http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-08-26

สุวพงศ์: อยาก“รู้แล้ว”บ้าง, ไม่เอียง, สีไหนๆก็“สุข”ได้

.

อยาก“รู้แล้ว”บ้าง
โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร  คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12
ในมติชน ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 20:01:06 น.


เพราะ "สไนเปอร์" โดยแท้ 
ทำให้คลิปที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด เคยลงลึกถึงขนาดอธิบายคำสนทนาของทหาร 2 นาย ที่กำลัง "ปฏิบัติการ" อะไรบางอย่าง
ในห้วงม็อบคนเสื้อแดง "ร้อน" ขึ้นมาอีก

ล้มแล้ว!!
...รู้แล้ว!!
คือเสียงที่ดังในคลิป


ล้มแล้ว คงหมายถึง "เป้าหมาย" ที่หนึ่งในทหารนั้นลั่นกระสุนจากปืนที่ติดลำกล้องเข้าใส่ จากนั้นทหารอีกคนที่ชี้เป้า รายงานผล
รู้แล้ว เป็นเสียงจากผู้ลั่นไก พร้อมกับมี "ของแถม" ออกไปอีกหนึ่งนัด 
จนทหารอีกคนบอกว่า "อย่าซ้ำ"

คลิปนี้แม้จะสั้น แต่ก็สามารถให้ "ข้อเท็จจริง" อะไรได้มาก 
อย่างในเบื้องต้น พ.อ.สรรเสริญเคยอธิบายไว้ว่า นี่เป็นปฏิบัติการของพลแม่นปืนระวังป้องกัน ที่ใช้ปืนเอ็ม 16 ติดกล้อง ไม่ใช่สไนเปอร์ 
ส่วนที่ต้อง "ล้ม" ก็เพราะเป้าหมายเตรียมใช้ระเบิดขว้างใส่เจ้าหน้าที่ 
และเหตุที่ "รู้แล้ว" (ว่าล้ม) แต่ยิงซ้ำเข้าไป ก็เพราะเป้าหมายเตรียมที่จะขว้างระเบิดอีกรอบ 
จากคำอธิบาย แสดงว่า พ.อ.สรรเสริญและทหารมีข้อมูล-ข้อเท็จจริง ค่อนข้างละเอียดในมือ 
และนั่นอาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขประตูไปสู่ห้องแห่งความจริงได้

จึงน่ายินดีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่แม้จะหงุดหงิดกับคำว่า สไนเปอร์ ยินดีที่จะให้ทหารซึ่งปัจจุบันเป็นทหารนอกราชการแล้ว ไปให้ปากคำกับดีเอสไอ 
ซึ่งคงได้ "ข้อเท็จจริง" จากผู้ปฏิบัติมากขึ้น 
ขณะเดียวกัน ดีเอสไอก็คงมีหน้าที่ตามหา "เป้าหมาย" ที่ "ล้มแล้ว" ว่ามี "ระเบิด" ในมือหรือไม่ และมีเป้าหมายจะคุกคาม 
เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานหรือไม่

เมื่อข้อเท็จจริงทั้งสองฝ่ายมา "ยันกัน" มาชั่งน้ำหนักว่า เกินกว่าเหตุ หรือเหมาะสมกับสถานการณ์ 
ก็คงทำให้คนในสังคม ได้มีโอกาสพูดคำว่า "รู้แล้ว" บ้าง 
และเมื่อ "รู้แล้ว" หลายๆ "รู้แล้ว" เข้า ความจริงก็จะกระจ่างแจ้งขึ้น


เชื่อว่านี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องการ 
เมื่อต้องการ ก็ควรเดินไปตามแนวทางที่เอาข้อมูลมาแบต่อหน้ากันให้มากสุด 
ในเบื้องต้น เราอาจจะเห็นความไม่เข้าใจ หรือตั้งแง่ ตั้งข้อสงสัยต่อกันบ้าง 
แต่ก็น่ายินดี พอผ่านก็เริ่มการเห็นคลี่คลายของความรู้สึก

พล.อ.ประยุทธ์ก็พร้อมอำนวยความสะดวกให้สอบทหาร 
คนรับผิดชอบในดีเอสไอ ก็ออกมาขอโทษที่ให้สัมภาษณ์อะไรล้ำหน้าไป 
ที่สำคัญมียืนยันว่า การสอบสวนไม่มีการตั้งธง มีเพียงความต้องการรวบรวมพยานหลักฐานตามกฎหมายให้มากที่สุด ต่อจิ๊กซอว์ให้เห็นภาพใหญ่ (คำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีสลายม็อบ 98 ศพ บาดเจ็บ 2,000 ราย) 
ขณะที่ในฟากการเมือง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง คล้ายให้คำมั่นแก่ทหารเพื่อความสบายใจว่า จากเหตุการณ์ทั้งหมด ข้าราชการทุกภาคส่วน รวมถึงทหาร ตำรวจ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ จะได้รับการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 และมาตรา 70 
ส่วนผู้ต้องรับผิดชอบคือผู้สั่งการเท่านั้น


ที่ผ่านมา เราเห็น "นักการเมือง" ซึ่งเป็นผู้สั่งการออกมาท้าทายให้เอาข้อเท็จจริงมา "มัดกัน" โดยแต่ละฝ่ายไม่ควรจะนิรโทษกรรม 
"ผู้ปฏิบัติงาน" ก็สนองหน่อยเป็นไร 
เราอยากตะโกนให้เต็มเสียง "รู้แล้ว!!" บ้าง



++

ไม่เอียง
โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร  คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12
ในมติชน ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 11:30:36 น. 


กรณี "แก้ว พงษ์ประยูร"
"กรรมการ" ทำให้คนไทยรู้สึก "เจ็บ" โดยถ้วนหน้า 
เจ็บแล้วจะมีท่าทีอย่างไร 
น่าถกแถลง
เพราะจะโกรธแค้นชิงชัง ทั้ง "กรรมการ" ทั้ง "ไอบ้า"

ทั้ง"ซู ชิ หมิง" คงไม่มีประโยชน์



ว่าที่จริง ก่อนกรณี "แก้ว พงษ์ประยูร" คนไทยจำนวนไม่น้อยได้ส่งเสียงบอกให้สังคมไทยได้ยินว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จาก "กรรมการ" หรือคนกลาง ซึ่งเป็นผู้ชี้ขาดในเรื่องสำคัญๆ ของบ้านเมือง 
คงไม่ต้องไปขานชื่อว่าเป็น "กรรมการ" หรือ "คนกลาง" ไหน 
เพียงแต่อยากย้ำว่า "วิกฤตของชาติ" น่าจะยุติหรือคลี่คลายได้มากกว่านี้ 
หาก "กรรมการ" หรือ "คนกลาง" ได้แสดงให้เห็นความเที่ยงตรง เป็นธรรมมากกว่าที่เห็น


นี่เป็นปัญหาที่เราคงต้องร่วมแก้ปัญหาอย่างจริงจังต่อไป 
ทั้งแนวคิด โครงสร้าง และตัวบุคคล 
โดยพยายามดึงให้กลับมาอยู่ใน "หลักการ" ของความเที่ยงตรง 
เป็นธรรมมากสุด



ยกตัวอย่างกรณี "กีฬามวย"
การแก้ปัญหาระยะยาว และยั่งยืน ที่จะไม่ให้ "ถูกโกง" ก็คือ การต้องทุ่มเทพัฒนา ให้นักกีฬาของเรามีศักยภาพสูงขึ้นเหนือคู่แข่ง 
"ความเก่ง" "ความพร้อม" ทั้งตัวนักกีฬา โค้ช สมาคมกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย ฯลฯ คือ สิ่งที่ป้องกันการโกงดีที่สุด 

แต่ขณะนี้เราได้ยินกันบ่อย ก็เช่นบอกว่ากรณี "แก้ว พงษ์ประยูร" หากเราสนิทสนมกับไอบ้าหรือกรรมการมากกว่านี้ รับรอง "เราชนะแน่"
ความหมายแห่งน้ำเสียงนี้ เป็นอื่นใดไม่ได้นอกจากไปทำให้ "กรรมการ" เอียงมาหาเรา 
ถูกต้องหรือไม่ คือคำถาม
เมื่อ "กรรมการ" เอียง ไม่ว่าจะเอียงมายังเรา หรือเขาเสียแล้ว 
ความยุติธรรม เที่ยงตรง ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้


นี่เป็นสิ่งที่เราควรคิดและไตร่ตรองให้ดี


เราเจ็บปวดกับความไม่เป็นกลางของกรรมการแล้ว 
ก็ไม่ควรไปทำให้คนอื่นเจ็บปวดเพราะความไม่เป็นกลางนั้นเช่นกัน

อีกสักตัวอย่างก็ได้ 
ตอนนี้เราได้ประธานวุฒิสภาคนใหม่มาจากสาย "เลือกตั้ง" ซึ่งน่าสนใจ 
น่าสนใจว่าตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง จะทำหน้าที่ได้ดีกว่าตัวแทนที่มาจากการ "สรรหา" หรือไม่ 
สำหรับฝ่ายที่เชื่อและพยายามต่อสู้ให้เห็นว่า "กระบวนการเลือกตั้ง" น่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเท่าที่มี ก็ควรทำทุกอย่างเพื่อเรียกร้อง กดดัน
บีบคั้น ให้ประธานวุฒิสภาที่มาจาก "การเลือกตั้ง" ต้องแสดงความเป็นประชาธิปไตย ที่เปิดกว้าง เที่ยงตรง เป็นธรรม 
ไม่อยู่ภายใต้การชี้นำของใคร
เพื่อที่จะเป็นเหตุผลสำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว.ต่อไป


อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่ประธานวุฒิสภาจะขึ้นบัลลังก์ทำหน้าที่เลย 
มีความเชื่อและคาดหวังกันเสียแล้วว่า ประธานวุฒิสภาคนใหม่คงจะมาช่วย "เช็กบิล" บางฝ่าย เช่นกรณีนักการเมืองสำคัญบางคนที่จะต้องถูกถอดถอน 
ไม่ว่าจะรักหรือชังนักการเมืองคนนั้น 
แต่ความคาดหวังและเชื่อเช่นนั้น มองเป็นอื่นใดไม่ได้ นอกจากการทำให้ประธานวุฒิสภาเอียงกันตั้งแต่แรก 
ซึ่งไม่น่าถูกต้อง

ประธานวุฒิสภาคนใหม่ควรจะถูกคาดหวังว่าจะอำนวยการให้กระบวน 
การถอดถอน เที่ยงตรง เป็นธรรมมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 
เพื่อจะทำให้กระบวนการถอดถอนขาวสะอาด เป็นที่ยอมรับ 
ไม่ควรจะมีกำลังภายนอกหรือภายในมาแทรกแซง

เราเจ็บช้ำกับการเอียงของ "กรรมการ" มามากแล้ว
อย่าไปเพิ่ม "ความเอียง" อีกเลย



++

สีไหนๆก็ “สุข” ได้
โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร  คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 
ในมติชน ออนไลน์  วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 16:50:38 น.


ต้องขอบคุณ "ฮีโร่" โอลิมปิก ที่ทำให้ได้สุขใจกับเหรียญรางวัลที่ได้รับ
ไม่ว่าจะออกมาเป็นหนึ่งทอง หนึ่งเงิน หนึ่งทองแดง หรือสองเงิน หนึ่งทองแดงก็ตาม 
แต่ก็อย่างที่เห็นว่าได้มาไม่ง่าย
ต้องอาศัยองค์ประกอบมากมาย จะพึ่งลำพังนักกีฬาอย่างเดียวไม่ได้  

เราเห็นนักวิ่งระยะกลาง ระยะไกล จากเคนยา คว้าเหรียญโอลิมปิก ไปหลายเหรียญ 
ไม่ใช่เพราะ "ความอึด" ของคนถิ่นทุรกันดาร ที่ธรรมชาติต้องมอบสรีระแข็งแกร่งให้เพื่อความอยู่รอด เลย "วิ่งทน" เก่ง เพียงสาเหตุเดียวแน่นอน
อ่านสกู๊ปในหน้ากีฬา "มติชน" ได้ข้อมูลว่า ที่เคนยามีโรงเรียนที่เป็นแหล่งบ่มเพาะสุดยอดนักวิ่งระยะกลางของโลกโดยเฉพาะ 
มีนักวิ่งระดับโลกเกิดขึ้นที่นั่นมากมาย ขณะเดียวกันก็ระดมโค้ชมีระดับเข้ามาฝึกสอน 
ไม่มีหรอกที่จับคนตัวดำๆ บึกๆ มาใส่รองเท้าแล้วให้วิ่ง ด้วยหวังว่า "ความอึด" จะทำให้ชนะ 
มันต้องมีการสร้าง มีการบริหารจัดการอย่างดี แล้วใช้พื้นฐานความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นแรงส่ง 
นักวิ่งเคนยาจึงก้าวขึ้นมาอยู่ในแนวหน้ากรีฑาระดับโลก


นี่เป็นคำตอบง่ายๆ ว่าทำอย่างไรไทยจึงจะก้าวพ้น จุดที่มานั่งดีใจกับเหรียญทองแดง เหรีญเงิน หรือเหรียญทองทีละเหรียญสองเหรียญ เสียที
ถ้าเป็นอยู่อย่างนี้ อย่าไปหวัง 
ว่าที่จริง โอลิมปิกคราวนี้เรามีนักกีฬาอนาคตไกลให้เห็นหลายคน ทั้งแบดมินตัน ยกน้ำหนัก เทควันโด ยิงปืน 
รวมถึงที่พลาดไม่ได้ไปโอลิมปิกคราวนี้ คือวอลเลย์บอลหญิง 
ถ้าหากส่งเสริมดีๆ มีโอกาสแน่นอน 
และการส่งเสริมนั้นย่อมไม่ใช่เงิน "อัดฉีด" มากมายมหาศาล เพราะนั่นคือสุดปลายน้ำแล้ว
เราต้องจริงจังกับ "ต้นน้ำ" กันเสียที


เห็นนายกนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) บอกว่า กำลังมีข่าวดี 
คณะรัฐมนตรีได้ไฟเขียวหลักการร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฉบับใหม่แล้ว 
โดยให้นำเงินจากภาษีนำเข้า สุรา เบียร์ บุหรี่ จำนวน 2 เปอร์เซ็นต์ต่อปี มาใช้พัฒนากีฬา 
หากเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร คาดว่าภายใน 6 เดือน จะเห็นเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น 
นายกนกพันธุ์บอกว่า หากทุกอย่างลงตัว กกท.จะได้รับเงินภาษีบาป หรือซินแท็กซ์ 2 เปอร์เซ็นต์ทุกๆ ปี ซึ่งก็อย่างน้อยประมาณ 3,000 ล้านบาท
จะนำเงินนี้ไปต่อยอดพัฒนานักกีฬาสปอร์ตฮีโร่ 
ผลักดันศูนย์ฝึกกีฬา กกท.หัวหมาก ให้เป็นศูนย์นักกีฬาทีมชาติอย่างเต็มตัว เพื่อเตรียมตัวสู้โอลิมปิกเกมส์ 4 ปีข้างหน้า ที่บราซิล
รวมทั้งจะพัฒนาผู้ฝึกสอน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็น 
"ลอนดอนเกมส์ที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกสอนไทยยังขาดความเป็นมืออาชีพ ขาดเทคนิค จะมีผลงานระดับโลกก็เพียง เช ยอง ซอก โค้ชเทควันโดเท่านั้น" นั่นคือสิ่งที่ผู้ว่าการ กกท.บอก  


เห็นอย่างนี้แล้วค่อยมีความหวังกับกีฬาของไทยขึ้นมาอีกหน่อย
รัฐบาล สภา กกท. ควรจะผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเต็มที่ 
ทำได้ เชื่อว่าจะเป็น "ผลงาน" ที่ทุกคนชื่นชม 

และที่สำคัญ ในภาวะที่ทุกคนจิตตกกับปัญหาบ้านเมือง ที่หาทางออกกันไม่ได้เสียที  
การได้เชียร์นักกีฬา ได้ฟังเสียง "เพลงชาติ" ได้เห็นนักกีฬาชูเหรียญ ทำให้ความสุขกระจายออกไปทุกหย่อมหญ้าจริงๆ 
ไม่ว่าจะสีไหน มีความสุขกับ "ฮีโร่" นักกีฬาได้ทั้งสิ้น
นี่คือ "ความเสมอภาค" ที่สร้างขึ้นได้ไม่ยาก



.