http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-08-31

1 ปี 2 บาดแผลใหญ่, ลึกแต่ไม่ลับ 31ส.ค.55

.
คอลัมน์ ในประเทศ - แผนสยบ ข่าวลือ เด้ง กิตติรัตน์ เด้ง สุกำพล ต้องฉับพลัน ทันใด
รายงานพิเศษ - ทิ้ง "บอมบ์" เสถียร "ไม่" เสถียร ศึกสายเลือดทหาร ก๊ก 10 ก๊วน 11 แก๊ง 14
คอลัมน์ โล่เงิน - เดินเกมรุกสไตล์ "บิ๊กแจ๊ด" จับปืน-สางหมายจับเก่า วัดผลงานตั้ง "รอง ผบก.-ผกก."


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

1 ปี “รัฐบาลปู” หอบ 2 บาดแผลใหญ่ ขึ้นเวทีแถลงผลงาน
คอลัมน์ ในประเทศ ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1672 หน้า 9


รายงานผลงานรัฐบาล "ฉบับสมบูรณ์" ที่จะต้องแถลงครบรอบ 1 ปี ต่อรัฐสภา จะแล้วเสร็จในปลายเดือนกันยายนนี้
โดยเนื้อหาของร่างรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามแนวพื้นฐานแห่งรัฐนั้น จะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1.สถานการณ์การพัฒนาประเทศในช่วง 1 ปีของรัฐบาล 
และ 2. คือผลการดำเนินการของ ครม. ตามแนวนโยบายแห่งรัฐ 
ถ้อยแถลงของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีต่อรัฐสภาและประชาชน อาจจะอยู่ระหว่างการร่างคำกล่าว ตรวจทาน ปรับแต่งถ้อยคำให้ราบรื่น 
แต่ระหว่างนี้ ประชาชนจะได้เห็นการแถลงผลงานรายกระทรวงที่ "ยิ่งลักษณ์" สั่งการให้ทยอยแถลงผลงานตามความเหมาะสมของแต่ละกระทรวง ถือเป็นการเดินเกมปล่อยของเรียกน้ำย่อย ให้ประชาชนเกิดความอยากรู้อยากเห็น ว่าผลงานแต่ละกระทรวงจะมีอะไรบ้าง 
ขณะเดียวกันก็เป็นการ "รีเช็ก" ผลตอบรับ ว่าผลงานที่แถลงไปนั้น มีอะไรที่ฝ่ายค้านมืออาชีพอย่าง "ประชาธิปัตย์" จะออกมาตีจุดอ่อน ในผลงานของแต่ละกระทรวง เพื่อจะได้ให้ "มือขวา" อย่าง "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แก้ไขเพิ่มเติม ปรับ "จุดอ่อน" เป็น "จุดแข็ง"


ในรอบสัปดาห์นี้ จึงพอได้เห็นผลงานของ 3-4 กระทรวง ประเดิมด้วย กระทรวงการต่างประเทศ ตามด้วยกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ซึ่งยังไม่มีผลตอบรับที่ประชาชนสัมผัสได้มากนัก

ขณะที่ "หมัดเด็ด" ที่ถือเป็น "ไฮไลต์" ที่ "ยิ่งลักษณ์" จะร่วมแถลงด้วย อยู่ในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ ภายใต้ชื่องาน "มุ่งมั่นทำงาน บริหารจัดการน้ำเพื่อประชาชน" ในรูปแบบนิทรรศการ และการโชว์การบริหารจัดการน้ำในปีนี้และในอนาคต เพื่อกระชาก "ความเชื่อมั่น" ของทุกภาคส่วน ทั้ง นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ทูตต่างประเทศ ตลอดจนประชาชนทั่วไป และประชาชนผู้ประสบอุทกภัยอย่างแสนสาหัส ตลอด 3 เดือน จากทั่วประเทศ ต่อการบริหารจัดการน้ำ "ล้มเหลว" ของ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" เมื่อปลายปี 2554 ที่ผ่านมา 
โดยการจัดแถลงผลงานบริหารจัดการน้ำดังกล่าว จะมีขึ้นในวันที่ 31 สิงหาคม-2 กันยายน มีการแบ่งภาคชี้แจงเป็นรอบๆ ทั้งรอบสื่อมวลชน วันที่ 31 สิงคม ช่วงเช้า, รอบทูตต่างประเทศ ช่วงสาย ก่อนที่รอบบ่ายเป็นต้นไปถึงวันที่ 2 กันยายน จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ รับฟังเพื่อสร้างความ "อุ่นใจ" ในการรับมือน้ำท่วมของรัฐบาล  
แถมยังจะมีการขนนิทรรศการทั้งหมดไป "โรดโชว์" ทั้งประเทศ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกับประชาชนในพื้นที่ประสบภัยพิบัติอีกด้วย


ทว่า ยังไม่ใช่ผลงานทั้งหมดที่ประชาชนทั้งประเทศรอคอย เพราะยังมีอีกหลายกระทรวงหลักที่จะสร้างความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาให้ประชาชน อาทิ กระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับเรื่องปากท้อง ค่าครองชีพประชาชน 
กระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและการสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน และ กระทรวงการคลัง ที่เกี่ยวกับอนาคตเศรษฐกิจของประเทศ ยังไม่มีความชัดเจนว่าการแถลงผลงานจะออกมารูปแบบใด 
แต่ที่ประชาชนและนักลงทุนรับรู้กันได้ทั่วประเทศขณะนี้ กลับเป็น "ถ้อยคำ" อัน "บาดใจ" จากปาก "ขุนคลัง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 
ที่หลุดวลีเด็ด "โกหกสีขาว" หรือ "โกหกเพื่อชาติ" (White Lie) ในการบิดเบือนตัวเลขการส่งออกปีนี้ ซึ่งเคยยืนยันกับนักลงทุนมาตลอด ว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 15 ทั้งที่ตัวเลขกลม คือร้อยละ 7 เท่านั้น!!! 
สร้างความสับสนให้กับนักลงทุน เหมือนถูกหักหลัง ขณะเดียวกันก็เปิดช่องให้ "ฝ่ายค้าน" หยิบยกมาถล่ม

"โกหกสีขาว" นอกจากจะเป็นโจทย์ยากในการคิดธีมในการแถลงผลงานของกระทรวงการคลังแล้ว ยังเป็น "แผลเป็นที่ยังไม่ตกสะเก็ด" ของรัฐบาล ในการคิดวิธีการแถลงผลงานภาพรวมของรัฐบาล  
ซึ่งสร้างความหนักใจให้ "ยิ่งลักษณ์" ไม่น้อย ที่จะต้องสรรหาคำพูด เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนเห็นผลงานที่โดดเด่นของรัฐบาลในรอบ 1 ปีให้ได้
แม้ว่าภายหลัง "โกหกสีขาว" จะถูกชี้แจงจาก "ยิ่งลักษณ์" ที่ออกโรงป้อง "กิตติรัตน์" ว่าเป็นเจตนาที่ดี แถมโยนเป้าส่งออก 15% เป็นตัวเลขที่สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ตั้งเป้าเอาไว้ 
ตบท้ายด้วยการปลอบใจปนให้ความหวังนักลงทุนว่า ตัวเลขส่งออกที่รัฐบาลตั้งเป้าคาดการณ์จะขยาย 8-9% ในปีนี้


ไม่เพียงแค่จะทำให้ประชาชนเชื่อถือในถ้อยแถลงผลงาน 1 ปีของรัฐบาล แต่ผลโพลของสารพัดสำนักที่ออกมาร่วมต้อนรับ "ขวบปีแรกของรัฐบาล" ยังสอดคล้องกับ "โกหกสีขาว" ที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังเห็นว่าผลงานของรัฐบาล 1 ปี ยังตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ อาทิ 
"นิด้าโพล" ได้ผลสำรวจ "ความพึงพอใจของประชาชน ต่อ 16 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล" พบว่า พึงพอใจต่อ 3 นโยบายของรัฐ คือ ประกันสุขภาพ 30 บาท, การแก้ไขปัญหายาเสพติด และการท่องเที่ยว 
ขณะที่ผลงานยอดแย่ ล้วนเป็นเรื่องปากท้องประชาชนที่ยังแก้ไม่ตก เช่น ปัญหาสินค้าราคาแพง ร้อยละ 32.12, ปัญหาน้ำท่วม ร้อยละ 19.45 และความแตกแยกของคนในชาติ ร้อยละ 18.39 ตามลำดับ
เป็นต้น



ขณะที่อีก "บาดแผล" ซึ่งเป็น "แผลสด" ที่รอวันตกสะเก็ด ของเหล่า "กองทัพ" คือ กรณี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งเด้งฟ้าผ่า พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม (กห.) เหตุจากเอาโผทหารประกาศไปยังสาธารณะ แถมส่งหนังสือฟ้อง "ยิ่งลักษณ์" และ "องคมนตรี" ด้วย งานนี้พ่วงซวยไปอีก 2 นายพล คือ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัด กห. และ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ไปช่วยราชการสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
"แผลนี้" นอกจากสร้างความคับข้องใจให้กับ "วงราชการ" ในการยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลแล้ว ยังส่งผลทำลาย "มิตรภาพ" ระหว่าง "กองทัพ" กับ "รัฐบาล" ทั้งที่กองทัพเคยมีท่าทีตอบรับ "ความอ่อนโยน" และ "การให้เกียรติ" ของ "ยิ่งลักษณ์" ที่มีต่อกองทัพแบบไม่เหลือร่องรอย  
ก่อเกิดกระแส "วิพากษ์" รัฐบาล ที่ใช้การเมืองแทรกแซงการทำงานของกองทัพ แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ 
จึงเป็นอีก "แผล" ที่ยังต้องอาศัยเวลานานกว่าจะ "ตกสะเก็ด" ที่อาจทำให้การแถลงผลงาน 1 ปีรัฐบาล นั้น อยู่ในอาการสะบักสะบอมทั้งที่ยังไม่ทันได้แถลงผลงาน 
คงต้องจับตาดูว่า วันแถลงผลงานของรัฐบาล ทั้ง 2 บาดแผล จะตกสะเก็ดทันขึ้นเวทีหรือไม่ 
แต่ที่แน่ๆ เป็น 2 บาดแผลที่สาธารณชน จดจำไม่รู้ลืม แม้รัฐบาลจะตกแต่ง "บาดแผล" ด้วยวิธีใดก็ตาม



++

คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ  โดย จรัญ พงษ์จีน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1672 หน้า 8


การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระนาบปลัดกระทรวง ซึ่งปี 2555 นี้ดังที่ทราบกันดีว่า เกิดสุญญากาศครั้งใหญ่ เนื่องจากปลัดกระทรวงพร้อมใจกันเกษียณราชการ 8 คนรวด 
"กระทรวงกลาโหม" ซึ่งคลื่นลมเงียบสงบมายาวนาน กลับเกิดปรากฏการณ์ "ร้อนระอุ" องศาเดือดมากที่สุด เมื่อจู่ๆ "พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์" ปลัด กห. ที่จะเกษียณในวันที่ 30 กันยายน สวมบทบู๊หมูไม่กลัวน้ำร้อน ออกมาโวยวาย "พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ทำการล้วงลูกบัญชีแต่งตั้งโยกย้าย และระบุว่า ได้ทำหนังสือขออนุญาตเข้าพบ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกฯ เพื่อทำการร้องเรียน ว่าการแต่งตั้งนายทหารประจำปีนี้ ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการ 
พร้อมทั้งเข้าพบ "พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์" องคมนตรี เพื่อร้องเรื่องดังกล่าวแล้ว และกำลังจะนำสำเนาบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารเข้ามอบให้กับ "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ประธานองคมนตรี ที่บ้านสี่เสาฯ ในลำดับถัดไปอีก 
ตำแหน่งที่ "พล.อ.เสถียร" หยิบมาเป็นเงื่อนไข เดินสายต่อต้าน คือ ปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่ง "พล.อ.อ.สุกำพล" ต้องการจะเสนอชื่อ "พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน" ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ข้ามห้วยมาหยิบชิ้นปลามัน แต่ทาง "พล.อ.เสถียร" เสนอชื่อ "พล.อ.ชาตรี ทัตติ" รองปลัด กห. ซึ่งเจ้าตัวเห็นว่า มีลำดับอาวุโสสูงกว่าตรงที่ รองปลัด ครองยศระนาบจอมพลอยู่แล้วโดยตำแหน่ง 
แม้ว่า "พล.อ.ชาตรี" โดยพรรษาจะอายุอ่อนกว่า หรือหากว่ากันในเรื่องของรุ่น คือจบ ตท.รุ่น 14 ขณะที่ "พล.อ.ทนงศักดิ์" ตท.11 เพื่อนร่วมรุ่นกับ "พล.อ.เสถียร"

ข่าว "พล.อ.เสถียร" ลุกขึ้นมาต้านโผโยกย้าย กระหึ่มเมืองชั่วข้ามคืน ทาง "พล.อ.อ.สุกำพล" ก็ตัดสินใจ "เช็กบิล" โดยพลัน ด้วยการออกคำสั่ง ย้ายฟ้าผ่าพ้นปลัดกระทรวงกลาโหมไปช่วยราชการสำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม โดยในการนี้ "พล.อ.ชาตรี ทัตติ" และ "พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์" เจ้ากรมเสมียนตรา ติดร่างแหเป็นเสือลำบากตามไปด้วย 
การลงดาบเชือด นายทหารระนาบปลัดกระทรวงกลาโหม เด้งกลางอากาศ น่าจะจุดชนวนให้รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เผชิญหน้าปัญหาใหญ่ทั้ง "ศึกนอก-ศึกใน" 
แต่กลับ "จุดไม่ติด" แม้จะมีคนเพียรพยายาม เนื่องจากว่าเมื่อพลิกปูมดูกันอย่างถ่องแท้แล้ว ปรากฏว่า "พล.อ.เสถียร" เองถูกมองว่าเป็น "ทหารแตงโม" ภรรยาคือ "นางณัฐณิชาช์ เพิ่มทองอินทร์" นายกเทศมนตรี ต.คำขวาง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย และเป็น "แกนนำเสื้อแดง" แถวหน้าในภาคอีสานคนหนึ่ง 
โยกย้ายเมื่อฤดูกาลที่แล้ว "พล.อ.เสถียร" อาศัยจุดนี้เบียดแทรกเพื่อนร่วมรุ่น ตท.11 "พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์" เข้าป้ายนั่งปลัดกระทรวงกลาโหม "ศึกนอก" จากสีต่างๆ จึงปลุกไม่ตื่น



ขณะที่ "ศึกใน" คือ 3 เหล่าทัพ การดัน "พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน" ขึ้นลิฟต์เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ทำให้ "เพาเวอร์บาลานซ์" ลงตัวหลายกรรมหลายวาระ เพราะนอกจากจะช่วยเปิดไลน์ ระนาบ 5 เสือ ทบ. ในตำแหน่ง ผู้ช่วย ผบ.ทบ. เพิ่มขึ้นมาได้อีก 1 ที่นั่ง เอื้อประโยชน์ให้ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" แต่งตั้งโยกย้าย หมุนเวียนได้สะดวกสบายขึ้นมาก 
และก่อนที่จะเกิดเกม "หักเหลี่ยมโหด" กัน มีการคุยนอกรอบกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ระหว่าง "พล.อ.อ.สุกำพล" กับ ผบ. 3 เหล่าทัพ ประกอบด้วย "พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร" ผบ.สส. "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ผบ.ทบ. "พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์" ผบ.ทร. และ "พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์" ผบ.ทอ. 
ทั้งหมดเห็นด้วยกับการผลักดัน "พล.อ.ทนงศักดิ์" ขึ้นไปนั่งปลัด กห. เพราะเป็นรุ่นพี่ ตท.11 ขณะที่ "พล.อ.ชาตรี ทัตติ" ตท.รุ่น 14 แม้จะติดติ่ง "อัตราจอมพล" แต่ไม่ใช่ปัญหา ประเด็นว่าด้วยสายบังคับบัญชา ที่ดูกระโดกกระเดกสำคัญกว่า เพราะทั้ง ผบ.สส. และ ผบ. 3 เหล่าทัพ ล้วนมาจาก ตท.รุ่น 12 กับ ตท.รุ่น 13 

จุดลงตัวจาก "พล.อ.ทนงศักดิ์" ไม่เพียงเปิดเส้นทางสะดวก ลื่นไหลในกองทัพบกเท่านั้น "ทัพฟ้า" อากาศก็ปลอดโปร่ง เนื่องจากว่า "บิ๊กโอ๋" ลูกสีเทาด้วยกัน แม้จะคนละเส้นสายกลุ่มเลือดใหม่ที่มีอำนาจอยู่  แต่ไม่ติดขัดหรือ ทลายห้างใหม่ กรณีที่ "พล.อ.อ.อิทธพร" เสนอชื่อ "พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง" ผู้ช่วย ผบ.ทอ. ขึ้นเป็น แม่ทัพอากาศคนใหม่ "พล.อ.อ.สุกำพล" ไม่ขัดขวาง
กองทัพเรือ ก็พลอยโล่งใจ เนื่องจาก "พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์" จะมีเพื่อนรักจาก ตท.13 ผงาดขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการเพิ่มขึ้นมาอีกคน คือ "พล.อ.อ.ประจิน"
สัดส่วนในตำแหน่งหมายเลข 1 ในกองทัพจึงลงตัว ด้วยความสมบูรณ์ ตามสูตร "เพาเวอร์บาลานซ์" หลังจาก วันที่ 1 ตุลาคม คือ 1."พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน" ตท. 11 เป็นปลัดกลาโหม 2."พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร" ตท.12 เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด 3."พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ตท.12 เป็นผู้บัญชาการทหารบก 4."พล.ร.อ.สุรศกดิ์ หรุ่นเริมรมย์" ตท.13 เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ 5."พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง" ตท.13 เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ เท่ากับ 11-12-12-13-13

และเพื่อนร่วมรุ่น ตท.13 ได้ของแถมมาแจมอีกราย คือ "พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว" ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ใหม่ถอดด้าม ก็ ตท.13 เพื่อนรักทั้ง "พล.ร.อ.สุรศักดิ์-พล.อ.อ.ประจิน"



+++

แผนสยบ ข่าวลือ เด้ง กิตติรัตน์ เด้ง สุกำพล ต้องฉับพลัน ทันใด
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1672 หน้า 8


ทําไม นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จึงต้องออกมาชี้แจง
"การบอกกล่าวหรือพูดถึงเป้าหมายตัวเลขทางเศรษฐกิจเป็น "โกหกสีขาว" ที่เป็นเรื่องปกติของนักเศรษฐศาสตร์"
ทั้งๆ ที่ตำแหน่งประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง 
เกี่ยวข้องกับการออกมา "โกหกสีขาว" ของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในเรื่องเป้าหมายการส่งออกที่ร้อยละ 15 
และตัวของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ก็ออกมาย้ำยืนยันว่า ไม่เคยคิดที่จะลาออกจากกรณี "โกหกสีขาว"

กระนั้น หากสังเกตกระแสการไหลเลื่อนของ "ข่าวสาร"
การออกมาแถลงของ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ย่อมมีความจำเป็นอย่างสูง เพราะบางกระแสข่าวไปไกลถึงขนาดมีการประสานพลังระหว่าง นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ กับ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริยเดช เพื่อเอา นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ออกจากตำแหน่ง
ทั้งๆ ที่ไม่มีมูล


เหมือนกับกรณีที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งย้าย พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ไปช่วยราชการในสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 
ก็มีข่าวในลักษณะ "เจ๊าะแจ๊ะ" ออกมาจากคนใกล้ชิดอ้างคำพูดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า
"ไม่น่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่"
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง สายสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความแนบแน่นอย่างสูง

ข่าวที่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะไปนั่งว่าการกลาโหม ก็เสมอเป็นเพียงข่าวลือ 
ยิ่งกว่านั้น การย้ายระนาบปลัดกระทรวงกลาโหม หาก พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ไม่หารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่หารือกับ "คนแดนไกล" ที่มหานครดูไบแล้ว ก็ยากเป็นอย่างยิ่งจะสามารถทำได้ 
ข่าวลือจึงเสมอเป็นเพียงข่าวลือ
ไม่ว่าข่าวลือกรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่ว่าข่าวลือกรณี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ยากที่ปรากฏได้ในทางเป็นจริง
เป็นข่าวประเภทชกลม



กระนั้น ก็มีความจำเป็นอย่างสูงที่บุคคลระดับ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ และบุคคลระดับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เองจักต้องออกมาสยบ
เพราะบทบาทของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นั้นสูง
เพราะบทบาทของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เท่ากับเป็นการรุกคืบเข้าไปในกองทัพเพื่อสานไมตรีในระยะยาวไกล

นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ จึงต้องออกมายืนอยู่ข้างหลัง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง
ขณะเดียวกัน จังหวะก้าวของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจึงต้องมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยืนเรียงอยู่เคียงข้างเพื่อให้เดินหน้าจัดระบบภายในกระทรวงกลาโหมได้อย่างราบรื่น
เอกภาพเหนียวแน่น มั่น



+++

ทิ้ง "บอมบ์" เสถียร "ไม่" เสถียร ศึกสายเลือดทหาร ก๊ก 10 ก๊วน 11 แก๊ง 14
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1672 หน้า 15


ทิ้ง "บอมบ์" เสถียร "ไม่" เสถียร ศึกสายเลือดทหาร ก๊ก 10 ก๊วน 11 แก๊ง 14 
ไม่ใช่ละคร ไม่ใช่ดราม่า แต่เป็นเรื่องจริง ชีวิตจริง ที่เกิดขึ้นจริง 
หากแต่เป็นเรื่องจริงที่ทหารทั้งกองทัพไม่คิดว่า เหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้จะอุบัติขึ้น 
เป็นเรื่องจริงที่มี ตัวละคร เบื้องหลังมากมาย ที่ต่างก็มีเกมซ่อนเงื่อน ลับ ลม คมใน 
เพราะไม่ใช่แค่การแย่งชิงอำนาจของทหารแตงโมสายพรรคเพื่อไทย ซี้ทักษิณด้วยกันเท่านั้น แต่ยังมีศึกสายเลือดเตรียมทหาร ของทั้ง ตท.10 ตท.11 และ ตท.14 ที่ต่างแบ่งเป็นมุ้งเล็กมุ้งใหญ่ ก๊วน ก๊ก แก๊งอีกด้วย  
ศึกการแย่งชิงอำนาจครั้งนี้ จึงทำให้กระทรวงกลาโหมทั้งแตก ทั้งร้าว อาจจะเกินเยียวยา

แทบไม่มีใครอยากเชื่อ ตั้งแต่ บิ๊กเปี๊ยก พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม ตัดสินใจทำหนังสือร้องเรียน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อ 24 สิงหาคม โวย บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ล้วงลูกการแต่งตั้งปลัดกลาโหมคนใหม่ และแทรกแซงการจัดโผโยกย้ายในส่วนของสำนักปลัดกลาโหม พร้อมขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อชี้แจงด้วยตนเอง
โดยอ้างพฤติการณ์ของ พล.อ.อ.สุกำพล ว่าเป็นการก้าวก่ายแทรกแซง ใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 266 มาตรา 268 มาตรา 279 มาตรา 280 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2551 ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล พ.ศ.2551 รวมถึงระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วย ประมวลจริยธรรม พ.ศ.2551 
เกิดคำถามมากมายว่า พล.อ.เสถียร ไปกินดีหมีที่ไหนมา หรือมีใครยุยงให้ประกาศศึกกับ พล.อ.อ.สุกำพล


พล.อ.เสถียร เสนอชื่อ บิ๊กกี๋ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกลาโหม หนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ เพราะอีก 3 คนเกษียณราชการหมด 
ไม่ใช่เพราะอาวุโสที่สุด ชอบธรรมที่สุดเท่านั้น แต่ในทางส่วนตัว ทั้ง พล.อ.ชาตรี สนิทสนมซี้ปึ๊กกับทั้ง พล.อ.เสถียร และกับ คุณแม่อู๊ด ดร.ณัฐณิชาช์ เพิ่มทองอินทร์ ภริยาคนดังของ พล.อ.เสถียร อย่างมากด้วย 
อาจเรียกว่า เป็นคอนเน็กชั่นของหลังบ้านของ พล.อ.เสถียร และ พล.อ.ชาตรี ที่สุดแสนจะสนิทแนบแน่น และทำงานในนายกสมาคมภริยาสำนักปลัดกลาโหมด้วยกัน 
แถมยังเป็นที่ร่ำลือว่า พล.อ.เสถียร ก็สุดแสนจะเกรงใจและเกรงกลัวต่อคุณแม่อู๊ด ซึ่งเป็นผู้หญิงใจถึงพึ่งได้ ใจนักเลง จึงเป็นนักการเมืองท้องถิ่นแห่งวารินชำราบ ที่โด่งดังและคุมคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทยอย่างมาก

ประการหนึ่งคือ การที่ พล.อ.เสถียร ได้ข้ามจากประธานที่ปรึกษา บก.กองทัพไทย มาเสียบเป็นปลัดกลาโหม ในการโยกย้ายปี 2554 ที่ผ่านมานั้น ก็เป็นเพราะพลังของคุณแม่อู๊ด ภริยาสุดเปรี้ยวของเขาด้วย 
นี่จึงทำให้ชื่อเสียงของคุณแม่อู๊ด และ พล.อ.เสถียร ยิ่งขจรขจายว่า "เข้าถึงทักษิณ" และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่าลืมว่า ตอนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่สบาย อาหารเป็นพิษ นอน รพ.พระราม 9 นั้น ก็มีแต่ พล.อ.เสถียร และภริยา ที่เป็น ผบ.เหล่าทัพ ที่ไปเยี่ยมไข้เท่านั้น 
และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ พล.อ.เสถียร และทีม กล้าที่จะฟ้องนายกฯ และจะใช้ข้อกฎหมายฟ้องร้อง พล.อ.อ.สุกำพล ที่ล้วงลูกโผทหาร 
ไม่แค่นั้น การที่ พล.อ.ชาตรี คือน้องรักของ บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คนเก่าแก่ของพรรคเพื่อไทย ก็ทำให้มีแนวร่วมไม่น้อย


แต่ในที่สุด พล.อ.อ.สุกำพล ในฐานะเพื่อน ตท.10 สายแข็ง ก็ต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ใครแน่ ใครเจ๋งกว่ากัน ใครเส้นใหญ่กว่าใคร ใครเข้าถึงทักษิณ มากกว่ากัน ด้วยการทำสิ่งที่แรงกว่า และแทบไม่น่าเชื่อคือการ สั่งย้าย พล.อ.เสถียร มาช่วยราชการสำนัก รมว.กลาโหม โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กลาโหม ปี 2551 พร้อมพวก ลงวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2555 
เพราะก่อนที่จะเซ็นคำสั่งเชือดนั้น ได้มีการแจ้งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับทราบทั้งก่อนและหลัง เพราะก่อนหน้ามีรายงานว่า พล.อ.อ.สุกำพล ขอให้นายกฯ เซ็นย้าย พล.อ.เสถียร ให้มาช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี แต่เธอไม่ทำ ไม่อยากเกี่ยวข้อง ให้แก้ปัญหาภายในเอง พล.อ.อ.สุกำพล จึงต้องใช้อำนาจของตนเองย้ายภายใน 
หลังการลงนาม เมื่อราวบ่ายโมงวันจันทร์ 27 สิงหาคม แล้ว พล.อ.อ.สุกำพล ก็เดินทางออกจากกลาโหมกลับบ้านพักที่ ก.ม.27 ย่านลำลูกกา ทันที ปล่อยให้ พล.อ.เสถียร และพวกช็อก เพราะคาดไม่ถึงว่า พล.อ.อ.สุกำพล จะเล่นไม้นี้  
"ตกลง พี่โอ๋ เค้าจะเอายังไงกับพี่" พล.อ.เสถียร เอ่ยถาม ก่อนที่จะถูกเชือดแค่ไม่กี่นาที 
งานนี้ พล.อ.อ.สุกำพล ได้แสดงแสนยานุภาพของประโยคที่เขาพูดเสมอว่า "ถ้าเป็น รมว.กลาโหมแล้วทำอะไรไม่ได้เลย จะเป็นไปทำไมวะ"

อีกทั้ง การที่เขาเสนอชื่อ บิ๊กเล็ก พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผช.ผบ.ทบ. มาเป็นปลัดกลาโหมนั้น ก็เป็นบัญชาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ได้มีการพูดคุยกันเมื่อครั้งไปอวยพรวันเกิดที่ฮ่องกง 
พล.อ.อ.สุกำพล ซึ่งเป็นเหยี่ยวอากาศอยู่แล้ว ย่อมไม่ยอมให้ใครมาลูบคม 
"เล่นเราแรงก่อน" บิ๊กโอ๋ บ่น 
"มันเคยดูตัวเองมั้ยว่า ปีที่แล้วมันมาเป็นปลัดกลาโหม ได้ยังไง" พล.อ.อ.สุกำพล ย้ำ 
จึงทำให้ คำสั่งย้ายยกพวง 3 พลเอก ครั้งนี้ มี บิ๊กหน่อง พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ซึ่งเป็นเพื่อนซี้ ตท.14 ของ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกลาโหม จึงโดนไปด้วย ในฐานะที่ไม่ให้ความร่วมมือในการจัดโผโยกย้ายทหาร และให้คำปรึกษาด้านกฎระเบียบและกฎหมาย
แรงยุไม่ให้ พล.อ.เสถียร ลงนามในโผโยกย้ายทหารซะอย่าง รมว.กลาโหม ก็จะทำอะไรไม่ได้ โผก็ต้องยื้อไปเรื่อยๆ 
แต่ที่ พล.อ.อ.สุกำพล และ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่พอใจ คือ การที่ พล.อ.เสถียร ขอเข้าพบ ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อร้องเรียน เพราะเห็นว่า พล.อ.เปรม จะต้องกลั่นกรองงานทหารและความมั่นคง ก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ก็หวังให้ป๋าเปรมดึงโผหรือให้แก้ไข
เช่นเดียวกับที่ พล.อ.เสถียร ไปขอพบ บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เพื่อร้องเรียนเรื่องเดียวกัน
ท่ามกลางเสียงตำหนิจากแกนนำรัฐบาลและแกนนำเสื้อแดง ที่ไปฟ้อง พล.อ.เปรม และ พล.อ.สุรยุทธ์ 
ทั้งๆ ที่ พล.อ.เสถียร ถูกมองว่าเป็นทหารแตงโม เป็นทหารสีแดง แต่กลับไปอ้อนวอนต่ออำมาตย์ อีกทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ นั้น เมื่อตอนขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ก็มาจาก พลเอก ธรรมดา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. ด้วยซ้ำ จึงยิ่งทำให้ พล.อ.เสถียร เสียคะแนนในสายสีแดง 
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจเลยที่ พล.อ.อ.สุกำพล ลงนามย้ายแบบ "ยกพวง" ทั้ง พล.อ.เสถียร พล.อ.ชาตรี และ พล.อ.พิณภาษณ์ ในฐานะ "เดอะแก๊ง" ของ ตท.14 
ทำให้ที่ พล.อ.เสถียร หวังจะบอมบ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เป็นไปตามหวัง 
แถมยังทำให้สถานะ พล.อ.เสถียร ที่ควรจะ "เสถียร" กลายเป็นไม่เสถียรในพริบตา



ต้องเข้าใจว่า การที่ พล.อ.ชาตรี และ พล.อ.พิณภาษณ์ และก๊วน ตท.14 ต้องหนุนหลังให้ พล.อ.เสถียร สู้นั้นเพราะรู้ว่า พล.อ.อ.สุกำพล จะดัน บิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม เพื่อน ตท.14 ต่างก๊วน ขึ้นมาเป็นรองปลัดกลาโหม และกลัวว่า พล.อ.นิพัทธ์ จะขึ้นมาเป็นปลัดกลาโหม แทน พล.อ.ทนงศักดิ์ ที่จะเกษียณในปี 2556 
และเกรงว่า อาจจะมีทหารของพรรคเพื่อไทย มาเสียบเป็นปลัดกลาโหม ในปีหน้าอีกคน ขัดตาทัพ ก่อน พล.อ.นิพัทธ์ ซึ่งมีอายุราชการถึงปี 2559 จะขึ้นต่อยาว เพราะในโผของ พล.อ.อ.สุกำพล นี้ พล.อ.ชาตรี ถูกเตะไปเป็นจเรทหารทั่วไป มันจึงมีเรื่องของการแบ่งขั้วแบ่งก๊วนใน ตท.14 มาผสมปนเปอีกด้วย  
แม้ว่าก่อนหน้านี้ พล.อ.นิพัทธ์ จะเคยเคลียร์ใจกับ พล.อ.ชาตรี แล้วว่า ตัวเขาเองไม่ได้ต้องการจะขึ้นรองปลัดกลาโหม หรือคิดจะเป็นปลัดกลาโหม เพราะเขาเองอยากกลับกองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อไปทำงานด้านการต่างประเทศและการฝึกแบบที่ถนัดมากกว่า

เรื่องนี้จึงไม่จบง่ายๆ เพราะให้มีการจับตาบทบาท พล.อ.เปรม และ พล.อ.สุรยุทธ์ นับจากนี้ แม้ว่าโผจะถูกส่งจากนายกฯ เพื่อทูลเกล้าฯ แต่ก็ไม่ง่าย มีบางกระแสระบุว่า โผโยกย้ายปีนี้จะคลอดช้า อาจจะหลัง 11 ตุลาคมด้วยซ้ำ 
และนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ พล.อ.เปรม ไม่เปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ ให้ พล.อ.อ.สุกำพล นำ ผบ.เหล่าทัพ มาอวยพรวันเกิด 92 ปี เมื่อ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา คงมีแต่การให้ พล.อ.สุรยุทธ์ ลูกป๋าคนโปรด เข้าอวยพรเท่านั้น ซึ่งคาดกันว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ได้รายงานป๋า เรื่องที่ พล.อ.เสถียร ได้มาพบแล้ว 
เหล่านี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ พล.อ.เสถียร ในวันที่ออกจากกลาโหม วันที่ถูกเด้งฟ้าผ่า เขาจะไม่มีสีหน้าร้อนรนใดๆ แต่กลับยิ้มกริ่ม อมยิ้ม ชูนิ้วโป้ง และชูสองนิ้ว แม้ว่าขอบตาจะแดงเรื่อๆ อยู่บ้างก็ตาม 
ราวกับว่าจะรอดูชะตากรรมของ พล.อ.อ.สุกำพล ผบ.เหล่าทัพ และโผทหารโผนี้


แต่ พล.อ.อ.สุกำพล มองว่า เขาจะกุมบังเหียนได้ เพราะทำโดยยึดหลักกฎหมาย และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และเพื่อความเรียบร้อย "ไม่ใช่เพื่อความสะใจ" 
"เป็นเรื่องที่น่าละอาย ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะมีทหารรุ่นพี่ ที่เกษียณเก่าๆ ไปแล้ว โทร.มาให้กำลังใจก็มี โทร.มาบอกว่า ทำไมมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ผมไม่อยากให้มีการแบ่งก๊กแบ่งก๊วน แอบไปให้กฤษฎีกาตีความ หรือไม่ควรให้ครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้อง และควรจะคุยกันดีๆ แบบพี่น้อง ผมคุยง่าย" บิ๊กโอ๋ กล่าว 
และยังเป็นการเรียกเสียงเฮ เพราะคืนความชอบธรรมให้ บิ๊กอู๊ด พล.อ.วิทวัส รัชตะนันทน์ รองปลัดกลาโหม ที่ได้มารักษาการปลัดกลาโหม 35 วันก่อนเกษียณ ในฐานะที่เขาเคยถูก พล.อ.เสถียร ชิงเก้าอี้นี้ตัดหน้าไปเมื่อโยกย้ายปลายปีที่แล้ว 
"ผมทำผมรับผิดชอบ ก่อนจะเซ็นผมมั่นใจว่าอยู่ในอำนาจ และถูกต้องตามกฎหมาย แม้ไม่อยากทำ แต่เป็นทหารจะต้องเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นปกครองไม่ได้" พล.อ.อ.สุกำพล
แต่ปฏิบัติการ "เชือด" 2 จอมพล 1 พลเอก ครั้งนี้ ทำให้ภาพของ พล.อ.อ.สุกำพล ดุเข้มมากขึ้น จนถึงขั้นที่ พล.อ.เสถียร เอามาทิ้งระเบิดไว้ว่า "ผมทำตามความถูกต้อง แต่เมื่อถูกลักษณะนี้ก็ไม่เป็นไร อีกหน่อย ผบ.เหล่าทัพ มันก็โดนเหมือนกัน ผมเป็นตัวแบบให้" พล.อ.เสถียร กล่าวเพื่อเตือนสติ ผบ.เหล่าทัพ ที่ต่างไปหนุน พล.อ.ทนงศักดิ์ ให้เป็นปลัดกลาโหม ตามทีที่ พล.อ.อ.สุกำพล ต้องการ

"ผมจะดู case by case เพราะ ผบ.เหล่าทัพ ไม่ได้มีปัญหาอะไร น่ารัก ทำงานกันได้ เขามีความรับผิดชอบที่ดี น่ารักทุกคน" พล.อ.อ.สุกำพล สยบเสียงเย้ยเตือนของ พล.อ.เสถียร 
"ผมคุยกับ ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพ แล้ว ทุกคนเห็นด้วยหมด มีเสถียรคนเดียว ที่มีปัญหา" บิ๊กโอ๋เผย 
ดังนั้น ต่อให้ยังไม่มีการย้าย พล.อ.เสถียร เข้ากรุ ในการโหวตของคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตาม พ.ร.บ.กลาโหม ทั้ง 6 เสียง ชื่อของ พล.อ.ทนงศักดิ์ ก็จะฉลุย เป็นปลัดกลาโหม เพราะทั้ง ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพ ต่างเห็นด้วย คงมีเพียง พล.อ.เสถียร เสียงเดียว ที่ยันชื่อของ พล.อ.ชาตรี 
ยื่งเมื่อส่ง พล.อ.เสถียร ไปช่วยราชการสำนัก รมว.กลาโหม แล้ว การประชุมบอร์ดในวันพฤหัสบดี 30 สิงหาคม ก็จะกลายเป็นมติเอกฉันท์ 6 เสียง ให้ พล.อ.ทนงศักดิ์ เป็นปลัดกลาโหม เพราะ พล.อ.วิทวัส รักษาการปลัดกลาโหม ก็ต้องโหวตในทางเดียวกัน 

แต่ก็ต้องดูว่า ผลการหารือของผู้นำทหาร ซึ่ง บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. ได้เชิญทั้ง บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. และบิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. หารืออีกครั้งเมื่อพุธ 29 สิงหาคม เพราะมีกระแสข่าว "ตาอยู่" ตามมา 
เพราะมีนายทหารจอมพลอีกหลายคน ทั้ง บิ๊กหนู พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ เกิดสุข รอง ผบ.สส. ซึ่งเป็น ตท.11 แต่มีอายุราชการปี 2557 หรือ จาก ตท.12 ทั้ง บิ๊กตี๋ พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร เสธ.ทหาร บิ๊กโอ๋ พล.ร.อ.ยุทธนา ฟักผลงาม รอง ผบ.สส. และ บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง ผบ.ทบ. ที่เหลืออายุราชการแค่ปีเดียว หรือแม้แต่ นายพลโลกลืม อย่าง บิ๊กอ๊อด พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ อดีตแม่ทัพภาค 1 แห่งบูรพาพยัคฆ์ ที่ถูกดองตายในประธานที่ปรึกษา รมว.กลาโหม ทั้งๆ ที่เป็น ตท.13 และอาวุโส 
แต่ทว่า เพราะ พล.อ.ทนงศักดิ์ นั้นแรงตั้งแต่ต้น เพราะนอกจากเป็นทหารในสายพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังมี "กองเชียร์" และ..เข้าถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ช่วยอีกแรงจึงทำให้มีใบสั่ง 
และส่งผลให้ พล.อ.อ.สุกำพล ต้องนำเข้าให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดูตัวและแสดงวิสัยทัศน์เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาไปแล้ว อันเป็นการประกาศตัว



เก้าอี้ปลัดกลาโหมเคยทำให้ ตท.11 ร้าวฉานมาแล้ว ตอนที่ พล.อ.เสถียร ประธานรุ่น แย่งกับ พล.อ.วิทวัส ก็ยังไม่จบ มาถึง พล.อ.เสถียร ที่ค้าน พล.อ.ทนงศักดิ์ เป็นปลัดกลาโหม 
"ผมยอมให้เพื่อนด่า แต่ผมต้องยึดความถูกต้อง มิเช่นนั้นต่อไปหลักการจะเสียหาย ไม่ใช่ว่าจะมาล้วงลูก จะเอาใครก็ได้ตามอำเภอใจมันคงไม่ใช่ ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ถ้าทำดีแล้วโดน ก็ต้องยอมรับสภาพ แต่ผมเสียใจ เพราะผมทำตามความถูกต้อง ยอมเสียสละทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตยังยอม" พล.อ.เสถียร กล่าว 
"ผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเสถียรเขาไม่สนับสนุนผม ทั้งๆ ที่เป็นเพื่อนกัน เพื่อนสนิทกันด้วย เพราะผมกับเขาถูกเรียกว่าเป็น "แฝด" กันเลย" พล.อ.ทนงศักดิ์ กล่าว 
แต่ตำนานของ ตท.11 กลับต้องมาจบตรงที่ พล.อ.เสถียร ต้องเสียเก้าอี้ปลัดกลาโหมในเดือนสุดท้ายก่อนจะเกษียณ แล้ว พล.อ.วิทวัส ก็ได้รักษาการปลัดกลาโหม มีฝันที่เป็นจริงในเดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ 35 วัน
แม้ว่า พล.อ.อ.สุกำพล จะแถลงเหตุที่ต้องย้าย พล.อ.เสถียร เพราะนำความลับเรื่องการถกโผทหารมาเปิดเผย และร้องเรียนนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ยังไม่เสร็จสิ้นขั้นตอนก็ตาม แต่ข้อหาจริงๆ คือ "กระด้างกระเดื่อง" และคบคิดกันเป็นก๊วนในการท้าทายอำนาจ รมว.กลาโหม 
พล.อ.เสถียร จึงยืนยันว่า ไม่ได้เป็นคนปล่อยหนังสือร้องเรียนถึงนายกฯ ให้เป็นข่าว เพราะตีตราลับมาก และไม่ได้ทำให้เอกสารรั่วไหล


แม้ พล.อ.เสถียร บอกว่ายอมรับสภาพ จะไม่ฟ้องร้อง แต่ พล.อ.ชาตรี นั้นไม่ยอม จะสู้ในเรื่องข้อกฎหมาย เพราะอายุราชการที่เหลือ 3 ปีนั้นสูญสิ้น
เพราะหลังถูกเชือดในวันที่ 27 สิงหาคม วันรุ่งขึ้น พล.อ.อ.สุกำพล ก็มีคำสั่งมอบหมายงานให้ พล.อ.เสถียร ให้คำปรึกษาและดูแลด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและทหารพัฒนาใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ เช่นเดียวกับ พล.อ.พิณภาษณ์ ส่วน พล.อ.ชาตรี นั้น ได้รับมอบให้ดูงานการบรรเทาสาธารณภัยพิบัติ 
ที่สำคัญคือ ไม่ให้มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันในกลาโหม ด้วยการให้ไปนั่งทำงานที่กลาโหมเมืองทองธานี ที่แน่นอนว่า เขาทั้ง 3 คงไม่ต้องไปทำงาน แต่อาจเอาเวลามาหาทางในการต่อสู้ ทั้งทางเปิดเผย ด้านกฎหมาย และการต่อสู้ในทางใต้ดิน แม้ว่า พล.อ.อ.สุกำพล จะเปิดช่องให้ทั้ง 3 พลเอกมาพบเพื่อเคลียร์ใจกันก็ตามที 
เนื่องจากการเชือดทั้ง 3 พลเอก ครั้งนี้ ทำให้ลูกน้องและผองเพื่อนของพวกเขาเดือดร้อนกันหมด ทั้งแต่ระดับล่างยันระดับนายพล อีกทั้งโผโยกย้ายครั้งนี้ พล.อ.วิทวัส ก็จะเป็นการจัดใหม่หมด ไม่เอาตามที่ พล.อ.เสถียร ได้จัดเอาไว้แน่นอน

แต่เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ พายุใหญ่ อยู่ที่หลายฟ้านั่น และคลื่นใต้น้ำ ก่อตัว พร้อมสึนามิที่เบื้องใต้ ที่พร้อมจะถล่มทั้งกลาโหม และกองทัพ 
ไม่แค่นั้น อาจจะถล่ม พล.อ.อ.สุกำพล เองอีกด้วย แม้ว่าครั้งนี้ จะแสดงความเด็ดขาด เป็นคนจริง แต่ก็ทำให้กองทัพสะเทือนอย่างแรง เพราะทหารไม่เคยเล่นงาน หรือทำกันแบบนี้ แม้ว่า พล.อ.เสถียร จะเล่นแรงก่อนก็ตาม แต่ พล.อ.อ.สุกำพล ก็แรงตอบกลับ 
ทั้งๆ ที่ทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล พล.อ.เสถียร และ พล.อ.ทนงศักดิ์ หรือแม้แต่ พล.อ.ชาตรี ถือเป็น นายทหารในสายอำนาจของพรรคเพื่อไทยด้วยกัน แต่กลับทะเลาะกันเอง เพราะคำว่า อำนาจ แม้ว่าจะเป็นบัญชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ตาม 
แต่ก็ยอมรับว่า ภาพพจน์ของทั้ง พล.อ.เสถียร และ พล.อ.อ.สุกำพล นั้น เสียหายทั้งคู่ในฐานะที่เป็นพี่น้องเตรียมทหาร และร่วมสายอำนาจเดียวกัน 
ดังนั้น โอกาสที่ พล.อ.เสถียร จะลุ้นเป็น รมว.กลาโหม หลังเกษียณ ก็คงหมดไป

แต่ก็ใช่ว่า เก้าอี้ รมว.กลาโหม จะตกเป็นของ พล.อ.อ.สุกำพล ไปยาวนาน เพราะอาจจะแค่จัดโผทหารครั้งนี้เสร็จ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็อาจจะเอานายทหารคนใหม่มาเป็นตัวละครใหม่ มาเป็น รมว.กลาโหม คนใหม่ 
โดยเฉพาะนายทหารที่เงียบๆ อย่าง บิ๊กโอ๋ พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต หัวหน้าฝ่าย เสธ.ประจำ รมว.กลาโหม เพื่อนซี้ ตท.10 ที่เก็บตัวเงียบในศึกสายเลือดกลาโหมครั้งนี้ ทั้งๆ ที่วงในนั้นรู้ดีว่า บทบาทของ พล.อ.พฤณฑ์ เป็นอย่างไร อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง
แต่ทว่า เขาจะกลายเป็นเต็งหนึ่ง หากมีการเปลี่ยน รมว.กลาโหม คนต่อไป เพราะเขาจะเกษียณกันยายนนี้ และอย่าลืมว่า "น้องจุ๊บจิ๊บ" ลูกสาวคนสวยของเขากำลังคบหากับ "โอ๊ค" พานทองแท้ ชินวัตร จนทำให้ได้ตำแหน่งว่าที่พ่อตาโอ๊ค และยิ่งแน่ เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดเมื่อเจอหน้า ว่า "คนนี้ผมจองเป็นลูกสะใภ้" 
เพราะลึกๆ แล้วที่ผ่านมา พล.อ.อ.สุกำพล ก็หวาดระแวง พล.อ.พฤณท์ อยู่ไม่น้อย เพราะมีชื่ออยู่ในลิสต์ที่รอจะเป็น รมว.กลาโหม ดังนั้น ศึกใน ตท.10 เอง ก็อยู่ในเนื้อเรื่องนี้ด้วย

นี่แหละที่เขาว่า การเมืองไทยและกองทัพวุ่นวายเพราะศึกแย่งชิงอำนาจ โดยเฉพาะเป็นการแย่งชิงอำนาจของทหารด้วยกันเอง แม้จะเรียน ร.ร. เดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกันมาก็ตาม เพราะอำนาจไม่เข้าใครออกใคร เช่นที่ว่า "ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน" เป๊ะ 
แต่ที่แน่ๆ พายุใหญ่ รออยู่เบื้องหน้า นั่นแล้ว...



+++

เดินเกมรุกสไตล์ "บิ๊กแจ๊ด" จับปืน-สางหมายจับเก่า วัดผลงานตั้ง "รอง ผบก.-ผกก."
คอลัมน์ โล่เงิน ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1672 หน้า 99


ตั้งแต่มารับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ได้ประมาณ 2 เดือนเศษ "บิ๊กแจ๊ด" พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. มีบุคลิกที่แสดงออกชัดเจนถึงความเป็นคนตรงไปตรงมา ถึงลูกถึงคน กล้าได้กล้าเสีย 
เห็นได้ชัดจากการแถลงผลงานการจับกุมต่างๆ หรือแถลงนโยบาย ที่สโมสรตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นการกวาดล้างจับกุมอาวุธปืน ที่เคยตำหนิ พล.ต.ต.ขจรศักดิ์ ปานสาคร ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 7 (ผบก.น.7) ในที่ประชุม เนื่องจากผลการจับกุมไม่เป็นที่น่าพอใจ 
แต่ภายหลังมีการเคลียร์กันว่า ยอดจับกุมน้อยเกิดจากการรายงานตัวเลขผิดพลาด ขณะที่ล่าสุดในการจัดทัพนายพลเล็ก ชื่อ พล.ต.ต.ขจรศักดิ์ หมุนไปเป็น "ผบก.น.3" 
หรือแม้แต่การออกมาอัด "ตำรวจจราจร" ที่พูดตรงๆ ว่า มีการตั้งด่านเพื่อพยายามจับกุมประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ทำให้เดือดร้อน ซึ่งสุดท้ายต้องยกเลิกตั้งด่านจราจรเวลากลางวัน รวมถึงงดตั้งด่านซ้ำซ้อนในถนนเส้นเดียวกัน 
และล่าสุดให้ใช้ "ใบเตือน" แทน "ใบสั่ง" กรณีไม่ได้กระทำความผิดใน 13 ข้อหาหลักที่อาจส่งผลต่อชีวิตและความปลอดภัย ดีเดย์วันที่ 1 กันยายนนี้


ที่สำคัญมีการสั่งนายตำรวจระดับ "ผู้กำกับการ" มาช่วยราชการแล้ว 2 นาย รายแรกมีคำสั่งให้ พ.ต.อ.บุญส่ง นามกรณ์ ผกก.สน.ห้วยขวาง มาช่วยราชการที่ บช.น. เป็นเวลา 30 วัน เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม หลังเกิดคดียิง "เต่า ท่าทราย" หรือ นายวิรัช ดิลกศรี เสียชีวิตเพียงข้ามวัน จากการตรวจสอบพบว่าผู้ตายเพิ่งออกจากสถานบริการในพื้นที่ สน.ห้วยขวาง ที่เปิดยันเช้า 
และเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.ธนกฤต ไชยจารุวุฒิ ผกก.สน.บางขุนเทียน มาช่วยราชการ ที่ บช.น. เป็นเวลา 30 วัน และให้ พ.ต.อ.ภาดล ประภานนท์ รอง ผบก.น.9 รักษาราชการแทน โดยให้เหตุผลสำคัญว่า เนื่องจาก ด.ต.วัลลภ ใบศรี ผบ.หมู่ ป.สน.บางขุนเทียน ถูกคนร้ายยิงบาดเจ็บและไม่ไปดูแล ไม่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ จึงสั่งให้มาช่วยราชการทันที 
นอกจากนี้ วันที่ 27 สิงหาคม พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ยังพูดตรงๆ ในที่ประชุมใหญ่ บช.น. ด้วยว่า "ผมให้ ผกก.สน.บางขุนเทียน มาช่วยราชการ เพราะไม่สมควรอยู่พื้นที่ ลูกน้องโดนยิง ไม่ไปดู ถ้าตายถึงค่อยไปดูใช่ไหม บอกได้เลยไม่สมควรอยู่โรงพัก ขอให้ดูเป็นตัวอย่าง ผมเอาจริง อย่ามาคิดว่าวิ่งเต้นได้ ผมเอาคุณไปได้ถ้าไม่ได้ทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และผมพร้อมจะชี้แจงผู้บังคับบัญชาที่โทร.มาฝาก"
นอกจากนี้ ในที่ประชุมใหญ่ บช.น. วันเดียวกันนั้น พล.ต.ท.คำรณวิทย์ สั่งการให้ ผบก.น.1-9 ผบก.สปพ. ผบก.สส. ผกก.สส.บก.น.1-9 ผกก. ทุก สน. รอง ผกก.สส. รวมถึง สว.สส. ดำเนินการตาม "โครงการติดตามหมายจับค้างเก่า" โดยให้เหตุผลว่าถูกละเลย
"ตั้งแต่ผมมารับตำแหน่งและมีการระดมกวาดล้างอาวุธปืน 2 ครั้งได้กว่า 1,200 กระบอก ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เมื่อดูสถิติพบว่าลดลง การใช้ปืนลดลง เมื่อลดลงแล้วแต่คดีค้างเก่าเราไม่ได้สนใจกัน พบว่าคดีค้างเก่าของ บช.น. มีกว่า 50,000 หมายจับ เมื่อเยอะแบบนี้จึงต้องติดตามจับกุมด้วย จึงมีโครงการติดตามหมายจับค้างเก่า เป็นโครงการเดิม และเคยปฏิบัติกันมาแล้ว จึงขอให้เริ่มปฏิบัติตั้งแต่วันนี้ เพื่อดูว่าจะได้ผู้ต้องหาคดีค้างเก่ากี่คดี อาจหมายความถึงผู้ต้องหาที่เพิ่งพ้นโทษมาอีก 30,000 กว่าคนด้วย ซึ่งในส่วนนี้ขอให้เน้นเรื่องอาวุธปืนด้วย" พล.ต.ท.คำรณวิทย์ สั่งการ

ทั้งนี้ สถิติหมายจับคดีค้างเก่าของ บช.น. (ข้อมูลล่าสุดเดือนกรกฎาคม 2555) แบ่งเป็น บก.น.1 จำนวน 4,620 หมาย บก.น.2 จำนวน 9,839 หมาย บก.น.3 จำนวน 3,789 หมาย บก.น.4 จำนวน 8,351 หมาย บก.น.5 จำนวน 8,165 หมาย บก.น.6 จำนวน 2,959 หมาย บก.น.7 จำนวน 5,952 หมาย บก.น.8 จำนวน 3,244 หมาย และ บก.น.9 จำนวน 7,034 หมาย รวมหมายจับค้างเก่า 53,953 หมาย 
จำแนกตามข้อหา ดังนี้ ข้อหาฆ่าผู้อื่นฯ ยืนยันได้ 489 หมาย ยืนยันไม่ได้ 327 หมาย ข้อหาปล้นทรัพย์ฯ ยืนยันได้ 286 หมาย ยืนยันไม่ได้ 531 หมาย ข่มขืนกระทำชำเรา ยืนยันได้ 796 หมาย ยืนยันไม่ได้ 553 หมาย ข้อหายาเสพติด (จำหน่าย/ครอบครอง) ยืนยันได้ 618 หมาย ยืนยันไม่ได้ 79 หมาย ข้อหาอื่นๆ ยืนยันได้ 38,398 หมาย ยืนยันไม่ได้ 11,876 หมาย รวมยืนยันได้ 40,587 หมาย
ยืนยันไม่ได้ 13,366 หมาย



พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ให้สัมภาษณ์ "โล่เงิน" ว่า "ที่มีการระดมจับกุมอาวุธปืนที่ผ่านมา ถือว่าได้ผลชัดเจน สถิติการใช้อาวุธปืนลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมาดูคดีค้างเก่าก็ให้ตรวจสอบว่าเป็นหมายที่เป็นปัจจุบันหรือไม่ บางอันจับแล้วก็ไม่ถอนหมาย จึงสั่งให้ไปดูให้เป็นปัจจุบัน ก็พบว่ามีกว่า 50,000 หมายจับ มันเยอะมาก เลยเรียก บก.สส.บช.น. เป็นแม่งาน ร่วมกับกองกำกับการสืบสวน (กก.สส.) แต่ละ บก. รวมถึงฝ่ายสืบสวนทุกโรงพักมาประชุม ตั้งศูนย์ติดตามหมายจับค้างเก่าที่ บก.สส. จากนั้นก็ดูว่ามีหมายอะไรบ้าง ก่อนแจกแจงไป เพื่อให้ติดตามจับกุมตามท้องที่นั้นๆ ที่ผ่านมาตำรวจไม่ค่อยสนใจคดีเล็กๆ ที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ไม่มีใครดูจึงให้ไปจับมา ขณะนี้จับมาได้เยอะแล้ว" 
ครั้นถามถึงการตั้งเป้ายอดจับกุมหมายจับค้างเก่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า ไม่มีเป้า แต่จะพิจารณาเอง โดยให้ระดมจับตั้งแต่วันจันทร์ จากนั้นอีก 3 วันมาแถลง ความจริงไม่อยากให้เป็นข่าวมากนักเพราะพวกที่มีหมายจับอาจไหวตัวทัน 
ทั้งนี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ บอกด้วยว่า จะเก็บสถิติผลงานการจับกุมคดีค้างเก่าทั้งหมด เพราะถือว่าระดับ ผกก. เป็นหัวใจสำคัญ หาก ผกก. ไม่สนใจ ประชาชนเดือดร้อน ก็เป็นตัวชี้วัดการแต่งตั้งโยกย้ายได้เหมือนกัน เช่นเดียวกันหาก ผกก. ทำงาน ลูกน้องก็จะทำตาม

เรียกว่าเป็นแอ๊กชั่น สไตล์ "บิ๊กแจ๊ด" ที่เดินเกมเร็ว ถึงลูกถึงคน เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงาน และหากผลของงานชี้วัดการแต่งตั้งโยกย้ายได้จริง คงต้องจับตาการแต่งตั้งโยกย้ายระดับ รอง ผบก.-ผกก. ในเวลาอันใกล้นี้



.