http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-06-29

สับสนฝ่ายค้าน, ถ่วงความเจริญ, กลัวนาซ่า, กระสุน(จริง), พิทักษ์อาปู ในคอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม

.
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม - (2475)โลกย์เป็นเช่นนั้น  โดย กระสา มันเสมอ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

สับสนฝ่ายค้าน
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม ในข่าวสดออนไลน์  วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น


เป็นอันพับโครงการนาซ่าขอใช้สนามบินอู่ตะเภาไปแล้ว 
หลังครม.พิจารณาว่า การที่ นาซ่าขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเพื่อศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผล กระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
ไม่เข้าข่ายมาตรา 190 วรรค 2 หรือไม่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง 
แต่เพื่อความรอบคอบ เห็นควรให้เปิดอภิปรายทั่วไปในสภาโดยไม่ลงมติในเดือนส.ค.นี้

ตรงนี้แหละที่ทำให้โครงการศึกษาภูมิอากาศต้องล้มไป 
เพราะยังไงก็ไม่ทันตามกำหนดของนาซ่าที่วางไว้ในปลายเดือนมิ.ย.นี้ 
จากคำแถลงของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็รู้สึกเสียดาย เพราะโครงการสำรวจภูมิอากาศของนาซ่าจะใช้ประกอบในการพยากรณ์อากาศ รองรับภัยพิบัติทางธรรมชาติ 
เป็นประโยชน์ต่อการป้องกันภัยน้ำท่วมของไทยในอนาคตอย่างมาก

แต่จำเป็นต้องให้มีการอภิปรายในสภา เพื่อให้เกิดความโปร่งใส 
เพราะข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านในเรื่องผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติ 
ถือว่าเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก!?


ตรงนี้ทำให้ต้องย้อนกลับไปดูท่าทีของฝ่ายค้านในเรื่องนี้ 
เพราะจริงๆ แล้วรัฐบาลประชาธิปัตย์นี่แหละที่ไปตกลงกับนาซ่า
แต่พอเป็นฝ่ายค้านก็กลับมาต่อต้านหน้าตาเฉย

งานวิจัยวิทยาศาสตร์กลายเป็นการเมืองน้ำเน่า 
ประโยชน์ของชาติก็กลายเป็นขายชาติ

ต้องยอมรับว่าการล้มโครงการนี้ ส่งผลกระทบต่อระบบการป้องกันน้ำท่วมของไทยในอนาคตแน่ๆ 
ในอดีตหากจำกันได้ เคยมีการขัดขวาง 2 พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อนำไปใช้ในโครงการแก้ปัญหาอุทกภัยเมื่อต้นปี 
ถึงขั้นยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วน 
สุดท้ายก็มีการวินิจฉัยออกมาว่า 2 พ.ร.ก.จำเป็นเร่งด่วนและโปร่งใสสุจริต

ทั้ง 2 กรณีนี้ทำให้ประชาชนสับสนมากถึงท่าทีของฝ่ายค้าน
เพราะมั่ว-พันกันไปหมด
ระหว่างการตรวจสอบ-การขัดขวาง!? 



++

ถ่วงความเจริญ 
โดย มันฯ มือเสือ  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


ทั้งที่คณะกรรมการกฤษฎีกายืนยัน 
กรณีองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือนาซ่า ขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเพื่อทำโครง การตรวจสอบการก่อตัวของก้อนเมฆช่วงมรสุมเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้  
ไม่เข้าเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190

ทั้งที่นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐยืนยัน 
นาซ่าเป็นองค์กรด้านพลเรือน นักวิทยาศาสตร์ เครื่องบิน อุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพสหรัฐ

ทั้งที่ผู้นำเหล่าทัพไทยไม่ว่าทัพบกหรือทัพเรือยืนยัน 
ไม่ใช่เรื่องความมั่นคง ไม่ใช่เรื่องการสูญเสียอธิปไตย แต่เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องทางวิชาการที่ไทยจะได้รับประโยชน์

ทั้งที่นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ไทยต่างเล็งเห็นประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ คือ ประโยชน์ด้านข้อมูลวิชาการ ประโยชน์ด้านการสร้างบุคลากรและการสร้างภาพลักษณ์
ตามที่นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.สำนัก งานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ สทอภ. ระบุ 
"นานาชาติจะได้เห็นเจตนาดีของไทยที่จะช่วยมวลมนุษยชาติ ที่ผ่านมาทำมาแล้วสิบกว่าจุดกระจายทั่วโลก เมื่อเราร่วมมือทำโครงการนี้ไทยจะมีที่ยืนในฐานะประเทศที่ช่วยให้ได้ข้อมูลในภูมิภาค"

ไม่นับผลสำรวจเอแบคโพลที่ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 63.5 เห็นควรให้นาซ่าเข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาเพื่อศึกษาการก่อตัวของชั้นบรรยากาศโลก 
ถึงมีเสียงหนุนมากมาย

แต่เพื่อความรอบคอบ รัฐบาลให้เปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 179 ในสมัยประชุมรัฐสภาที่จะเปิด 1 ส.ค.นี้ 
ตามเงื่อนไขวันเวลา จึงเป็นอันว่าโครงการของนาซ่าต้องล้มพับไปอย่างน่าเสียดาย


กระนั้นก็ตามในมุมกลับกัน ถ้าหากรัฐบาลไม่นำเรื่องเข้ารัฐสภา ฝ่ายค้านก็จะไปยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องก็ต้องถูกยับยั้งไว้อยู่ดีเหมือนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 
เผลอๆ รัฐบาลยังจะโดนยุบพรรคซ้ำสาม 
ทีนี้รู้หรือยังว่า 
ใคร...ถ่วงความเจริญประเทศชาติ?



++

กลัวนาซ่า
โดย สับไก กระสุนธรรม  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม 
ในข่าวสดออนไลน์  วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


อาจเพราะการแข่งขันด้านการทหารของโลก รวม"การบินอวกาศ" ไว้ด้วย 
โดยเฉพาะในยุคสงครามเย็นที่โซเวียตกับสหรัฐ อเมริกาแข่งขันแสนยานุภาพและบารมีกัน 
กรณีองค์การการบินอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือ นาซ่า ขอเข้ามา ตั้งศูนย์วิจัยภูมิศาสตร์และอากาศ ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติระดับภูมิภาค และฐานปฏิบัติการสำรวจสภาพอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่อู่ตะเภา จึงชวนให้ผู้รู้ในเมืองไทยคิดไปต่างๆ นานา 
แล้วแต่ว่าใครจะจินตนาการบรรเจิดกว่ากัน

บ้างกลัวว่า สหรัฐอาจแอบเอาขีปนาวุธเข้ามาติดตั้ง
บ้างสงสัยว่า ข้อตกลงแบบนี้คงแอบทำสัญญา ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้วีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐได้ 
บ้างว่า นาซ่าไม่น่าบีบไทยด้วยการขีดเส้นให้รีบตัดสินใจ 

หากเจ้าหน้าที่องค์การนาซ่าทราบข่าวความเคลื่อนไหวนี้ของไทย นึกไม่ออกว่าเขาจะงงหรือขำ  
นาซ่ามีหน้าที่ชัดเจนว่า รับผิดชอบโครงการอวกาศด้าน"พลเรือน" ทำงานด้านวิจัยเกี่ยวกับ การบินและอวกาศ 
นอกจากสำรวจดาวและจักรวาลอื่นๆ นอกโลก ยังมุ่งเน้นการศึกษาโลก ในเรื่องดินฟ้าอากาศ ผ่านระบบสังเกตการณ์ 
เช่น เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในไทยเมื่อปีก่อน นาซ่ามีภาพถ่ายดาวเทียมจากเครื่องมือบนยานอวกาศเทอร์รา แสดงเส้นทางการไหลของน้ำที่หลากท่วมพื้นที่ต่างๆ 

เป้าหมายที่จะเข้ามาตั้งศูนย์ที่อู่ตะเภาจึงจะเป็นไปตามภารกิจแบบนี้ 
ไม่มีเนื้อหาใดๆ ที่เกี่ยวกับ"การทหาร" ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เหล่าทัพต่างๆ รวมถึงบริษัทผู้วิจัยและพัฒนาอาวุธ 
โครงการต่างๆ ของนาซ่าคงไม่แตกต่างจากงานวิจัยด้านอื่นๆ คือมีกำหนดเวลาที่ต้องดำเนินการ มีเรื่องงบประมาณและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องติดตั้ง จึงขีดเส้นให้ไทยต้องตัดสินใจ

เพราะหากเราคิดนานหรือไม่อนุญาต เขาจะได้ไปเลือกที่อื่น 
แต่ที่ตั้งประเด็นกันไปไกลและซับซ้อน อาจมีอิทธิพลมาจากทฤษฎีนอกเหนือนาซ่า ว่า"พ.ต.ท. ทักษิณเป็นศูนย์กลางของจักรวาล" นั่นเอง



++

กระสุน (จริง)
โดย สมิงสามผลัด  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์ วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


ดูเหมือนว่าการเอาผิดคนสั่งปราบม็อบแดง 98 ศพจะคืบหน้าขึ้นมาก 
เมื่อนางธิดา โตจิราการ ประธานนปช. และญาติผู้เสียชีวิต จะเดินทางไปกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อนำข้อมูลคดีสลายม็อบ 98 ศพมอบต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในวันที่ 26 มิ.ย.นี้  
โดยนำคลิปวิดีโอและภาพนิ่งไปเปิดให้ศาลอาญาระหว่างประเทศได้ดูกันจะจะ
จะได้รู้ว่ามีการใช้อาวุธสงครามเข้าปราบปรามประชาชนจริงๆ

ความจริง 98 ศพต้องถูกเปิดเผยต่อสายตาชาวโลก!  
การทวงความยุติธรรมในระดับสากล จะได้เริ่มต้นอย่างจริงจังกันเสียที 
ขณะที่ในเมืองไทย ก็มีการไต่สวนเหตุการณ์สลายการชุมนุมและการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 เหมือนกัน


เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา คอป.เรียก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะผอ.ศอฉ.มาชี้แจง อีกครั้ง 
แต่มีเพียงนายอภิสิทธิ์เข้าชี้แจงคนเดียว 
นายอภิสิทธิ์ยอมรับว่ามีการสั่งการให้ใช้อาวุธจริงในเหตุการณ์กระชับพื้นที่ม็อบแดงเมื่อปี 2553
แต่ให้ใช้เฉพาะกรณีป้องกันตนเอง
หรือป้องกันประชาชนที่จะได้รับอันตราย

และไม่มีการใช้อาวุธปืนในการสลายการชุมนุม
ส่วนที่ติดประกาศว่า 'ห้ามเข้า เขตใช้กระสุนจริง' นายอภิสิทธิ์ตอบว่า เป็นเพียง การติดเพื่อเตือนไม่ให้ประชาชนเข้าไปร่วมชุมนุมในพื้นที่เท่านั้น


ก็ไม่เป็นไร เป็นสิทธิ์ที่นายอภิสิทธิ์จะชี้แจง 
แต่ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ นายสุเทพมีคิวเข้าชี้แจงคอป. 
ก็อยากให้คอป.ถามเรื่องการใช้กระสุนปืนอีกครั้ง 

เพราะกองทัพรายงานการเบิกจ่าย-คืนเครื่องกระสุนในช่วงเหตุการณ์สลายม็อบแดงแล้ว 
พบว่ามีการใช้กระสุนจริงไปกว่าแสนนัดทีเดียว 
นายสุเทพในฐานะ ผอ.ศอฉ.ต้องชี้แจงให้กระจ่างด้วย

ทำไมต้องใช้กระสุนจริงนับแสนนัดในการป้องกันตัว
แล้วทำไมไม่ใช้กระสุนยาง !?



++

พิทักษ์อาปู
โดย สมิงสามผลัด  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


เหมาะสมแล้วที่ "โอ๊ค"พานทองแท้ ชินวัตร ประกาศตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์อา (นายกฯ) ปู 
เพราะหลานโอ๊คอัดพวกกระแนะกระแหน-ค่อนแคะนายกฯยิ่งลักษณ์เสียอยู่หมัดจริงๆ 
การตอบโต้ก็ใช้ช่องทางผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก ผ่านเฟซบุ๊ก 
แรกๆ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองเลย

เป็นเรื่อง "ของดีราคาถูก" แนะนำร้านอาหารราคาถูก 
สู้กับกระแส "แพงทั้งแผ่นดิน" ที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามโหมกระหน่ำเล่นงานรัฐบาลพรรคเพื่อไทย 
พยายามบอกว่าราคาอาหารถูกๆ ก็มีอยู่ ไม่ได้มีแต่แพงอย่างเดียว 
แต่ก็ดันเป็นเรื่องเป็นราว เพราะโอ๊คดันไปโพสต์ภาพนั่งกินข้าวหมูแดงราคาถูกร้านดัง ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ พรรคประชาธิปัตย์ 
เท่านั้นแหละ
เต้นผางกันทั้งพรรค ดาหน้าออกมาตอบโต้กันยกใหญ่

ถ้าเป็น นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค ตอบโต้ก็พอทำเนา 
แต่กลายเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคโดดลงมาเล่นเอง 
ให้สัมภาษณ์ว่า "รัฐบาลทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ของพ่อคุณพานทองแท้"

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาดูเหมือนว่าเป้าหมายโจมตีของพรรคประชาธิปัตย์ ก็กลายเป็น "โอ๊ค" ไปโดยปริยาย
มากันหมดทั้งโฆษกพรรคอย่าง นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต 
หรือส.ส.มือปาแฟ้มอย่าง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม

เล่นกันเลยเถิดถึงขนาดด่าพ่อล่อแม่กันเลย 
ไม่น่าเชื่อเลยว่าแค่ลูกชายทักษิณ ซึ่งไม่ได้เป็นนักการเมืองด้วยซ้ำ 
ยังทำให้พรรคประชาธิปัตย์ออกอาการได้ขนาดนี้


แล้วดูลีลาการ "เอาคืน" ของโอ๊คแล้วก็ถึงพริกถึงขิงดี 
ใส่กันเต็มๆ ไม่ไว้หน้าอดีตนายกฯ มาร์คที่ระบุว่า สู้นายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ได้ คือเรื่องเปลี่ยนชุดได้ไม่เท่า แล้วก็ตำส้มตำไม่เป็น
"โอ๊ค" ก็จัดเต็มด้วยการโพสต์ภาพ
นายอภิสิทธิ์ยืนยิ้มแป้นตำส้มตำโชว์สมัยเป็นนายกฯ 
กับภาพนายอภิสิทธิ์ยืนเต๊ะท่าถ่ายแบบหลายสิบรูป

โดนดอกนี้เข้าไป "มาร์ค" คงสะดุ้งโหยง !?



+++

โลกย์เป็นเช่นนั้น 
โดย กระสา มันเสมอ  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น. 


วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2555 เป็นวันครบรอบการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย 80 ปี

ท่านอาจารย์ ดุษฎี พนมยงค์ เขียนบทความเชิงถักร้อยถ้อยเรียง ลงมติชน หน้า 10 ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ 24 ด้วยความเรียบไหล ทว่าลึกซึ้ง ถึงบุพการีของท่าน ผู้อภิวัฒน์คนสำคัญ ซึ่งมีทั้งความสุจริตต่อผู้คน สุจริตต่อแผ่นดินเต็มเปี่ยมคือ 
ท่านอาจารย์ ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษผู้ยิ่งยงของไทย 
ข้อเขียนเท้าความตั้งแต่ พ.ศ.2468 บอกว่า

"...ข้าพเจ้ามีอายุเพียง 25 ปีเศษ เท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจน 
แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้วและได้คะแนนสูงสุด 
แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี...บางครั้ง ข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา 
ข้าพเจ้าไม่ได้นำความจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย 
ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ 
ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ 
ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคำนึงให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี
"

พ.ศ.2475 มันสมองอันวิสุทธิ์ของกลุ่มคณะราษฎร์ ก็บอกอีกว่า 
"ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี 
พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ 
แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน 
และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น 
ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ
"



ประชาธิปไตยในทางรอดของไทย เป็นไปอย่างที่ท่านอาจารย์ปรีดีเขียน  
สรุปสังเขปคือ เป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน จากผู้ริเริ่มกระทำการด้วยความสุจริต ทั้งต่อตัวเอง ต่อผู้อื่น ต่อแผ่นดิน

ไม่ใช่เกิดจากการทุจริตฉ้อฉลทุกรูปแบบด้วยความเห็นแก่ตัวชั่วชาติด้วยกากเศษไวน์ก้นแก้ว ซ้ำไม่รู้ถึงกะปิดีในรสน้ำพริกของประชาชน

ขนาดสุจริต ยังผิดหวัง 
ภายใต้เงื้อมมือทุจริตฉ้อฉล ใครคิดถึงทางออกอย่างไร?  



.