบรดลีย์ชนะ 2 ต่อ 1 เสียง (115-113, 115-113 และ 113-115)
ดูคะแนนจากใบให้คะแนนแล้วน่าตกใจมาก 

ใครที่ดูเมื่อวันอาทิตย์ทางช่อง 7 ก็คงจะเห็นว่ามีอย่างน้อย 3 ยกที่ทั้ง 2 ฝ่ายควรได้ 10 คะแนนเท่ากัน 
ส่วนยก 3, 4, 5 และ 6 ที่ปาเกียวชนะก็ชนะมากกว่าที่แบรดลีย์ชนะในยกที่ 10, 11 และ 12
คือยกที่ปาเกียวชนะ เขาชนะแบบ A ชนะ C แต่แบรดลีย์ชนะแบบ B บวกชนะ B
ถ้ามีการให้คะแนนแบบยกที่ชนะชัดเจนได้ 10 ต่อ 9 ชนะหวุดหวิดได้ 10 ต่อ 9.5 ดูจะเป็นธรรมกับนักมวยทั้ง 2 ฝ่ายมากกว่า


ภายหลังการชกปาเกียวให้สัมภาษณ์ด้วยภาษาที่งดงามว่า "ผมทำดีที่สุด แต่ดีที่สุดของผมก็ยังดีไม่พอ (I do my best but my best was not good enough) พร้อมบอกด้วยว่าเขายอมรับการตัดสินของกรรมการ เพราะนี่คือกติกา 
ทางด้านแบรดลีย์ให้สัมภาษณ์ (อย่างเป็นทางการ) ว่าเกมมันคู่คี่มาก เขาต้องกลับไปดูวิดีโออีกที แต่ก็รู้สึกว่าเขาสมควรเป็นผู้ชนะ 
ผลการชกของมวยคู่นี้ทำให้ เปรโด เฟอร์นานเดซ นักจัดรายการมวยทางวิทยุที่อเมริกาตั้งกระทู้ให้แฟนมวยโหวตผ่านเว็บไซต์ว่าใครกันแน่ควรเป็นผู้ชนะ (Who Win. You Vote.)
ปรากฏว่าความเห็นก่อนโหวตของแฟนมวยอ่านแล้วสนุกมาก
กรรมการ 2 คน ซึ่งเป็นสุภาพสตรี 1 คน ให้แบรดลีย์ชนะ 7 ยก  แพ้ 5 ยกเท่ากันทั้งสองคน

สำหรับแฟนมวยที่เข้าใจหลักการให้คะแนน ทุกคนประหลาดใจแบบเดียวกับที่ บ็อบ อารัม ให้สัมภาษณ์ในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาว่า แมนนี่ ปาเกียว แพ้ 7 ยกเป็นเรื่องตลกและน่าละอาย พร้อมกับตั้งคำถามในเชิงเสียดสีว่ากรรมการดูมวยเป็นรึเปล่า?  
บ็อบบอกว่าคนดูมวยเป็นบอกตรงกันว่าปาเกียวควรชนะ 11 ต่อ 1 ยก หรือ 10 ต่อ 2 ยก ไม่ใช่แพ้ 7 ต่อ 5 ยก 
และบอกด้วยว่าเขาเป็นโปรโมเตอร์ของนักมวยทั้งสองคน แพ้ชนะกันแบบนี้เขาทำเงินอีกมหาศาลจากการจัดชกแก้มือ 
แต่เขาไม่รู้สึกดีกับการให้คะแนนของกรรมการในวันนี้



ผมดูคะแนนจากใบให้คะแนนของกรรมการทั้ง 3 คน ปรากฏว่าไม่มียกไหนแม้แต่ยกเดียวที่กรรมการทั้งสามให้คะแนนเสมอกัน 10 ต่อ 10 (คะแนนเต็มยกละ 10 แต้ม) 
ทุกยกมีแต่คะแนน 10 ต่อ 9 หรือไม่ก็ 9 ต่อ 10
ทำให้สงสัยว่าเดี๋ยวนี้หลักเกณฑ์การให้คะแนนเปลี่ยนไปแล้วหรือ
ต้องแพ้-ชนะกันทุกยก รึเปล่า
ห้ามให้คะแนนเสมอกัน 10 ต่อ 10 เหมือนเมื่อก่อนใช่มั้ย? 
ปรากฏว่าเข้าเว็บไซต์ดูกติกาการให้คะแนน เขาบอกชัดเจนว่าถ้าไม่เห็นว่าฝ่ายใดเหนือกว่าก็ให้ 10 คะแนนเท่ากัน

บางคนแสดงความเห็นว่า "จะโหวตไปทำไม ใครๆ ก็เห็นว่าปาเกียวชนะห่างไกลตั้งหลายไมล์"
บ้างก็ว่า "มวยคนละดิวิชั่น" 
คนที่เสียพนันเพราะถือหางปาเกียวก็บอกว่า "นี่มันปล้นกันชัดๆ"

มีหลายคนตั้งข้อสังเกตน่าสนใจว่าน่าจะมีคนกำหนดผลการแข่งขันล่วงหน้าให้ออกมาแบบนี้ เพราะปาเกียวแพ้แบบนี้ต้องมี "นัดแก้มือ" แน่นอน คราวหน้าไม่ว่า ปาเกียว แบรดลีย์ และ บ็อบ อารัม รวยบานทะโรคไปตามๆ กัน (คำว่าบานทะโรคผมเติมเองเพื่อเป็นสีสัน) 
ถ้าความเห็นของฝรั่งอเมริกันที่อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์เป็นความจริง นักพนันในเมืองไทยที่ชอบเล่นพนันเวลามีมวยระดับโลกชกกันที่เมืองนอกต้องระวังให้ดี 
มวยแพ้แต่กรรมการตัดสินให้ชนะ โปรโมเตอร์ทำเป็นออกมาเอ็ดตะโรด่ากรรมการว่าดูมวยไม่เป็น น่าละอาย พอเรื่องจางหายไปอีก 5 เดือน มวยคู่เดิมก็ชกล้างตากันใหม่ โปรโมเตอร์กำไรเละเป็นร้อยๆ ล้านดอลลาร์...

ในขณะที่นักพนันทั้งที่อเมริกาและเมืองไทยยังทำงานใช้หนี้ไม่หมด 
ได้ข่าวว่าปาเกียว-แบรดลีย์ภาค 2 จะชกกันวันที่ 10 พฤศจิกายนปีนี้ ระวังตัวให้ดีละกัน 




.