http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-08-08

TO ROME WITH LOVE “อมตนคร” โดย นพมาส แววหงส์

.

TO ROME WITH LOVE “อมตนคร”
โดย นพมาส แววหงส์  คอลัมน์ ภาพยนตร์
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1668 หน้า 87


กำกับการแสดง Woody Allen
นำแสดง Woody Allen
Judy Davis
Penelope Cruz 
Jesse Eisenberg
Ellen Page
Alec Baldwin
Roberto Benigni
Alison Pill



Rome หรือที่ชาวอิตาลีเรียกว่า Roma ได้รับการขนานนามจากกวีและนักเขียนตั้งแต่ยุคโรมันโบราณ ว่า The Eternal City ชื่อนี้อาจเรียกให้เข้าปากได้ว่า "อมตนคร"....กลายเป็นเหมือนชื่อหมู่บ้านจัดสรรไปซะยังงั้นแหละ....เอาเป็น "นิรันดรนคร" น่าจะดีกว่านะคะ
หนังเรื่องใหม่ของ วูดดี อัลเลน เล่าเรื่องราวหลากหลายของผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโรมอันแสนจะมีมนตร์ขลังนี้แหละ ในทำนองเดียวกับที่เขาทำกับปารีสมาแล้วในเรื่อง Midnight in Paris 
วูดดี อัลเลน ทำหนังเฉลี่ยปีละเรื่อง และขยันทำอย่างสม่ำเสมอเสียด้วย แม้อยู่ในวัยเจ็ดสิบหกปีเข้าแล้ว ก็ยังไม่ได้เชื่องช้าลงแต่ประการใด

เมื่อเดือนที่แล้ว มีเทศกาล วูดดี อัลเลน ทางช่องเคเบิล จึงได้ดูหนังของอัลเลนอีกหลายเรื่องที่ไม่เคยได้ดูมาก่อน บางเรื่องก็หลุดโลกไปเลย แต่ก็มีหลายเรื่องที่แสดงฝีมือกำกับและเขียนบทอย่างยอดเยี่ยมของเขา 
To Rome With Love ยังไม่ทิ้งเสน่ห์ของการเล่าเรื่องและมุขคมคายขำขันแบบน้ำท่วมทุ่งตามแบบฉบับของอัลเลนไปเสียทีเดียว
นอกจากนั้น ยังจับภาพบรรยากาศของโรมอย่างได้อารมณ์ และใช้นักแสดงที่มีชื่อเสียงหน้าตาเป็นที่คุ้นเคยกันดี และฝีมือการแสดงจัดจ้านมากหน้าหลายตา
เสียแต่เมื่อมองโดยรวมแล้ว หนังยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก เรื่องราวยังไม่ตกผลึกดีนัก และเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุดของเขา


หนังขึ้นต้นบนท้องถนนอันวุ่นวายแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของกรุงโรม ณ กลางแยกที่จราจรยืนอยู่กลางถนนบนแท่นยกพื้นสูง ออกท่าทางโบกให้รถเคลื่อนที่ไป และโบกให้รถหยุด...จนเราได้ยินเสียงรถเบรคและชนกันนอกจอ นับว่าวางโทนหนังให้เป็นคอเมดีไว้อย่างชัดเจน
จราจรที่โบกรถด้วยท่าทางสวยงามคนนี้เริ่มเล่าเรื่องของผู้คนในโรมด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น ว่าจากจุดที่เขายืนอยู่นี้เขาเห็นชีวิตผู้คนหลายหลากมากมายที่ผ่านไปผ่านมา 
แต่เราก็ไม่ได้เจอจราจรคนนี้อีกเลย หนังกลับไปลงเอยเรื่องที่บริเวณ "บันไดสเปน" ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญจุดหนึ่งในโรม และเปลี่ยนมุมมองจากจุดของจราจรกลางถนนคนนั้นไปเป็นจากชั้นสองของอาคารใกล้ๆ

งงๆ ค่ะ ในแง่มุมมองของเรื่องราวหลายชีวิตหลายคู่รักที่เล่าให้เราฟังนี้ 
นอกจากนั้น เรื่องราวที่เล่าสลับไปมาทั้งสี่เรื่อง มีตัวละครอยู่สี่กลุ่ม ก็ดูแยกกันอยู่โดยไม่มีอะไรโยงกันอยู่ เรียกว่าขาดเอกภาพก็ได้ละมัง
ทำให้ประเด็นของหนังขาดน้ำหนักจนไม่รู้จะคิดยังไงดี


เรื่องราวสี่เรื่องที่เล่าสลับกันไปมานั้น ประกอบด้วยคู่รักสี่คู่ 
คู่หนึ่งคืออันโตนิโยกับมิลลี สามีภรรยาชาวอิตาลีที่เดินทางจากเมืองเล็กๆ มาโรมโดยหวังจะมาทำงานกับญาติผู้ร่ำรวยที่มีกิจการอยู่ในโรม
ภรรยาขอตัวไปทำผมให้หาย "บ้านนอก" ก่อนจะพบกับบรรดาญาติสามี และหลงทางไม่ได้กลับโรงแรมในวันนั้น ทั้งสามีและภรรยาต่างมีการผจญภัยอย่างน่าตื่นเต้นในหมู่คนแปลกหน้า เพเนโลปี ครูซ เป็นโสเภณีที่ถูกจ้างมาให้เป็นของขวัญ แต่เกิดผิดฝาผิดตัวขึ้น จนต้องรับสมอ้างเป็นมิลลี ภรรยาของอันโตนิโย ส่วนมิลลีตัวจริงก็พลัดเข้าไปในกองถ่ายหนัง และถูกเกี้ยวพาราสีโดยพระเอกหนังในดวงใจ

อีกคู่หนึ่งเป็นชาวอเมริกันที่มาใช้ชีวิตอยู่ในโรม แจ็ก (เจสซี ไอเซนเบิร์ก) กับ แซลลี แซลลี มีเพื่อนสาวจากอเมริกามาเยือน และพำนักอยู่ในบ้าน มอนิกา (เอลเลน เพจ) เป็นระเบิดลูกเล็กๆ ที่หลุดเข้ามาในชีวิตของแจ็ก ซึ่งโดยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบ มีที่ปรึกษาเป็นหนุ่มใหญ่ สถาปนิกที่โด่งดัง จอห์น (อเลก บอลด์วิน) เคยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่แจ็กอยู่ในปัจจุบัน จอห์นจึงติดสอยห้อยตามแจ็กไปด้วยทุกหนทุกแห่ง และทักท้วงให้สติเขาในเรื่องการสร้างสัมพันธ์กับสาวฮ็อตคนนี้

คู่ต่อมาเป็นมิเคลันเจโล (ฟลาวิโอ ปาเรนติ) ทนายความหนุ่มอิตาเลียนหัวเอียงซ้าย ที่บังเอิญเจอเฮย์ลีย์ (อลิสัน พิลล์) เข้ากลางถนน ถูกชะตากัน และสานสัมพันธ์ต่อจนหมั้นหมายกัน ถึงขั้นพ่อแม่ของฝ่ายหญิง คือเจอร์รี (วูดดี อัลเลน) กับ ฟิลลิส (จูดี เดวิส) บินจากอเมริกา มาพบครอบครัวฝ่ายชาย ซึ่งผู้เป็นพ่อมีอาชีพเป็นสัปเหร่อ ท่ามกลางความไม่ลงตัวของหนุ่มสาว เจอร์รีซึ่งเป็นผู้กำกับโอเปราที่เพิ่งจะเกษียณจากอาชีพ ได้ค้นพบพรสวรรค์อันล้ำเลิศของจันคาร์โลผู้เป็นสัปเหร่อ ที่ร้องเพลงโอเปราได้ไพเราะอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงเวลาอาบน้ำ

คู่สุดท้ายเป็นชายวัยกลางคนกับภรรยา เลโอโปลโด (โรแบร์โต เบนิญญี) เป็นคนทำงานธรรมดาสามัญ ที่อยู่มาวันหนึ่ง ก็กลายเป็นดาราที่มีชื่อเสียงโดยไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไร ถูกนักข่าวรุมตามเป็นเงาตามตัว เรื่องราวส่วนนี้ล้อเลียนสังคมในแง่ที่ไม่ว่าคนเด่นคนดังจะทำอะไรก็จะตกเป็นข่าวและเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและประชาชน ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อยไร้ความสลักสำคัญแค่ไหน เช่นกินอะไรเป็นอาหารเช้า โกนหนวดอย่างไร หรือสวมกางเกงในแบบไหน 
แต่แล้วชื่อเสียงและความโด่งดังก็จากไปง่ายๆ เหมือนเวลามันมาเยือน บทมันจะมามันก็มา บทมันจะไปมันก็ไป เลโอโปลโดก็เลยหวนกลับไปสู่ชีวิตของคนธรรมดาสามัญเหมือนเดิม และเกิดอาการคลั่งของคนที่ติดชื่อเสียงไปพักใหญ่



เรื่องราวทั้งสี่นี้ นอกจากจะอยู่แยกกันโดดๆ แล้ว ยังตั้งอยู่บนเหตุผลคนละระนาบสองระนาบ เหตุผลที่จอห์นติดสอยห้อยตามแจ็กไปทุกหนทุกแห่งก็ไม่แจ่มแจ้งว่าเป็นเพราะอะไร และเวลาที่ผ่านไปในแต่ละเรื่องก็ดูจะยาวนานมากน้อยไม่เท่ากัน 

หนังขาดเอกภาพอย่างนี้เอง จนทำให้ขาดความหนักแน่นของประเด็นในเรื่องไปเยอะเลย บางช่วงบางตอนก็เวิร์กดี แต่บางตอนก็ดูแปร่งๆ ขาดข้อสรุปที่ขมวดปมให้ได้คิดอย่างน่าเสียดาย

สรุปว่า เป็นหนังที่พอดูได้ แต่ไม่ถึงกับน่าประทับใจมาก



.