http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-08-22

THE BOURNE LEGACY โดย นพมาส แววหงส์

.

THE BOURNE LEGACY “มรดกตกทอดจาก เจสัน บอร์น”
โดย นพมาส แววหงส์  คอลัมน์ ภาพยนตร์
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1670 หน้า 87


กำกับการแสดง Tony Gilroy
นำแสดง Jeremy Renner
Rachel Weisz 
Edward Norton
Joan Allen
Albert Finney
David Strathairn
Scott Glenn



ความสำเร็จขั้นมโหฬารของไตรภาคชุด เจสัน บอร์น จากนวนิยายของ โรเบิร์ต ลัดลัม-The Bourne Identity, The Bourn Ultimatum และ The Bourne Supremacy ทำให้ทีมผู้สร้างไม่อาจละเลยโอกาสที่จะเก็บเกี่ยวกวาดเงินต่อเนื่องไปอีก 
แม้ทีมสร้างในภาคสี่จะขาดทีมงานคนสำคัญอย่างผู้กำกับฯ พอล กรีนกราส กับพระเอกคนเก่ง แมตต์ เดมอน โดยยืดเรื่องราวการผจญภัยของ เจสัน บอร์น ต่อไปอีก แต่หนังก็ยังมีคนเขียนบท โทนี กิลรอย ที่เขียนบทให้แก่หนังชุดบอร์นมาตั้งแต่ต้น กลับมารับหน้าที่คนเขียนบท แถมยังเป็นผู้กำกับฯ ด้วยอีกตำแหน่ง 
และมีพระเอกคนใหม่คือ เจเรมี เรนเนอร์ (จาก The Hurt Locker) กับ เรเชล ไวซ์ มาเป็นตัวชูโรงแทน แมตต์ เดมอน ที่เมินหน้าหนีค่าตัวก้อนโต ปฏิเสธการกลับมารับบท เจสัน บอร์น อีกครั้ง ด้วยเหตุผลว่าเขาพอแล้วสำหรับบทนี้


The Bourne Legacy จึงเป็นมรดกตกทอดจากหนังชุด เจสัน บอร์น ไม่ใช่หนังที่มี เจสัน บอร์น เป็นพระเอกอีกแล้ว แม้จะมีเรื่องราวโยงใยกันอยู่ โดยจับเรื่องจากตอนจบของไตรภาค ที่ เจสัน บอร์น ได้ค้นพบว่าตัวเองเป็นใครในที่สุด 
หลังจากสูญเสียความจำไปจากอาการกระทบกระเทือนทางสมอง และฟื้นขึ้นมาพบตัวเองได้รับการช่วยเหลือให้รอดจากการจมน้ำตายในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เจสัน บอร์น ซึ่งมีทักษะสูงมากในการเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขัน หนีหัวซุกหัวซุนจากการตามฆ่าอย่างถึงพริกถึงขิง โดยไม่รู้ที่มาที่ไป 
เรื่องราวในไตรภาคจบลงด้วยการที่ เจสัน บอร์น ได้ค้นพบตัวตนและเปิดโปงโครงการลับสุดยอดของซีไอเอที่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงเกี่ยวข้องกับการสร้างจารชนมือสังหารระดับมหากาฬ

หนังภาคที่สี่นี้จับจุดเริ่มต้น ณ จุดลงเอยของไตรภาค โดยบุคคลระดับสูงบอกว่า เจสัน บอร์น เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง (หมายความว่าเป็นสิ่งคุกคามเพียงเล็กน้อย แต่อันตรายจริงๆ ยังซ่อนอยู่ใต้น้ำ ถ้าชนเข้ากับอะไร ก็จะพาให้พังพินาศกันไปเป็นแถวๆ ดูอย่างเรือไททานิกปะไร...)
ด้วยความกลัวว่าโครงการเทรดสโตนและแบล็กไบรอาร์ที่ถูกเปิดโปงจะถูกนำมาโยงเข้ากับโครงการลับสุดยอดอีกโครงการหนึ่ง คือ "เอาต์คัม" ที่ใช้การทดลองทางวิทยาศาสตร์ผลิตยาเพื่อเพิ่มพูนสมรรถภาพทางกายและทางสมองแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานลับอยู่ทั่วโลก เอริก ไบเออร์ (เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน) จึงสั่ง "ยุติ" โครงการเอาต์คัมเสีย มิไยเพื่อนร่วมงานจะคัดค้านคอเป็นเอ็นว่านี่หมายถึงการสูญเปล่าและสูญเสียทรัพยากรมหาศาล
การ "ยุติ" โครงการลับที่ไม่ต้องการให้มีใครเอาเรื่องไปแพร่งพรายที่ไหนเลย หมายถึงว่าเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ในโครงการ รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นมันสมองชั้นเลิศต้องถูก "ปิดปาก" ไม่ให้เหลือหรอ 

นี่เป็นความอำมหิตชั่วร้ายระดับมหากาฬขององค์กรที่ทำงานแบบที่ไม่อยากให้โลกล่วงรู้อย่าง ซีไอเอ
เรื่องแบบนี้จะเป็นจริงแค่ไหนอย่างไรก็เกินความสามารถของคนเดินถนนอย่างเราๆ จะรู้ได้



สําหรับเรื่องราวในหนัง แอรอน ครอสส์ (เจเรมี เรนเนอร์) เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการมือดีที่อยู่ในโครงการทดลอง "ยาเพิ่มสมรรถภาพ" สองชนิด ยาเม็ดสีฟ้าจะเพิ่มสติปัญญา ส่วนยาเม็ดสีเขียวจะเพิ่มพละกำลังทางร่างกาย 
เริ่มต้นเรื่องเป็นภาพที่โยงเข้ากับต้นตอของไตรภาคชุด เจสัน บอร์น ที่เป็นร่างแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่ใต้น้ำ ก่อนที่จะขยับตัวและโผล่พ้นน้ำขึ้นมา แอรอนกำลังอยู่ระหว่างการฝึกความแข็งแกร่งและสติปัญญา ปีนขุนเขาสูงชันและหนาวเหน็บไปถึงสถานีปฏิบัติการในอลาสก้า 
ผู้อยู่ในโครงการเอาต์คัมถูกกำจัดร่วงผล็อยไปทีละคนๆ ในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก
แอรอนเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน ดีแต่ใช้สติปัญญาอันแหลมคมจากการเพิ่มพูนสมรรถนะด้วยยา หลอกล่อคอมพิวเตอร์ว่ากำจัดเป้าหมายสำเร็จแล้ว

ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลองยาเม็ดสีฟ้ากับสีเขียวนี้ ก็โดนหางเลขเข้าอย่างจัง (ที่จริงต้องบอกว่าโดนรางวัลที่หนึ่งเลย เพราะเจอเข้าอย่างจะจะ เหมือนเหตุการณ์กราดยิงในโรงหนังที่โคโลราโดเลย) 
นักวิทยาศาสตร์ทุกคนถูกกำจัดเรียบ เหลืออยู่แต่ ดร.มาร์ธา เชียริง (เรเชล ไวซ์) ซึ่งแทบประสาทเสียไปเลย 
มาร์ธาจะถูกตามกำจัดแบบถอนรากถอนโคนอีกที กว่าเธอจะมาเข้าทีมกับแอรอน ที่มาตามหาเธอเพื่อขอยาจากเธออีก 

เรื่องราวพาเราไปถึงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และมีโฉบมาที่กรุงเทพฯ นิดหน่อยเนื่องจากเป็นแหล่งที่อยู่ของมือสังหารในโครงการคนหนึ่ง
ยังมีหน้าเก่าๆ โผล่มาให้เห็นความต่อเนื่องของหนังภาคนี้กับไตรภาค อย่างเช่น โจน แอลเลน อัลเบิร์ต ฟินนีย์ และ เดวิด สแตตแฮร์น แต่บท "ผู้ร้าย" ตัวหลักอยู่ที่ เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ซึ่งสั่งการไล่ล่าแบบจี้ตามหลังติดๆ


หนังสนุกนะคะ แม้ว่าแฟน เจสัน บอร์น อาจจะผิดหวังที่ไม่ได้เห็นหน้า แมตต์ เดมอน และโทนของหนังจะไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้วจากการเปลี่ยนหัวเรือมาอยู่ในมือของ โทนี กิลรอย 
ช่วงแรกของหนังออกจะช้าสักหน่อย กว่าจะเกิดอะไรเปรี้ยงปร้างขึ้นก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว 
และความตื่นเต้นระทึกใจไล่ล่ามาอัดแน่นอยู่ในช่วงท้ายๆ

ดูเหมือนว่าตอนจบจะยังเปิดโอกาสให้สร้างต่อถึงภาคห้าได้อีกนะคะ



.