http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-08-17

พยายามฆ่า, อนาคตสดใส, ต้องปรับวิธีคิด, ความหวังของประชาชน, ตรรกะมาร์ค ในคอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม

.
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม - ไม่มีมูลฝอย หมาไม่ขี้ 
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง - นโยบายจำนำข้าว ต้องสู้ด้วยความจริง ไม่ใช่จินตนาการ 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พยายามฆ่า
โดย สมิงสามผลัด  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.
( ภาพ..เป็นภาพล้อเลียน'อภิสิทธิ์' บนเวบบอร์ด )


ดูจะไม่ใช่เรื่องปกติเสียแล้ว
เพราะการปฏิเสธพัลวันของนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกปชป.ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังจะเป็นผู้นำปชป.ไปอีกนาน แม้จะไม่ชนะเลือกตั้งในวันนี้ 
เป็นเรื่องที่แปลกเอามากๆ

แรกๆ ก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะมีการเปลี่ยนหัวหน้าปชป.
แต่พอเห็นอาการของคนปชป.แล้วก็ชักยังไงๆ อยู่ 
วันก่อนระดับหัวกะทิ อาทิ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการปชป. และนายเทพไท เสนพงศ์ ปฏิเสธข่าวนี้กันวุ่นวาย
ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง ไม่เห็นต้อง ออกมาแก้ข่าวกันแบบนี้เลย 
ฉะนั้น อาการอย่างว่านี้ ยิ่งตอกย้ำให้น่าเชื่อว่าอาจเกิดการเปลี่ยนในปชป.

ประเด็นหลักคือผู้หลักผู้ใหญ่ภายในพรรคไม่พอใจการเลือกใช้คนของนายอภิสิทธิ์ที่จำกัดอยู่แต่คนรอบตัว
ไม่ฟังเสียงคนเก่าคนแก่ของพรรคเลย 
ภาพพจน์ของปชป.ยุคนี้เลยแหกกฎแหกกติกากันอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ 
จากฝ่ายค้านที่เคยเข้มแข็งเรื่องข้อมูลหลักฐาน กลายเป็นค้านแบบหัวชนฝา

อีกเหตุผลก็คือการที่นายอภิสิทธิ์นำพรรคแพ้เลือกตั้งมา 2 ครั้ง จึงเกิดคำถามว่าแล้วในการเลือกตั้งครั้งต่อไป (ในอนาคตอันไกล)
ยังจะยอมให้แพ้อีกหรือ !? 
สมควรเปลี่ยนตัวแม่ทัพกันแต่เนิ่นๆ หรือเปล่า 
สุดท้ายเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง เพราะในอนาคตอันใกล้นี้ นายอภิสิทธิ์อาจต้องวุ่นวายอยู่กับการขึ้นโรงขึ้นศาล

นอกจากคดี 98 ศพที่อยู่ระหว่างการยื่นเรื่องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศรับพิจารณาแล้ว 
ยังมีการเริ่มทำคดี "พยายามฆ่า"จากเหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดง 
คดีนี้จะรวดเร็ว เพราะทำเป็นคดีอาญาตามปกติ 
มีผู้บาดเจ็บกว่า 2 พันคนที่โดนปืนสงครามรวมทั้งสไนเปอร์ยิง ยื่นฟ้องเอง

พยานหลักฐานก็ชัดเจนเพราะคนที่ถูกยิงยังมีชีวิต ขึ้นให้การต่อศาลได้ว่าโดนใคร ยิง !
เพราะหากถูกยิงจากปืนเจ้าหน้าที่ ก็ต้องเอาผิดไล่เบี้ยไปถึงคนสั่งการ 
นี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญยิ่ง
จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวหัวหน้า ปชป.



++

อนาคตสดใส
โดย คาดเชือก คาถาพัน  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งในหน้าต่างประเทศของ "ข่าวสด" นี้เอง 
อ่านแล้วสะดุดและชวนให้คิดอะไรต่อมิอะไรไปได้อีกหลายอย่าง
จึงขออนุญาตยกข่าวก้อนนั้นมาตีพิมพ์อีกครั้ง ก่อนจะช่วยกันคิดอะไรต่อไปอีก 2-3 ข้อ

ข่าวมีอยู่ว่า
"เอเอฟพีรายงานเมื่อ 12 ส.ค.ว่า กลุ่มสิทธิสตรีหลายองค์กรในมาเลเซียประท้วง คำตัดสินของศาลอุทธรณ์มาเลเซีย ที่อภัยโทษให้แก่นายนอร์ อะซีซาน นักกีฬา คริกเกตทีมชาติที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาข่มขืนเด็กผู้หญิงอายุ 13 ปี ทั้งที่นายอะซีซานสารภาพว่ากระทำผิดจริงและศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกแล้ว" 
แต่ศาลอุทธรณ์ระบุว่า นายอะซีซานเป็นนักกีฬาที่มี "อนาคตสดใส" ของสังคม จึงอภัยโทษให้ กรณีนี้ทำให้ชาวมาเลเซียจำนวนมากโพสต์ข้อความเสียดสีในอินเตอร์เน็ตว่า
"หากมีอนาคตสดใสคงข่มขืนใครก็ได้"


ประการแรก นี่เป็นข่าวสรุปมาแบบย่อๆ ไม่มีโอกาสได้เห็นหรืออ่านคำพิพากษาทั้งหมดของศาลอุทธรณ์มาเลเซีย เพราะฉะนั้นเพื่อความเป็นธรรม จะพยายามตามข่าวต่อมาให้ถ้ามีความคืบหน้าจากฝ่ายศาล 

ประการต่อมา ถ้าเชื่อในข่าวที่สรุปประเด็นมาว่าไม่ผิด(เพราะเขียนเสียชัดเจนออกอย่างนั้น ไม่คิดว่าน่าจะผิดไปจากคำพิพากษาจริงได้)

คำตัดสินคดีนี้ก็เป็นคำพิพากษาที่ประหลาดที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยมีมา
และน่าสนใจว่าอะไรคือเบื้องหลังหรือที่มาของคำตัดสินดังกล่าว หรือผู้พิพากษาคนนั้น คณะนั้นคิดอะไรอยู่ 
ถึงได้เอาเหตุผลประเภท "จับแพะชนแกะ" มาใช้ได้
นี่ถ้าเป็นเมืองไทย คำพิพาก ษานี้คงได้รับรางวัล "สองมาตรฐาน" ไปแล้วเรียบร้อย

ประการสุดท้าย ภาวนาว่าอย่าให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในเมืองไทยเลย 
ทั้งตัวคำพิพากษา และแนวคิดที่เชื่อว่าถ้ามี "อนาคตสดใส" จะทำอะไรก็ไม่ผิด

เท่าที่มีอยู่ไม่กี่คนในสังคมไทยนี่ก็เต็มกลืนแล้ว



++

ต้องปรับวิธีคิด
โดย จ่าบ้าน  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.  ข่าวสดออนไลน์


เมื่อก่อนการที่ทางราชการจะประกาศสถานการณ์อย่างหนึ่งอย่างใด หลังเกิดสถานการณ์รุนแรง เพื่อป้องกันหรือป้องปรามไม่ให้เหตุการณ์นั้นยืดเยื้อยาวนาน
เช่น การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การประกาศกฎอัยการศึกในบางพื้นที่ หรือเมื่อเกิดเหตุร้ายแรงขึ้น เช่นมีการก่อความไม่สงบเกิดขึ้น มีการชุมนุมและลามไปถึงการปะทะ หรือก่อเหตุรุนแรงขึ้น รัฐบาลอาจประกาศห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานยามวิกาล

หลังจากเกิดเหตุรุนแรงขึ้นมานานนับเกือบจะครบ 10 ปี แม้รัฐบาลจะประกาศให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในสภาวะฉุกเฉิน ต้องมีการต่อครั้งละ 3 เดือน แต่เมื่อเหตุที่เกิดขึ้นขณะนี้กลับร้ายแรงและก่อขึ้นกลางเมือง กลางวันแสกๆ อย่างอุกอาจ 
เมื่อทางทหารจะขอประกาศเคอร์ฟิว หรือจำกัดการออกนอกเคหสถานยามวิกาล กลับได้รับการคัดค้านจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่


ขณะนี้ทุกครั้งที่ผู้ก่อความไม่สงบก่อเหตุร้ายแรงขึ้น จะมีเสียงคัดค้านไม่เห็นด้วยจากประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม พากันประณามผู้กระทำนั้นว่าไม่ใช่กิจของชาวมุสลิม เพราะชาวมุสลิมไม่ต้องการความรุนแรง 
ทั้งยังเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของผู้ที่ไม่หวังดี ผู้ที่ไม่ต้องการเห็นความสงบสันติสุขเกิดขึ้นในสามจังหวัดนี้ 
ขณะที่วันนี้ข่าวในต่างประเทศเริ่มเรียกเหตุการณ์นี้ว่าอยู่ในสถานการณ์เรียกร้องแบ่งแยกดินแดน

แม้ในประเทศไทยยังไม่มีการกล่าวถึงปัญหานี้ แต่กับเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นดูจะเป็นความพยายามของผู้ก่อความไม่สงบที่จะให้กรณีดังกล่าวเป็นการแบ่งแยกดินแดนให้จงได้
แนวทางความคิดที่จะเพิ่มกำลังตำรวจลงไปแทนกำลังทหาร อาจจะถูกทาง แต่ต้องไม่ลืมว่าภาระหน้าที่ของตำรวจกับทหารแตกต่างกัน

หากรัฐบาลหรือผู้รับผิดชอบความมั่นคงของชาติตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง ให้ทหารปฏิบัติหน้าที่ของทหาร ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ สักระยะหนึ่ง แล้วมาประเมินดูว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่ก่อขึ้นเป็นเพราะอะไร

ถึงวันนั้นอาจใช้เวลาสักสามเดือน หกเดือน อาจจะพบว่ากำลังทหารไม่จำเป็นก็เป็นได้-ไม่ลองไม่รู้ 



++

ความหวังของประชาชน
โดย จ่าบ้าน  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:14 น.


เมื่อวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการ พร้อมด้วยพลตำรวจตรีมานิตย์ วงศ์สมบูรณ์ รองผู้บัญชาการ ร่วมกันปฐมนิเทศนักเรียน นายร้อยตำรวจ ชั้นปีที่ 4 รุ่น 66 จำนวน 267 นาย เป็นนักเรียนนายร้อยชาย 200 นาย นักเรียน นายร้อยหญิง 67 นาย

ในการปฐมนิเทศ พลตำรวจโทคำรณวิทย์ ซึ่งเคยเป็นผู้หมวดกองร้อย 2 และผู้กองร้อยของโรงเรียนนายร้อยตำรวจมาก่อนแล้ว กล่าวกับนักเรียนนายร้อยถึงความต้องการของตนว่า

อยากให้ศึกษาและเก็บเกี่ยวความรู้ในเรื่องประสบการณ์จริง และคดีจริง เอาไปเป็นแบบอย่างในการรับราชการต่อไป พร้อมยกตัวอย่างที่ตัวเองเคยฝึกงานที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสมุทรสงคราม และได้สารวัตรสอบสวน คือ พันตำรวจตรียุทธนา ไทยภักดี สมัยนั้น ซึ่งเกษียณราชการในตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เป็นต้นแบบตลอดเวลาฝึกงาน

?ยืนยันว่าท่านไม่เคยพาไปนั่งทานอาหารดีๆ ไปนั่งฟังเพลง ร้องเพลง ไปเที่ยว ไม่มี มีแต่อยู่ในงาน ออกสืบสวนด้วยกัน ออกทำคดีด้วยกัน แม้แต่ขับเรือก็ขับด้วยตัวเอง สอนทุกอย่างหมด มีวันสุดท้ายของการฝึกงานจะมีงานเลี้ยงก็อยู่ที่บ้านพัก คุณนายท่าน ทำกับข้าวกินกันเอง พวกเรา 4 คนที่ฝึกงานกับท่านตอนนี้
คนหนึ่งเป็นพลตำรวจเอก 1 คน ผม และอีกคนพลตำรวจตรี? พลตำรวจโท คำรณวิทย์กล่าวกับนักเรียน นายร้อยปีที่ 4 ที่ต้องออกฝึกงานครั้งนี้ ซึ่งหนังสือพิมพ์ข่าวสด นำมาลงเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา

ทั้งยังบอกกล่าวกับนักเรียนนายร้อยทั้ง 267 นายด้วยว่า อยากปลูกฝังสิ่งดีๆ ให้น้องที่จะจบออกมานำไปใช้ เราก็พยายามคัดสรรให้เลือกเอาพี่เลี้ยงดีๆ มาเป็นครู พี่เลี้ยง กำชับว่าอย่าให้ได้ยินว่า พี่เลี้ยงพานักเรียนไปเที่ยว พาไปกินเหล้า พาไปฟุ้งเฟ้อ อย่าให้ได้ยินเข้าหู ขอฝากไว้ที่พี่เลี้ยงต้นแบบ เรื่องอื่นไม่ห่วง เพราะนักเรียนเขามีความตั้งใจดีอยู่แล้ว แต่ก็มีบางส่วนนักเรียนที่จ้องจะให้พี่เลี้ยงพาไปเที่ยวก็มี รุ่นตนก็มี แต่ไม่ใช่พี่เลี้ยงเป็นคนชักนำ...


?อยากให้ได้รับความรู้นำไปใช้เมื่อจบ ออกไปเป็นตำรวจ และเป็นตำรวจที่ดีของประชาชน?
ครับ ที่คัดลอกข่าวมาลงอีกครั้งหนึ่ง เพราะประชาชนเขาก็หวังเช่นนั้นเหมือนกัน ท่านผู้บัญชาการ 



++

ตรรกะมาร์ค
โดย สมิงสามผลัด
  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


พอโดนตรวจสอบบ้างก็มองว่าเป็นเกมการเมืองวันก่อน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาโจมตีรัฐบาลกลั่นแกล้ง กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษตามไล่สอบคนบริจาคน้ำท่วมให้ ปชป.
บางคนบริจาคเงินแค่ 400 บาทก็ยังโดนเรียกสอบ 
"ดีเอสไอได้ส่งจดหมายไปยังบรรดาผู้เคยบริจาคเงินน้ำท่วมให้พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเรียกตัวไปสอบ ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้ไม่ได้ทำผิดอะไร" 

แน่นอนอยู่แล้วที่ว่าผู้บริจาคเงินไม่ผิด 
แต่ประเด็นมันอยู่ที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว.สรรหา ได้ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบการรับเงินบริจาคน้ำท่วมของพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ 
แบบเดียวกับเงิน 1 ล้านบาทอีสท์วอเตอร์  
เป็นการตรวจสอบตามที่มีการร้องเรียน
ไม่ใช่อยู่ๆ ดีเอสไอไปตามไล่สอบเอาเอง หรือสอบตามคำสั่งรัฐบาล

อีกทั้งนายเรืองไกรก็ประกาศชัดเจนว่าไม่ได้กลั่นแกล้ง 
แค่ตั้งข้อสงสัยเรื่องข้อกฎหมาย หากไม่มีอะไรผิด ก็พร้อมขอโทษปชป. 
แต่การออกมาตีโพยตีพายของนายอภิสิทธิ์แบบนี้ดูจะไม่เป็นธรรม

ที่สำคัญเงิน 400 บาทก็ไม่ใช่ประเด็นด้วย 
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่ามีการทำผิดกฎหมาย หรือเปล่า 
อยากให้นายอภิสิทธิ์ทบทวนเรื่อง"หลักการ"ตรงนี้ให้ชัดเจน 
ไม่งั้นจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ว่าตรวจสอบฝ่ายตรงข้ามไม่เป็นไร
พอฝ่ายตัวเองโดนตรวจสอบบ้าง ก็โวยวายว่าถูกกลั่นแกล้ง


ทำให้นึกถึงกรณีกระทรวงกลาโหมตรวจสอบการใช้เอกสารเข้าสมัครเป็นอาจารย์ ร.ร.นายร้อยจปร.ของ นายอภิสิทธิ์ เมื่อ 20 ปีก่อน 
โดยกลาโหมระบุชัดเจนว่าเป็นเอกสารที่ไม่ถูกต้อง  
แต่นายอภิสิทธิ์กลับให้สัมภาษณ์ว่า "หากเป็นเอกสารปลอม ก็ให้ไปเอาผิดกับคนที่ทำ ไม่ใช่มาเอาผิดกับตน"

จนโดนวิพากษ์วิจารณ์กันทั้งบ้านทั้งเมือง 
งุนงงจริงๆ กับตรรกะของผู้นำฝ่ายค้าน



+++

ไม่มีมูลฝอย หมาไม่ขี้
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


ระวังตายหมู่ 
คำพังเพยนี้เข้ากับสถานการณ์ภายในพรรคประชาธิปัตย์ปัจจุบันที่กำลังมีกระแสข่าวหนาหูเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค
มูลฝอยเรื่องนี้มาจากความจริงที่ว่านับแต่ก่อตั้งพรรคมา 66 ปี มีหัวหน้าพรรคมาแล้ว 7 คน 
ไม่มียุคใดที่ประชาธิปัตย์จะถูกมองว่าถดถอยเท่ากับยุคนี้
ยุคที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค

ด้านภาพลักษณ์ของประชาธิปัตย์นั้น 
จุดเริ่มต้นคือการพินอบพิเทาต่อขบวนการรัฐประหาร 19 กันยาฯ 49 โค่นล้มรัฐบาลทักษิณที่มาจากระบอบประชาธิปไตย
แต่แล้วภายใต้กติกาที่ออกแบบใหม่โดยเครือข่ายอำมาตย์ 

ประชาธิปัตย์โดยการนำของนายอภิสิทธิ์ ที่ขณะนั้นยึดกุมความได้เปรียบไว้เกือบทุกด้าน สุดท้ายก็ยังเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับพลังประชาชน
ทำให้อำนาจนอกระบบต้องเข้ามาโอบอุ้มอีกครั้ง ด้วยปฏิบัติการ "วิ่งราวอำนาจ" จากรัฐบาลสมัคร-สมชาย จากนั้นก็เข้าไปจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
นำไปสู่การชุมนุมขับไล่ของคนเสื้อแดงเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 
รัฐบาลประชาธิปัตย์แทนที่จะใช้สันติ กลับสั่งการใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุม กระทั่งมีคนตาย 98 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน
เป็นเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย


หลังยุบสภาเลือกตั้งใหม่ 3 ก.ค.2554 ประชาธิปัตย์เจ็บหนักกว่าเดิม นายอภิสิทธิ์ลาออกจากหัวหน้าพรรค ก่อนได้รับเลือกกลับมาใหม่
บทบาทฝ่ายค้านตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์ก่อเรื่องราวต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะภาพส.ส.พรรคบุกขึ้นไปป่วนประธานสภาถึงบนบัลลังก์ห้องประชุม
ยังติดตามาถึงทุกวันนี้

กรณีการถือ "สองสัญชาติ" และเงื่อนงำการ "เกณฑ์ทหาร" 
ได้ลดทอนเกียรติภูมิความสง่างามของหัวหน้าพรรคการเมืองที่เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีไปจนหมดสิ้น 
นับจากนี้ไปถึงเวลาแล้วที่สมาชิกประชาธิปัตย์ทุกคนต้องร่วมตัดสินใจว่า จะเลือกปกป้องนายอภิสิทธิ์ โดยไม่ไยดีต่อชะตากรรมพรรคในระยะยาว

หรือพร้อมแล้วที่จะกอดคอกันตายหมู่



+++

นโยบายจำนำข้าว ต้องสู้ด้วยความจริง ไม่ใช่จินตนาการ
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
ในข่าวสดออนไลน์  วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


 มีความแตกต่างอย่างแน่นอนระหว่างท่วงทำนองการวิพากษ์ของพรรคประชาธิปัตย์ กับท่วงทำนองการชี้แจงของรัฐบาลและของพรรคเพื่อไทย
 โดยเฉพาะต่อปัญหาว่าด้วยการจำนำข้าว

เด่นชัดยิ่งว่า 1 พรรคประชาธิปัตย์ผูกติดอยู่กับนโยบายการประกันราคาข้าว
และเด่นชัดยิ่งว่า 1 พรรคประชาธิปัตย์มีความโน้มเอียงที่จะอาศัยการคาดการณ์มาเป็นเครื่องมือแสดงความห่วงใยกังวล
 จึงทำให้หลายครั้งที่เฉียดเข้าไปใกล้กับการสร้าง'จินตนาการ'ในทางความคิด

เด่นชัดยิ่งว่า 1 รัฐบาลมองเห็นด้านบกพร่อง ย่อหย่อน เชิงเปรียบเทียบระหว่างนโยบายประกันราคาข้าวกับนโยบายรับจำนำ
ขณะเดียวกัน เด่นชัดยิ่งกว่า 1 รัฐบาลก็อาศัยการคาดการณ์มาเป็นเครื่องมือในการชี้แจงและทำความเข้าใจ

 กระทั่ง ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และรัฐบาลใช้เครื่องมืออย่างเดียวกันในการต่อสู้ ขับเคี่ยว 
 จินตนาการ


 ใครก็ตามที่นั่งฟังคำอภิปรายจากขุนพลนักพูดแห่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่ว่าจะจาก นายกรณ์ จาติกวณิช ไม่ว่าจะจาก นายเกียรติ สิทธีอมร ไม่ว่าจะจาก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม 
 ก็จะประจักษ์ตรงกัน
 ตรงกันในความห่วงใยทั้งต่อผู้ส่งออก ต่อชาวนา และความหวั่นวิตกว่านโยบายรับจำนำ อาจทำให้อุตสาหกรรมเสียหายยับเยิน

 แม้ความห่วงใยจะอ้างในเรื่องของชาวนา แต่เอาจริงๆ กลับไม่ใช่ 
 ความห่วงใยที่ขุนพลนักพูดแห่งประชาธิปัตย์แสดงออกมีความเด่นชัดอย่างเป็นรูปธรรมตามลำดับว่า เป็นพ่อค้าผู้ส่งออกต่างหากที่พรรคประชาธิปัตย์มีความห่วงใย เพียงแต่ยกเอากรณีของชาวนามาเป็นใบเฟิร์นประดับแจกันให้แลดูวิจิตรตระการตา 
 มากด้วยสีสัน

 น่าเสียดายที่รัฐบาลกลับไม่ช่วงชิงความได้เปรียบในสถานะอันเป็นฝ่ายบริหารตีโต้กลับฝ่ายของพรรคประชาธิปัตย์อย่างทันทีทันความ
 หลายคนในรัฐบาลกลับนำเอา'จินตนาการ'มาเป็นคำตอบ


 แท้จริงแล้ว คำตอบต่อปัญหานโยบายรับจำนำข้าวคำตอบแรกน่าจะเป็นความจริง ทั้งในเรื่องเงินที่ใช้ไป ปริมาณข้าวและโอกาสทางการตลาด
 ความเป็นจริงดำรงอยู่อย่างไรก็น่าจะนำมาแผ่แบ 
 ขณะเดียวกัน ความเป็นจริงที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือ ความเป็นจริงในการระบายข้าวออกจากสต๊อกไปสู่กลไกตลาด เสียเปรียบ ได้เปรียบอย่างไร ความจริงเหล่านี้ไม่ควรเก็บเป็นความลับ 
 ต้องแบออกมา

 หากมองจากลักษณะยืนหยัด ไม่หวั่นไหว วอกแวกของรัฐบาล ก็เป็นเรื่องน่ายินดี 
 น่ายินดีที่โครงการรับจำนำหากอยู่บนพื้นฐานของการช่วยเหลือชาวนา ทาง 1 ชาวนาขายข้าวได้ราคาสูงขึ้น ทาง 1 ซึ่งสำคัญรัฐบาลยังมีข้าวเป็นจำนวนมาก เงินที่ใช้ไปจึงไม่สูญเปล่า

 รอเวลา



.