http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-08-22

ห้องแล็บแห่งความตาย-ไม่ไปไม่รู้ โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล

.

ห้องแล็บแห่งความตาย-ไม่ไปไม่รู้
โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล dr.banchob@balavi.com www.balavi.com Facebook: บัลวี
คอลัมน์ ธรรมชาติบำบัด ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1670 หน้า 93


มีผู้อ่านถามถึงบทต่อไปของการใคร่ครวญความตาย ทักท้วงว่าผมยังไม่ได้ไขความถึงวิธีใคร่ครวญความตายในเชิงปฏิบัติเลย ฉบับนี้จึงขอแจงจารประเด็นนี้ต่อ

ครับ ในภาคปฏิบัติที่ผมมีโอกาสสัมผัส ต้องยอมรับว่า ห้องแล็บแห่งความตาย ซึ่งผมตั้งชื่อให้เองหรอกนะครับ อันเป็นภาคปฏิบัติส่วนหนึ่งในการอบรม "การเตรียมตัวตายอย่างสงบ" จัดโดยเสมสิกขาลัย นำโดย พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ผมถือว่าเป็นปฏิบัติการที่สัมฤทธิผลทีเดียวแหละ
การอบรมซึ่งมีอยู่สามวัน ในวันแรกของการอบรมมีการตั้งคำถามว่า "ตัวคุณเองกลัวตายมากน้อยเพียงใด" แล้วให้ผู้รับการอบรมชั่งใจตัวเองจากนั้นไปยืนอยู่ในตำแหน่งระหว่าง 0 ถึง 100 คะแนน 
ผลก็ปรากฏว่าคนส่วนใหญ่จะยืนกันอยู่ในตำแหน่ง 40-60 คะแนน ซึ่งก็เป็นธรรมดาอยู่เองของการกระจายตัวแบบปกติ (normal distribution) ตามวิชาสถิติ 
จะมีอยู่ท่านหนึ่งที่สูงอายุมากและผ่านโลกมาเยอะ เรียกว่าเต็มอิ่มกับชีวิตแล้ว ท่านไปยืนอยู่ที่ตำแหน่ง 0-10 คะแนน
พูดง่ายๆ ว่าท่านไม่กลัวตายแล้ว

ผมเองไปยืนอยู่ที่ระดับความกลัว 60 คะแนน เหตุผลเพราะว่า แม้จะรับรู้เรื่องการตายแล้วเกิดใหม่ เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องการใคร่ครวญความตาย แต่ถ้าถามกันอย่างจริงจังให้ตอบกันตรงหน้าว่าเห็นความตายอยู่เบื้องหน้าจะกลัวหรือเปล่า? มันก็ยังมีเหตุที่จะทำให้เกิดความกลัวตายอยู่ไม่น้อย
ประการหนึ่งคือไม่รู้ว่าความตายที่กำลังเข้ามาหานั้น จะเป็นยังไง นั่นคือคนเราย่อมกลัวสิ่งที่ยังไม่รู้จัก 
ประการหนึ่งคือความเจ็บปวดก่อนตาย ใครๆ ก็คงกลัวเจ็บ

อีกประการหนึ่ง ในลึกๆ ของจิตคือความรักชีวิต ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของทุกสรรพสัตว์ เหล่านี้เป็นจิตใต้สำนึกของปุถุชน
ผมจึงยังไม่ค่อยเชื่อนักว่า ใครจะพร้อมรับความตายอย่างหน้าชื่นได้ เมื่อความตายกำลังมากระทบตรงหน้าตัวเองเข้าจริงๆ ยกเว้นท่านผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว



ต่อจากนั้นการอบรมก็ไล่เรียงไปในหลายมุมมอง ตั้งแต่การเตรียมตัวรับรู้ข่าวร้าย การจะช่วยเหลือกายใจของผู้ป่วยหนักอย่างไร การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้ที่สูญเสียบุคคลที่เป็นที่รักไป พูดกันไปถึงประสบการณ์เฉียดใกล้ความตายของบางคน ไล่เรียงไปถึงการบอกความในใจกับพ่อแม่ลูกหรือคนที่เรารัก
นั่นนับเป็นการหยิบยกเอาเรื่องความตายแบบที่ใกล้ตัวคนทุกๆ คนมาแบกันอยู่ต่อหน้า ความตายซึ่งในยามปกติคนเรามักหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงหรือแม้กระทั่งนึกคิด 

แต่ในการอบรมที่ผ่านไปสามวัน ความตายถูกหยิบยกขึ้นมาแลกเปลี่ยนกันเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา รวมทั้งความตายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง เมื่อไหร่ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ด้วยเหตุอะไรก็ได้ เพราะชีวิตก็คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราจะควบคุมมันได้ ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปตามที่ใจเรานึก 
ความสุกงอมในจิตใต้สำนึกที่จะยอมรับความตายเกิดขึ้นทีละน้อยในตลอดเวลาสามวัน แล้วก็มาถึงปฏิบัติการที่ผมตั้งชื่อให้ว่า ห้องแล็บแห่งความตาย 
เราถูกบอกให้นอนลงอย่างสงบและผ่อนคลาย ไฟถูกดับให้มืดลง ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ กายสัมผัสได้แต่อากาศที่เยือกเย็นกว่าปกติเล็กน้อย แล้วก็มีเสียงบรรยายผุดขึ้นมาว่า
ขณะนี้เราอยู่คนเดียวตามลำพัง มองไปที่ขอบฟ้าแสงอรุณเริ่มฉายฉาน ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีส้ม เป็นเหลืองอร่าม แล้วดวงตะวันก็โผล่ขึ้นขอบฟ้า จากนั้นฟ้าแจ้ง สว่างใส เปรียบเหมือนชีวิตของเราในยามเด็กและเยาว์วัย สดใสกระจ่างแจ้ง 
แล้วตะวันก็สูงโด่งจนถึงเวลาเที่ยง เหมือนช่วงชีวิตของเราที่ก้าวเข้าสู่วัยทำงาน สร้างเนื้อสร้างตัวสร้างครอบครัว เป็นวัยกระปรี้กระเปร่าที่สุดของชีวิต 
จากนั้นดวงตะวันเริ่มผันสู่ยามบ่าย แล้วก็ถึงยามเย็น แสงตะวันเริ่มอ่อนกำลังลง เหมือนชีวิตที่ล่วงเลยวัยกลาง เข้าสู่วัยชรา ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีขาว เป็นแสงสีม่วงแดงของยามสนธยา ใกล้ค่ำแล้วนะ และแล้วดวงตะวันก็หมดแสง ฟ้ามืด กลายเป็นสีดำสนิท เหมือนชีวิตกำลังก้าวสู่ห้วงลมหายใจสุดท้าย 
ชีวิตของเรากำลังจะหมดไป เรากำลังจะลาจากโลกนี้ไป ...

จะไม่มีอีกแล้ว ภาพใบหน้าของสามีหรือภรรยา ไม่มีอีกแล้วเสียงคำพูดคำจาของลูกๆ ไม่ได้พบอีกแล้วพี่น้องหรือญาติมิตร เรากำลังจะตายจากโลกนี้ไป เรากำลังไปโดยตัวคนเดียว ตามลำพัง....
คำบรรยายโน้มนำให้เห็นชีวิตที่เปลี่ยนไปทีละฉากๆ แล้วนำเราให้ก้าวเข้าสู่ห้วงสุดท้ายของชีวิต ลมหายใจสุดท้ายของชีวิต


ในขณะที่นอนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนั้น ความรู้สึกของผมที่เกิดขึ้นก็คือ ห้วงแรกเป็นความตระหนักว่านี่เรากำลังจะตายแล้วจริงๆ นะ ชีวิตกำลังจะหมดไปแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ไม่มีตัวเราอีกแล้วบนโลกนี้ ไม่มีอะไรอีกแล้วที่เคยเป็นตัวเรา ของๆ เรา ครอบครัวของเรา แม้แต่ผลงานของเราก็ไปเป็นส่วนหนึ่งของโลก เรากำลังจะจากไป...จากไปตามลำพัง ไม่มีใครเลยที่จะอยู่เคียงข้างเรา เป็นเพื่อนกับเรา เราต้องไปคนเดียว ไปสู่สิ่งที่เรายังไม่รู้จัก ...นั่นก็คือ ความตาย 
จากนั้นผมก็เกิดความรู้สึกห้วงที่สองตามมา เป็นห้วงของความกลัว ขณะนี้เหมือนเรากำลังนอนไปในรถไฟสายมรณะ รถไฟที่เป็นโลหะ สีดำ หนักแน่น เย็นเฉียบ เป็นรถไฟสายมรณะขบวนที่แล่นไปเที่ยวเดียว ไม่มีขบวนย้อนกลับ เรากำลังไปคนเดียว ไปสู่ความตายที่เราไม่เคยรู้จัก ไปสู่ความมืดมนอนธการ ไม่มีสิ่งใดไม่มีผู้ใดจะเป็นที่พึ่งแก่เราได้
...ช่างเป็นสิ่งไม่รู้ที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้

จากนั้นเกิดความคิดห้วงที่สาม ให้นึกย้อนขึ้นมาว่า ...ถ้าอย่างนั้นเราได้สั่งความอะไรกับใครเขามั้ย เรามีความในใจอะไรที่จะบอกกับใครบ้าง เราได้ทำความไม่ดีอะไรไว้กับใครและเคยมีโอกาสขอโทษเขาหรือเปล่า เราได้เคยผูกใจเจ็บกับผู้ใดและยังไม่ได้ให้อโหสิกรรมกับใครคนไหนบ้าง 
...และในห้วงชีวิตที่ผ่านมา เราได้ใช้โอกาสของการเกิดมาเป็นคน ทำความดีให้กับใครๆ เขาไว้บ้างหรือเปล่า?

ห้วงความคิดที่สามที่ผุดขึ้นนี้บอกเราว่า ถ้ารู้อย่างนี้เราก็ควรจะได้ทำสิ่งเหล่านี้เสียตั้งนานแล้ว 

สุดท้ายกลายเป็นห้วงความคิดที่สี่ ...อ้อ จริงสิ กรรมดีที่เราทำไว้ไงเล่า ชีวิตเราได้เคยทำความดีไว้มากมาย มันย่อมจะเกิดผลเองแหละน่ะ เพราะพระพุทธศาสนาสอนเราไว้ ให้เราทำดี กฎแห่งกรรมย่อมมีจริง ...อีกอย่างหนึ่งคือจิตที่ฝึกไว้ไงล่ะ

พอห้วงความคิดถึงจุดนี้ปุ๊บ ภาวะจิตก็เกิดความสงบขึ้นมาแทนที่โดยทันที เป็นความรู้สึกที่สงบนิ่งมาก เบาสบาย ปลอดโปร่ง สงบอย่างยิ่ง เป็นสุขอย่างยิ่ง 
แล้วแสงสว่างก็เข้ามาแทนที่ ไฟในห้องเปิด ผมกลับเข้ามาสู่ภาวะเป็นจริงอีกครั้งหนึ่งในห้องอบรม เราพากันลุกขึ้นนั่ง แล้วแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน



ผมเล่าห้วงความรู้สึกให้กันฟัง บอกว่าพอห้วงความคิดที่สามเกิดขึ้น กลับไปเที่ยวนี้ต้องได้ทำสิ่งที่ตกค้างในใจกับใครต่อใครแน่ๆ นั่นคือบอกความในใจกับทุกคนก่อนที่ความตายจะมาเยือนโดยที่ไม่มีโอกาสได้บอก กล่าวขอโทษ กล่าวคำให้อโหสิกับใครต่อใครที่เราติดค้างกันอยู่ 
แต่ทุกคนที่เราไปกล่าวคงงงเป็นไก่ตาแตกที่จู่ๆ เราก็ทำเหมือนสั่งเสียก่อนตาย แต่ก็ช่างเขาเถอะเราถือว่าได้ทำสิ่งที่ใจสมควรจะกระทำก็แล้วกัน

ส่วนห้วงความคิดที่สี่ อันได้แก่ความรู้สึกที่เอาพระพุทธศาสนาเป็นสรณะ มันจะเกิดขึ้นได้ก็คงไม่ได้เกิดด้วยความเสแสร้งหรือตั้งใจนึกคิด รวมทั้งภาวะสะอาด สว่าง สงบ ภาวะนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยอาศัยการหมั่นฝึกฝน จนกระทั่งเป็นความเคยชินของจิตที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นไปเองเมื่อภาวะใกล้ตายเข้ามาถึง

นี่ขนาดเป็นห้องแล็บห้วงจิตแรกๆ เรายังรู้สึกกลัว ถ้าขณะตายจริงโดยเราไม่ได้ฝึกฝนไว้ก่อนความกลัวจะมีขนาดไหน

มันอาจจะครอบงำจิตให้เราตายตกไปสู่อบายภูมิได้ ดังมีสาธกไว้ในพระไตรปิฎกหลายต่อหลายกรณี การประกอบกรรมดีเป็นนิจศีลนั้นยังไม่พอ ต้องฝึกเตรียมตัวตายด้วย จะได้เกิดความชำนาญเหมือนลูกเสือหัดเดินป่า พอเจอความตายเข้าจริงๆ จะได้อาศัยความชำนาญผ่านจากความกลัวไร้ที่พึ่ง เป็นความที่มีพระพุทธศาสนาเป็นสรณะแล้วเกิดจิตที่สะอาด สว่าง สงบขึ้นในบัดดล 
หลังจากผ่านแล็บแห่งความตาย ผู้จัดถามว่าขณะนี้กลัวตายกี่คะแนน คนส่วนใหญ่บอกว่าเหลือน้อยมาก 0-10 คะแนนกระมัง เรียกว่าพร้อมรับกับความตายกันถ้วนหน้า รวมทั้งตัวผมเองด้วย

นี่เป็นวิธีใคร่ครวญความตายวิธีหนึ่งครับ 



.