http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-08-07

เห่อ โดย จอห์น วิญญู

.

เห่อ
โดย จอห์น วิญญู spokedark.tv www.facebook.com/spokedarktv
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1668 หน้า 77


คุณผู้อ่านครับ ก่อนอื่นคงจะต้องกราบขออภัยหากกระผมกำลังจะสร้างความรำคาญให้ท่านอย่างยิ่งยวด แต่ผมกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ไม่สามารถหยุดยั้งตัวเองได้
ผมกำลังเห่อพิธีเปิดลอนดอนโอลิมปิกครับ เห่อประเภทที่ว่า ดูแล้วดูอีก เปิดซ้ำไปซ้ำมาในช่องยูทูบของโอลิมปิกเที่ยวนี้ซึ่งมีให้ดูทั้งที่เป็นเทปบันทึกการแข่งขันและการถ่ายทอดสด ดูกันจนคุ้มนั่นแหละ ไม่ใช่ดูในทีวีครั้งสองครั้งแล้วก็ผ่านไป

ณ จุดนี้ ผมขออนุญาตประกาศอย่างเป็นทางการให้ชาวโลกทั้งหลายได้ทราบว่า (เผื่อมีท่านใดยังไม่ทราบอีก) อินเตอร์เน็ต คือประดิษฐกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติในสหัสวรรษที่ 2 นี้ ใครอยากจะเถียงผมยังไงก็เอาเถอะ แต่ถามจริงๆ ว่ามีนวัตกรรมใดที่มีผลกระทบต่อชีวิตคนหมู่มากในด้านข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ และการสื่อสารมากเท่าสิ่งนี้หรือไม่? 
มันก็จริงแหละครับ อินเตอร์เน็ตไม่สามารถแก้โรคเอดส์ หรือซ่อมโรคมะเร็งได้ 
แต่อินเตอร์เน็ตก็เป็นที่ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บที่คนธรรมดาๆ เป็นจำนวนมากสามารถเข้าไปหาความรู้เพื่อป้องกันตัวเองได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

อินเตอร์เน็ตเชื่อมคน เชื่อมความรู้ และที่สำคัญที่สุด ส่งต่อแรงบันดาลใจจากมุมโลกหนึ่งไปยังอีกมุมโลกหนึ่ง เรื่องดีๆ มีเยอะ ซึ่งก็แน่นอน สิ่งใดทีมีด้านดีเยอะก็ย่อมต้องมีด้านมืดเยอะเช่นกัน 
แต่การปฏิเสธของบางอย่างเพียงเพราะว่ามันมีด้านมืด ก็ออกจะเป็นเรื่องโง่ไปซักนิด
เนื่องจากหากพิจารณาทุกสิ่งอย่างรอบคอบถี่ถ้วนแล้วจะพบว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกหล้าที่มีแต่ด้านสว่างหรือด้านดีหรอกนะครับ

ประกาศนโยบายเสร็จแล้วเรากลับไปที่ลอนดอนเกมส์กันดีกว่า



ดูจากพิธีเปิดโอลิมปิกเที่ยวนี้ ท่าทางคนอังกฤษน่าจะเป็นหนี้กันไปถึงลื้อของเหลนรุ่นสามของคนอังกฤษปัจจุบัน ผมว่า
การจัดโอลิมปิกแล้วอ้างว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวเท่านั้นเท่านี้หรือเรื่องเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวและการขายตั๋วที่จะหลั่งไหลเข้ามามหาศาลนั้นน่าจะเป็นเรื่องโม้หรือฝันหวาน 
เพราะแม้ว่าจะเกิดการสร้างงานสร้างรายได้แต่ไม่ว่าจะเป็น ซิดนีย์ หรือ ปักกิ่ง (ไม่ต้องพูดถึงกรีซเลยนะครับ---เจ้านั้นน่ะไปไกลมากแล้ว) ล้วนยอมรับแล้วแต่โดยดีว่าการจัดโอลิมปิกในประเทศของตัวเองจนถึงบัดนี้ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจอย่างที่คาดหวังเอาไว้ก็ยังไม่เกิด 
แม้ว่าซิดนีย์โอลิมปิกจะได้รับประทับตราการันตีว่าเป็นโอลิมปิกที่ประสบความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจก็ตาม

ดูแค่การสร้างสาธารณูปโภคใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อรองรับความอลังการทั้งหลายนี้บวกกับมูลค่าความเสียหายที่จะตามมาเมื่องานจบและสถานที่เหล่านี้จะถูกทิ้งร้างไปเนื่องจากรัฐบาลไม่มีปัญญาจ่ายค่าบำรุงรักษาแล้วล่ะก็ ยับเยินครับ
แต่ก็เอาเถอะ จัดไปเถอะครับ แสดงแสนยานุภาพกันได้อย่างเต็มที่ แบบว่า ก็อยากจัดอ่ะ มีปัญญาอ่ะ มีไรป่ะ?? รวยอ่ะ โอวเค้?? 

รวยจริงไรจริงครับ รัฐบาลอังกฤษจัดงานได้สึดยิ่ดมั่กๆ ต้องปรบมือชาบูในความ "มีปัญญา" และ "มีของ" ระดับเทพของเค้าจริงๆ อ่ะแหละ ไอ้เราก็ได้มีความสุขดูโชว์ดีๆ ฟรีๆ สี่ปีครั้ง 
ไม่แฮปปี้ก็บ้าแล้ว



ซีนสุดประทับใจของผมคงหนีไม่พ้นพระเอกในดวงใจตลอดกาล มิสเตอร์บีน โรเวน แอตคินสัน ที่มาร่วมแสดงกับวงออเคสตร้าในเพลงประกอบภาพยนตร์สุดคลาสสิค Chariots of Fire เพลงนี้ แม้คนไม่เคยดูหนังก็น่าจะเคยได้ยินเพราะใช้กันอย่างกว้างขวางมายาวนานถึงสามสิบกว่าปีแล้วครับ 
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่เป็นความภาคภูมิใจของคนอังกฤษเพราะได้รับรางวัลออสการ์เป็นจำนวนมากและอย่างที่ว่า โดนใจคนทั้งโลก---หนังขึ้นหิ้งนะครับที่ออเคสตร้าเอามาเล่นในพิธีเปิดโอลิมปิก แล้วก็เอามิสเตอร์บีนมานั่งกดเครื่องดนตรีหนึ่งชิ้น แล้วก็เล่นตลกแบบบีนๆ ไปในขณะที่ออเคสตร้ากำลังเล่นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการจามแล้วหาพยายามหาทิชชู่มาเช็ดขี้มูก
เอาร่มมากดคีย์บอร์ดแทนระหว่างพยายามหาของในกระเป๋า
หรือแม้กระทั่งหลับฝันไปเป็นซีนหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เรียกว่าเป็นซีนคลาสสิคนั่นแหละ
แล้วก็มีตัวมิสเตอร์บีนเข้าไปป่วนอยู่ในซีนด้วย
สุดท้ายเจ้าตัวสะดุ้งตื่นขึ้นมาพบว่า วงออเคสตร้าทั้งวงกำลังรอให้แกเล่นโน้ตสุดท้ายของเพลงอยู่
ครบสูตรมิสเตอร์บีน


นี่คือตัวอย่างของสุดยอดอารมณ์ขันอังกฤษครับ ผู้บรรยายเค้าก็บอกว่าเป็น "It"s British humor at it"s best" อารมณ์ขันแบบที่ว่าคือ ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ข้าเอามาเล่นขำได้ทุกอย่าง
ไม่มีสิ่งใดที่จะรอดพ้นไปจากการโดนกระทำให้กลายเป็นเรื่องตลกได้ ไม่ว่าจะเป็นหนังสุดคลาสสิคอันเป็นที่รัก ไม่ว่าจะเป็นเพลง ไม่ว่าจะเป็นคน

อารมณ์ขันทำให้เรื่องโบราณร่วมสมัยขึ้นมาได้ อารมณ์ขันทำให้ช่องว่างระหว่างรุ่นแคบลง
อารมณ์ขันทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นแคบลงด้วย แต่การมีอารมณ์ขัน หรือความสามารถในการหัวเราะตัวเอง หรือล้อเลียนตัวเองได้นั้น เกิดจากวุฒิภาวะ ความใจกว้าง และที่สำคัญที่สุด ความ "ชอบ" ตัวเองครับ คนที่ "ชอบ" ตัวเองอยู่แล้วจะไม่มีปัญหาในการเล่าเรื่องตลกที่ตัวเองเป็นตัวตลก
คนที่ "เอาจริงเอาจัง" กับการพยายามทำให้คนอื่น "เอาจริงเอาจัง" กับตัวเองน่ะ ตลก เพียงแต่คนเค้าไม่ขำกันต่อหน้า เค้าไปหัวเราะเยาะกันลับหลัง ก็เท่านั้นเอง

อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความประทับใจอย่างยิ่งยวดก็คือ งานนี้คนอังกฤษทำให้คนอังกฤษดู คนต่างชาติดูรู้เรื่องและสนุกไปด้วยเพราะวัฒนธรรมป๊อปของอังกฤษค่อนข้างเป็นสากลแต่สุดท้ายแล้วคนที่ดูแล้วจะสนุกที่สุดก็คือคนอังกฤษด้วยกันเอง
แจ๋วว่ะครับ



.