สหาย(ผรท.) เป็นเมล็ดพืชสีแดง หรือเบี้ยบนกระดาน
โดย มุกดา สุวรรณชาติ คอลัมน์ หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1663 หน้า 20
ความเป็นมา ของเงินช่วยเหลือ ผรท.
ประมาณปี 2525 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธ มีกองกำลังอาวุธเข้ารายงานตัวตามนโยบาย 66/2523 โดยรัฐบาลสัญญาว่าจะช่วยเหลือแก้ไขความเดือดร้อน และดูแลเรื่องความปลอดภัยของคนเหล่านี้ซึ่งเรียกว่า...ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.)...หลังจากเรียกว่า ผกค.มา 20 ปี แต่ก็ช่วยเหลือได้เพียงบางส่วน แล้วก็เงียบหายไปเป็น 10 ปี จนมีการเคลื่อนไหวทวงสัญญาในปี 2539-2544 จากสหายอีสาน และก็เงียบไปอีก
หลังรัฐประหาร 2549 พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เห็นประโยชน์ของ ผรท. ได้สั่งการให้ช่วยเหลือเยียวยาแก่กลุ่ม ผรท.อีสาน 11 จังหวัด จำนวน 2,622 ราย แต่มีการคัดค้านจากกลุ่มที่ไม่มีรายชื่อ เรื่องจึงผ่านมาถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งได้แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโดยมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานและได้ขยายขอบเขตออกไปในทั่วประเทศ
ผรท.ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ เลยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลในครั้งนี้ด้วย
แต่ตัวแทนกองทัพภาคที่ 2 ได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขไม่แจกที่ดิน วัว ควาย แต่ขอจ่ายเงินทดแทน ครอบครัวละ 225,000 บาท
มีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับภาคและจังหวัด เพื่อตรวจสอบและคัดกรองคุณสมบัติ ผรท. ซึ่งหมายถึง
1. ผู้เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยอาวุธในเขตป่าเขาเท่านั้น ส่วนมวลชน หรือทหารบ้าน ไม่มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือ
2. ต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากทางราชการในฐานะ ผรท. และไม่เคยได้รับความช่วยเหลือด้านการจัดที่ดินจากทางราชการมาก่อน
3. ต้องเป็นผู้มีฐานะยากจนรายได้ต่อปีไม่เกิน 6 หมื่นบาท
4. ต้องเป็นบุคคลที่เกิดในปี 2509 หรือก่อนนั้นและต้องเป็นผู้ที่มีความประพฤติดี
ปรากฏว่ามี ผรท. เขตภาคกลาง 397 คน เขตอีสาน 11,000 คน ภาคเหนือ 1,431 คน จำนวน 12,828 คน
ใน 19 จังหวัดภาคอีสานนั้นดูมากผิดปกติเพราะเดิมแจ้งขึ้นบัญชีไว้เพียง 3,817 ราย
แหล่งข่าวกล่าวว่า มีมากกว่า 50% ที่มีการยัดไส้ "ผรท.ปลอม" เข้ามาโดยร่วมมือกันระหว่าง สหายบางคนกับเจ้าหน้าที่บางคน ที่แอบทำหลักฐานผ่านการอบรมศูนย์การุณยเทพ หวังกินค่าหัวคิวรายละ 10-50%
ในที่สุด ก็มีการจ่ายเงิน ให้กับ ผรท. ชุดแรกในอีสาน เมื่อ 14 มกราคม 2554 ที่ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 จำนวน 724 ราย ได้เงินช่วยเหลือ รายละ 225,000 บาท
และต่อมา ก็มีการจ่ายเงินให้ในหลายเขต มี ผรท. ปลอมถูกตัดทิ้งไปได้จำนวนหนึ่ง แต่ก็มีรายชื่อ ผรท. ที่ตกหล่นไปจำนวนหนึ่ง นั่นจึงเป็นเหตุให้มีการพยายามเสนอชื่อ ผรท. เพิ่มเติมเข้ามาใหม่
แต่คราวนี้มีข่าวว่าจะมีจำนวนถึง 30,000 คน
ข่าวที่ได้ยินมา มีทั้งเรื่องโกหกและทุจริต แต่ฟังดูแล้วเหมือนอ้างจำนวนเป็นพลังต่อรอง ...เอาไว้ทำอะไร?
บทบาทของเบี้ยบนกระดาน
ข่าวแรก ในอดีต ยุคนายกฯ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผรท.ภาคอีสาน ได้มารวมตัวกันและยื่นในหนังสือ เพื่อให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี และคณะ คมช. ให้ทำงานต่อไป เนื่องจากปัจจุบันมีหลายกลุ่มที่พยายามเคลื่อนไหวต่อต้าน ซึ่งทาง ผรท.ทั่วประเทศเห็นว่าควรที่จะมาสมานฉันท์กันเพื่อบ้านเมืองของเรา
และในตอนท้ายได้มีการนำรายชื่อของอดีตผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ซึ่งเป็นรายชื่อตกหล่นในการรับการช่วยเหลือจากคำสั่ง 66/2523 เข้ายื่นต่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผ่าน ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์
ข่าวที่สอง เร็วๆ นี้ ผรท.ขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียงร่วม 2,000 คน ชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัด แสดงพลังสนับสนุนคำวินิจฉัยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ชะลอพิจารณาร่าง รธน. ซัดกลุ่มบุคคลที่เคลี่อนไหวต้านคำสั่งศาลจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง สับเละ "จาตุรนต์" ยุยงคนให้ร้ายต่อศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นการหมิ่นศาล
ข่าวที่สาม แกนนำ และสมาชิกกลุ่ม ผรท. 19 จังหวัดอีสานรวมตัวที่บุรีรัมย์ ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และจะไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับกลุ่มใด หลังมีผู้ชุมนุมบางกลุ่มอ้างชื่อ ผรท. เคลื่อนไหวคัดค้านการลงชื่อถอดถอนตุลาการศาล รธน. พร้อมชี้เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.ปรองดอง เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง
เรื่องเล่าจาก สหายคำรณ
คนอื่นโกงเพื่อจะเป็นนายอำเภอ โกงเพื่อจะเป็นตำรวจ โกงเพื่อจะเป็นครู แต่สหายคำรณโกงเพื่อจะป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์
...ผมจบ ม.สาม เคยเห็นป่า เคยเข้าไปหาหน่อไม้ หาเห็ด มีนายหน้ามาติดต่อให้เป็น ผรท.บอกว่าจะได้เงิน 50,000 แต่ต้องไปอบรม ที่รีสอร์ตใหญ่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีคนประมาณ 100 คน มีเวทีมีผ้ากำมะหยี่สีแดง มีรูปค้อนกับเคียวไขว้กัน ข้างล่างเวทีมีชายวัยใกล้หกสิบปีนั่งเรียงกันอยู่ ทั้งสามคนแต่งชุดสีเขียวขี้ม้าสวมหมวกติดดาวแดง แล้วชายคนที่สี่ตัดผมสั้นเกรียนและดูหนุ่มกว่าใคร ก็ขึ้นไปบนเวที
"สวัสดีครับสหายทุกคน "ผมวิชัยครับ" ขอต้อนรับสหายทุกคนที่มาจากหลายที่หลายแห่งในอีสานเหนือนี้"
"ขอให้สหายที่ได้รับแฟ้มเปิดดูชื่อของตัวเองแต่ปิดเป็นความลับ เราต้องรู้จักกันในชื่อใหม่ หรือในป่าเรียก "ชื่อจัดตั้ง" จำไว้นะครับ เพราะทุกคนที่เข้าป่าต้องปิดลับตัวเองไม่มีการบอกชื่อแซ่ ไม่บอกรายละเอียดส่วนตัว บ้านอยู่ไหน"
ในแฟ้ม หน้าแรกมีแบบฟอร์มกรอกข้อมูลประวัติส่วนตัว มีรูปถ่ายขนาดหนึ่งนิ้วเป็นภาพของผม บรรทัดแรกเขียนชื่อนามสกุลจริง บรรทัดที่สองเป็นชื่อจัดตั้ง ผมมีชื่อจัดตั้งว่า "สหายคำรณ"
วิทยากรสั่งให้เปิดหนังสือหน้า 5 วินัยของทหารปลดแอกมี 10 ข้อ ข้อแรก ปฏิบัติการทุกอย่างฟังคำบัญชา... สหายจงพูดเรื่องอาหาร ความขาดแคลนของในป่าตอนที่แกเข้าไปร่วมกับคอมมิวนิสต์ สหายแกนนำอีกคนชื่อชิตสอนให้รู้จักคำศัพท์บางคำที่คนในป่าใช้
"ในป่ามีเพลงร้องเยอะแยะเหมือนกัน ผมขอให้สหายพยายามร้องเพลงให้ได้สักสองสามเพลงเป็นอย่างน้อย โดยเฉพาะเพลงเด่นๆ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ เช่น ภูพานปฏิวัติ สหายต้องร้องให้ได้ เพลงวีรชนปฏิวัติที่ถือว่าเป็นเพลงชาติของ พคท." สหายชิตย้ำ ให้พวกเราเปิดดูเนื้อร้องแล้วหัดร้องตาม...ลูกไทยห้าวหาญ สู้เผด็จการทารุณไม่เคยไหวหวั่น ...
ผู้อบรมนอนบ้านละสี่คน วันสุดท้ายของการอบรม มีการนำปืนอาร์ก้า เซกาเซ คาร์บิน ระเบิดด้ามและทุ่นระเบิดที่ทหารในป่าใช้มาให้ดู
สิ่งที่ผมต้องจำให้ขึ้นใจเพื่อตอบคำถามของเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ให้ได้ไม่ติดขัดคือ ...ผม... สหายคำรณ เข้าป่าตั้งแต่อายุ 13 ปี โดยมีสายจัดตั้งพาไป หลังจากพ่อแม่ถูก อส. ฆ่าตายเพราะเป็นสายให้คอมมิวนิสต์ ได้รับการฝึกฝนด้านการเมืองการทหาร เคยเคลื่อนไหวในเขต...ออกรบหลายครั้ง มีการปะทะกับทหารที่ชายหมู่บ้าน...จนได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ขวา...
ตอนนี้ผมชักรู้สึกว่าเงินห้าหมื่นน้อยมากเพราะผมอาจต้องติดคุกจากคดีฉ้อโกงเงินภาษีมาเป็นของตน และเมื่อเทียบกับนายหน้าที่หักหัวคิวไปให้ผู้ร่วมงานแสนกว่าบาท ลองเอาหนึ่งร้อยคูณพวกนี้จะมีรายได้เท่าไร ผมรู้มาว่าภาคอีสานจะมีคนปลอมเป็นสหายอีกมากมาย
คำเตือนจากชาวบ้าน...อยากให้รัฐบาลตรวจสอบรายชื่อตกหล่นที่ส่งให้นั้นเป็น ผรท. จริงๆ หรือไม่ บางคนยังไม่รู้เลยว่า ผรท. คืออะไร เขาบอกว่าให้สมัครก็สมัครกับเขา เสียเงินคนละ 3,000 บาท หวังจะได้เงิน 225,000 บาท แต่มีหักค่าหัวคิว ค่าดำเนินการ คนละหลายหมื่นบาท
ผรท. จริงๆ จะเป็นคนแก่แล้วทั้งนั้น ในหมู่บ้านของข้าพเจ้าเอง คือ บ้านนานกเค้า และบ้านนาคำ ตำบลห้วยยาง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
เงิน ผรท. งวดเดือนธันวาคม 2554 ที่ผ่านมา คนที่เป็นนายหน้าถึงกับออกรถป้ายแดงเลย
วิเคราะห์ เบี้ยสีแดง 2 ตัว
ปรากฏการณ์ที่ ผรท. เข้ามารับความช่วยเหลือและเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นธรรมดาที่ชาวบ้านซึ่งยากจนจะต้องการเงินไปเลี้ยงชีพ เพราะขนาดพวกลุงพวกป้าซึ่งเป็นสหายนำหลายคนยังวิ่งเข้าหาศูนย์อำนาจ กลายเป็น พคท. รอ. (รอรับ...) ช่วยเคลื่อนไหวทางการเมือง รับค่าตอบแทนกันเยอะแยะ ทำไมชาวบ้านจะทำไม่ได้
แต่จะว่าไปแล้ว ทั้งปัญญาชน คนที่เคยก้าวหน้าจำนวนมาก ก็ออกมาหาอยู่หากินเพื่อแสวงหาเงินตราและอำนาจทั้งในรูปแบบของงาน NGO และ กรรมการองค์กรต่างๆ รับใช้กลุ่มการเมือง เคลื่อนไหวสนับสนุนกลุ่มอำนาจ ได้ผลตอบแทนครั้งละมากๆ เช่นกัน
ในที่สุดวันนี้ พวกซ้ายเก่าก็แยกเป็นสองฟาก ตั้งแต่ชาวบ้านที่ทำไร่อยู่ตีนภู จนถึงปัญญาชนระดับด๊อกเตอร์ ตั้งแต่ทหารบ้านจนถึงกรมการเมือง
มองเผินๆ เหมือนกับพวกเขาถูกระบบแยกออกจากกันและมาห้ำหั่นกันเอง
แต่ถ้ามองลึกลงไปจะพบว่า พวกเขาได้ผสมตนเองเข้ากับทั้งสองฝ่ายได้อย่างดี บางคนเปลี่ยนจากเบี้ยเป็นม้า หลายคนกลายเป็นแกนนำหรือเสนาธิการในเกือบทุกองค์กร คนเหล่านี้จึงมีบทบาทสำคัญอยู่ในพรรคเพื่อไทย ในพรรคประชาธิปัตย์ ในกลุ่มคนเสื้อแดง และกลุ่มคนเสื้อเหลือง และอยู่แม้แต่วงในของกลุ่มทุนที่สนับสนุนและกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง
จะโดยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ผู้มีอำนาจ, แกนนำและ เสธ. ได้ทำให้ความขัดแย้งขยายตัว ทำให้อำนาจแห่งความอยุติธรรมกระจายออกจนทำให้เกิดคนเสื้อแดงขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง และได้นำพาทั้งสองฝ่ายคือกลุ่มนายทุนใหม่ กลุ่มหัวก้าวหน้า เข้าปะทะกับกลุ่มศักดินาขุนศึกและกลุ่มนายทุนเก่า
การปะทะครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วง 7 ปี ได้สร้างความตื่นตัวทางการเมืองให้กับประชาชนได้มากกว่าการเคลื่อนไหวของ พคท. และพรรคการเมืองต่างๆ ที่ทำงานในประเทศมากว่า 40 ปี
ได้สร้างเงื่อนไขของการปฏิวัติ ขึ้นมาใหม่ทั้งๆ ที่เมื่อ 10 ปีก่อน แทบมองไม่เห็นเงื่อนไขนี้ในประเทศไทยเลย
เบี้ยหรือเมล็ดพืชสีแดง
วันนี้สถานการณ์คล้ายจะจบแล้ว ตัวละครถูกนำออกมาใช้งานเกือบหมด ทุกกลุ่มทุกองค์กร จะอิสระหรือมีสังกัดก็ตาม สหายเก่าบางคนเปลี่ยนจากเบี้ยเป็นม้า แต่ ผรท. บางส่วนยังเป็นเพียงแค่เบี้ยบนกระดาน
เมื่อการต่อสู้ยกสุดท้ายมาถึง ไม่รู้ว่าใครจะหันคมหอกกระบอกปืนไปใส่ใคร ต้องตัดสินใจกันเอง ทั้งเพื่อความอยู่รอดและเพื่ออุดมการณ์
หลายปีที่ผ่านไป เมล็ดพืชเก่าอาจเปลี่ยนสีกลายพันธุ์ไปเป็นเหลืองบ้าง แสดบ้างก็เป็นเรื่องปกติ แต่สายพันธุ์ใหม่ก็งอกงามขึ้นมามีสีแดงอ่อนที่แตกต่างกว่าเดิม เติบโตและกระจายไปทั่วประเทศ เป็น...เมล็ดพืชสีแดง แห่งประชาธิปไตย
ขยายตัว...ทั่วผืนแผ่นดิน...
.