http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-08-10

วัดกึ๋น..ชู “นางเอกปู”, ลึกแต่ไม่ลับ 10ส.ค.55

.
คอลัมน์ ในประเทศ - สิบตรี "โอ๊ค" จัดหนัก "หนีทหาร" ร.ต. "มาร์ค" ประกาศฟ้องแน่ สมรภูมิ "ดิสเครดิต" เดือดระอุ 
รายงานพิเศษ - โผทหารกลางไฟใต้ "บิ๊กตู่" แข็ง แรง ร้อน จับทาง "บิ๊กเจี๊ยบ" สร้างระบบ "โชว์วิชั่น" กับหมากเกมของ "ฉลามหรุ่น"
คอลัมน์ โล่เงิน - ลิสต์การบ้าน "ว่าที่ ผบ.ตร." จัดทัพ "นายพลเล็ก-ดับไฟใต้" ปรับองค์กรตำรวจสู่ "เออีซี"


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

วัดกึ๋น “ศึกซักฟอก” ปชป.อุบไต๋ “หมัดน็อก” พท.ชู “นางเอกปู”
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1669 หน้า 13


เปิดสมัยประชุมรัฐสภามาไม่ทันไร "ฝ่ายค้าน" เบอร์หนึ่ง อย่างพรรค "ประชาธิปัตย์" (ปชป.) ไม่รี่รอให้เสียเวลา เตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจการบริหารงานของ "รัฐบาล" ภายใต้การนำของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ทันที 

โดยเบื้องต้นโพกัสไปที่ 5 ประเด็นหลัก ตามคำแถลงของ "ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต" โฆษก ปชป. ดังนี้  
1. โครงการรับจำนำข้าว 
2. ความไม่สงบในสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ 
3. ราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะราคายางพาราตกต่ำ 
4. การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ล้มเหลว และการใช้งบประมาณที่อาจเอื้อต่อการทุจริต 
5. รัฐบาลเปิดโอกาสให้ประเทศกัมพูชาได้รับสิทธิในการจัดประชุมมรดกโลกแต่เพียงผู้เดียว

แต่จังหวะ "ปาก" เร็วกว่า "ใจ" ของ "ชวนนท์" ทำ ปชป. เสียหลัก-เสียเหลี่ยม เล็กน้อย เพราะเงื่อนไขด้าน "เวลา" ไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากรัฐสภามีกฎหมายสำคัญให้พิจารณาหลายเรื่อง และได้ล็อกวันเวลาไว้แล้ว โดยเฉพาะ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 
ที่สำคัญ การออกมา "โหมโรง" เร็วเกินไป รังจะทำให้ "ไก่ตื่น" แต่หัววัน 
ซึ่ง ปชป. มีบทเรียนมาแล้วจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ การบริหารจัดการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมของรัฐบาล ครั้งนั้น ปชป. เน้น "ศึกนอกสภา" ด้วยการ "โหมกระแส" ผ่านสื่อก่อนจะมีการอภิปรายอย่างหนัก  
โดยโชว์หลักฐานที่มีอยู่ในมือเกือบหมด เช่น ข้อมูลการจ้างบริษัทจัดซื้อถุงยังชีพ ปัญหาการแจกจ่ายสิ่งของบริจาคของ "ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย" (ศปภ.) เป็นต้น 
จุดนี้ทำให้ "รัฐบาล" เตรียมการรับมือและหาข้อมูล เพื่อใช้ตอบโต้ "ศึกในสภา" ได้ไม่ยาก ซึ่งเป็นการตอบโต้ที่มีน้ำหนักสร้างความน่าเชื่อถือได้เสียด้วย

สุดท้าย ประเด็นทุจริตถุงยังชีพก็หายไปกับสายลม ปชป. ใช้เวลาน้อยมากในการอภิปรายประเด็นดังกล่าว ที่สำคัญไม่มีข้อมูลใหม่มาเปิดเผยในสภาอย่างที่ "คุย" เอาไว้ 
ความเพลี่ยงพล้ำที่เกิดขึ้น สร้างความผิดหวังให้ "แฟนคลับ" ส่งผลให้ ปชป. เสียราคา "ฝ่ายค้าน" เบอร์หนึ่งไปพอสมควร


"ศึกซักฟอก" ที่จะถึงในอีกไม่กี่วันนี้ ปชป. จึงต้องละเอียดทุกเม็ด จัดระบบทุกอย่างให้เนี้ยบที่สุด เพื่อกู้ศรัทธาคืนมา 
ทำให้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรค ปชป. จึงต้องออกมาเบรกลูกพรรคด้วยตัวเองว่า ต้องรอให้รัฐบาลชี้แจงทั้งร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ และการแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี เสร็จเรียบร้อยก่อน 

ต่อด้วย "ชวน หลีกภัย" ประธานที่ปรึกษาพรรค ปชป. ลุกขึ้นตำหนิสมาชิกพรรคกลางที่ประชุม ว่า ไม่ควรไปบอกโจทย์ว่าจะอภิปรายเรื่องอะไรบ้าง โดยเฉพาะการระบุว่าจะอภิปรายรัฐบาลใน 5 ประเด็น แต่ขอให้รวบรวมข้อมูลหลักฐานให้ชัดเจน เมื่อเปิดมาแล้วรัฐบาลต้องตอบไม่ได้
"นายหัวชวน" เป็นห่วง "ส.ส.ปชป." ที่อาจจะมีข้อมูลหลักฐานไม่ชัดเจน จึงหยิบยกผลงาน "ชิ้นโบแดง" สมัยอภิปรายไม่ไว้วางใจ "ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ จนทำให้ "ร.ต.อ.ปุระชัย" ตอบคำถามไม่ได้ จนต้องถูกปรับออกจากตำแหน่ง มาเป็นกรณีศึกษาเทียบเคียงให้ "ส.ส.ปชป." เอาแบบอย่าง

ดังนั้น หลังจากนี้แผนการ-ข้อมูล-ประเด็น ของ ปชป. ที่จะใช้ต่อกรกับรัฐบาล จึงถูกเก็บลับใน "ตู้เซฟห้องเย็น" รอจังหวะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ถึงจะดึงออกมาใช้   
โดยเฉพาะ "หมัดน็อก" อย่างโครงการรับจำนำข้าว "แกนนำ ปชป." กำชับอย่างหนักแน่น ว่าจะให้ข้อมูลเชิงลึกที่ใช้เวลาเก็บรวบรวมมายาวนาน หลุดออกไปไม่ได้เด็ดขาด



ขณะที่เกมในสภา ปชป. พุ่งเป้าไปที่ตัว "ยิ่งลักษณ์" เดินหน้าเล่นเกมดิสเครดิต เพราะประเมินแล้วหากเน้นหนักไปที่ "รัฐมนตรี" ก็จะไม่ส่งผลกระทบกระเทือนต่อรัฐบาล 
เพราะคาดการณ์กันว่าหลังเสร็จสิ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีการปรับ ครม. เกิดขึ้น เพื่อนำ "อดีตคนบ้านเลขที่ 111" เข้ามาช่วยงาน อภิปรายบรรดา "รัฐมนตรี" ก็เหมือนเสียเวลาเปล่า 
ดังนั้น ศึกครั้งนี้ "ยิ่งลักษณ์" จะโดน ปชป. จัดหนัก-จัดเต็ม อย่างแน่นอน 
ซึ่ง "แกนนำ ปชป." จะวางตัว ส.ส. ที่จะช่วยกัน "ชำแหละแผล" ของรัฐบาล ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม เพื่อให้ ส.ส. ได้ซักซ้อมและเตรียมข้อมูลให้รอบด้าน 
เมื่อทุกอย่างพร้อมถึงขีดสุด ก็จะเคาะวันเวลา ที่จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ "ครม.ยิ่งลักษณ์"


ทางฝั่งเพื่อไทย (พท.) ถึงแม้ ปชป. ยังไม่ยื่นญัตติ แต่หลังจากที่ ปชป. แพลม 5 ประเด็นออกมา ก็พอเดาทางออก ซึ่งพร้อมที่จะตั้งทีมเตรียมข้อมูลให้พร้อมที่สุดเช่นกัน  
โดยเนื้อหาในแต่ละประเด็น มี "รัฐมนตรี" รับผิดชอบอยู่แล้ว 
แต่เมื่อ ปชป. จี้ให้ "ยิ่งลักษณ์" ตอบ  พท.ก็ย้อนศรมอบบทบาท "นางเอก" ให้ "ยิ่งลักษณ์" โชว์ฝีปากได้เต็มที่ หนำซ้ำยังเป็นการ "รีแบรนด์" สร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนให้เพิ่มมากขึ้น 
ซึ่ง "แกนนำ พท." ประเมินแล้วว่า "ยิ่งลักษณ์" พร้อมที่จะตอบทุกคำถามและน่าจะตอบได้เกือบทั้งหมด เพราะเป็นคนคิดนโยบายเอง ที่สำคัญมั่นใจในประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 1 ปี จะทำให้ยิ่งลักษณ์คิดเร็วขึ้น และแข็งแกร่งขึ้น

อธิบาย-ชี้แจง นโยบายในภาพรวมไม่น่าจะมีปัญหา 
แต่หากนโยบายไหนลงลึกในรายละเอียดจริงๆ อาจจะต้องมอบหมายให้ "รัฐมนตรี" ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ชี้แจง ซึ่งทางแกนนำ พท. กำชับ "รัฐมนตรี" ไปแล้ว ให้ทำการบ้านแต่เนิ่นๆ และไม่ควรทำให้รัฐบาลเสียท่า "ฝ่ายค้าน" โดยเด็ดขาด เพราะจะส่งผลกระทบต่อเรื่องอื่นที่จะดำเนินการในโอกาสข้างหน้า 

นอกจากนี้ ใน พท. ยังวิเคราะห์กันว่า ปชป. คงหนีเรื่อง "นายใหญ่" ที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่พ้น ต้องมีจิก-กัด-เหน็บแนม-ซัดทอด อย่างแน่นอน จึงเตรียม "พลพรรค" พิทักษ์ "แม้ว" ไว้คอยตอบโต้ หาก ปชป. พาดพิง  
เพื่อไม่ให้ ปชป. ขุดคุ้ยเรื่องราวในวันวานมาพูดเทียบเคียงกระทบชิ่ง "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ให้เกิดความเสียหาย เพราะตรงนี้จะทำให้ประชาชนสับสนจนหลงกล ปชป. ได้ง่าย 
อีกทั้งหากมีการดิสเครดิต "นายใหญ่" และ "ยิ่งลักษณ์" มากเกินไป พท. จะตอบโต้ ปชป. กลับทันที โดยจะล็อกเป้าเล่นเกมดิสเครดิตเข้าใส่ "อภิสิทธิ์" ทันที โดยเน้นไปที่ประเด็นการรับราชการทหารและการสวมเสื้อสีแดง

และหากไม่จำเป็นจะไม่เปิดโอกาสให้ ปชป. ทำแต้มตีกินอยู่ฝ่ายเดียว 
ทั้งหมดคือส่วนหนึ่งของ "เกม" ที่ทั้ง "รัฐบาล" และ "ฝ่ายค้าน" จะต้องสู้กัน ซึ่งเดิมพันของ "รัฐบาล" อยู่ที่ "ราคา" จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง เดิมพัน "ฝ่ายค้าน" อยู่ที่ "ศรัทธา" จากประชาชน ที่ต้องการเห็นการตรวจสอบที่เข้มข้น

ดังนั้น "ศึกซักฟอก" เที่ยวนี้ จึงเสมือนการ "วัดกึ๋น" เฉือนคม ที่ต่างฝ่ายต่าง "แพ้" ในเกมที่ต้องสู้ไม่ได้โดยเด็ดขาด!!!



++

คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ โดย จรัญ พงษ์จีน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1669  หน้า 8


"ประชาธิปัตย์" ดึงจังหวะ ยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" หัสเดิม หลังสภาเปิดสมัยประชุมเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม แล้วคาดว่าจะยื่นซักฟอกในช่วงต้นเดือนกันยายน ก่อนถึงฤดูกาลโยกย้ายใหญ่ และก่อนงบประมาณรายจ่ายปี 2556 ประกาศใช้ 
มุ่งหมายเปิดฉากยำใหญ่ "นายกฯ ปู" คนเดียว โดยไม่แตะต้องรัฐมนตรีคนอื่นๆ 
เปิดอภิปราย ตามมาตรา 158 ที่กำหนดไว้ว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี 
ญัตติดังกล่าวต้องเสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปด้วย และเมื่อเสนอญัตติแล้ว จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมิได้ เว้นแต่การถอนญัตติหรือการลงมตินั้นไม่ได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง

"ประชาธิปัตย์" จัดลำดับ เรียบเรียงประเด็นที่จะทำการซักฟอกเอาไว้แล้ว 5 ปมใหญ่ และวางตัวบุคคล ทีมงานเพื่อระดม รวบรวมข้อมูลกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มอบหมายให้มวยใหญ่ รุ่นเก๋ากึ๊ก "บัญญัติ บรรทัดฐาน" เป็นกัปตัน "สาทิตย์ วงศ์หนองเตย" เป็นห้องเครื่องสำคัญ  
แต่ล่าสุด ศึกซักฟอกส่อเค้าว่าจะเลื่อนโปรแกรมออกไปซะแล้ว ตามคำบอกกล่าวของ "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" ที่ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่จำเป็นที่จะต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากสมัยประชุมสภายังมีเวลาถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน และยังมีเรื่องที่ต้องพิจารณาอีก 2 เรื่องคือ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 และวาระจัดทำงานรายงาน 1 ปีของรัฐบาล

สาเหตุที่ประชาธิปัตย์ ต้องขยับศึกซักฟอกออกไป น่าจะมาจากหลายเงื่อนไข ประการแรก ผลสำรวจจากโพลบางสำนัก เสียงของชาวบ้านส่วนใหญ่หรือส่วนมาก เห็นว่า ยังไม่ถึงเวลา "ฝ่ายค้าน" ควรเปิดโอกาสให้ "ยิ่งลักษณ์" บริหารประเทศไปก่อน กับประการที่สอง ยังคลำเป้าหมายใหญ่ไม่เจอ เนื่องจาก 1 ปีเต็มของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" สามารถปิดเกมประเด็นการทุจริตได้ค่อนข้างรัดกุม ดีทีเดียว 
ข้อครหา ในการคอร์รัปชั่นยังไม่เด่นชัด เมื่อเทียบกับรัฐบาล "ชุดก่อนๆ" แล้ว ถือว่า "น้อยมาก" และ "ใคร" ที่มีข่าวคราวกลิ่นไม่ดี มีการ "ปรับออก"  
แต่ยี่ห้อประชาธิปัตย์และยี่ห้อ "คนการเมือง" ก็ต้องมีช่อง และที่กำลังระดมพลรวบรวมข้อมูล เตรียมไว้เป็นไม้เด็ดของศึกซักฟอก กะ "โป้งปิดบัญชี" คือ การรับจำนำข้าวผิดพลาดของกระทรวงพาณิชย์



แม้ฝ่ายค้านหรือ "ประชาธิปัตย์" จะขู่คำราม เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เปิดบริสุทธิ์และขอเหมาเข่งคนเดียว โดยประเมินว่า เป็นมือใหม่ไม่สัดทันจัดเจน และชอบหนีหน้ากับเกมในสภามาตลอด การพูดจา วาทศิลป์ ก็บกพร่อง น่าจะถูกนวดอ่วม 
แต่ดูเหมือนว่า ศึกครั้งนี้ "นายกฯ ปู" กลับมั่นอกมั่นใจทำตัวเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ประกาศเสียงดังฟังชัดว่า พร้อมจะชี้แจงด้วยตัวเองไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องหรือถูกสอบถาม  
และยืนยันหนักแน่นว่า จะไม่ใช้ "ตัวช่วย" หรือองครักษ์พิทักษ์นายกฯ

กระนั้นก็ตาม ทีมยุทธศาสตร์เพื่อไทย ซึ่ง "ทักษิณ" ส่งมาวางแผนรับศึก ซึ่งมีแกนนำจากประชากรบ้านเลขที่ 111 เป็นมวยหลัก กำลังขะมักเขม้นทำแผนรับมือประชาธิปัตย์ทุกกระบวนท่า ตั้งทีมงานขึ้นมาชุดหนึ่ง ให้ "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ คุม เพื่อสรุปรวบรวมผลงาน 1 ปีของการบริหาร ว่ามีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน และอีก 1 ปีรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" มีผลงานอะไรต่อยอด 
พร้อมกับหยิบยกมาเทียบเคียงกับผลงาน 2 ปีที่รัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" แบบเม็ดต่อเม็ด ให้ชาวบ้านดูกันจะจะว่า ชุดไหนของใคร ดีกว่ากัน

ที่เตรียมหยิบมาเกทับบลัฟแหลก มีมากมายหลายเรื่อง อาทิ 1.การปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเอาจริงเอาจัง สามารถจับกุมรายเล็กรายใหญ่ได้ต่อเนื่อง 2.ค่าแรง 300 บาทต่อวัน 3.จบปริญญาตรีเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท 4.บัตรทองฉุกเฉินเข้ารักษาได้ทุกโรงพยาบาล 5.ประกันพืชผล 6.บัตรเครดิตชาวนา 7.เร่งรัดแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ด้วยงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาท 8.กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัดละ 100 ล้านบาท

ศึกซักฟอก "ยิ่งลักษณ์" ดังที่บอกว่า มีข่าวว่า "พี่ใหญ่ดูไบ" เป็นห่วงน้องสาว เกรงจะรับศึกหนักครั้งนี้ไม่ไหว สั่งระดมทีมงานช่วยเหลือเต็มสูบ โดยประเมินว่า หากสอบผ่าน "ยิ่งลักษณ์" จะยึดการเมืองได้ถาวร ครบ 4 ปี และมีโอกาสถึง 2 สมัย  
สำหรับเจ้าตัว ตอนนี้ หนทางกลับเมืองไทย ริบหรี่ ในช่วงปีสองปีนี้ หมดหวัง แต่สามารถสัญจรไพรได้ทั่วโลก โดยหลังจากบินมาฉลองวันคล้ายวันเกิดย่าง 64 ปี คึกคักไปทั้งเกาะฮ่องกงแล้ว เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม  
ปลีกวิเวกอยู่แถวๆ เอเชียเทียวไปเทียวมาหลายเมือง เช่น สิงคโปร์ จีน เขมร และล่าสุด 
"ทักษิณ" บินจากนครดูไบ ข้ามทวีป เข้าไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ถือเป็นการกลับไปเหยียบถิ่นเก่า คือ นครนิวยอร์ก เพื่อย้อนรำลึกอดีต เพราะวันที่ถูก "คมช." ภายใต้การนำทีมของ "พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" ยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 
"ทักษิณ" นำคณะรัฐมนตรีไปประชุมชุดใหญ่ เดินทางไปประชุมอยู่ที่ "นิวยอร์ก" 
จากนั้นก็กลายเป็นเสือลำบากมาตลอด และสหรัฐ ก็ไม่ยอมออกวีซ่าเข้าประเทศให้  
เกือบ 6 ปีแล้วที่ "ทักษิณ" ไม่ได้บินไปเมืองลุงแซม โดยบินเข้าไปตั้งแต่เช้าตรู่วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม และเดินสายทัวร์สหรัฐหลายรัฐ กะจะอยู่ยาวราวครึ่งเดือน เที่ยวให้คุ้ม



+++

สิบตรี "โอ๊ค" จัดหนัก "หนีทหาร" ร.ต. "มาร์ค" ประกาศฟ้องแน่ สมรภูมิ "ดิสเครดิต" เดือดระอุ
คอลัมน์ ในประเทศ  ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1669  หน้า 14


ในที่สุดสมรภูมิเดือดที่ สิบตรี "โอ๊ค" นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้พื้นที่บนโซเชียลมีเดีย "เฟซบุ๊ก" ถล่มปมคาใจเกี่ยวกับการไม่ต้องเกณฑ์ทหารของ ร.ต. "มาร์ค" นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำพรรคฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีแนวโน้มว่าจะย้ายแนวรบไปสู่เวทีต่อสู้ในศาลอีกด้วย  
โดยหลังจาก พานทองแท้ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของเขาเอง (Oak Panthongtae Shinawatra) เรื่อง "หนีทหาร เดอะซีรี่ส์" 3 ตอนรวด ตั้งข้อสงสัยในกระบวนการที่นายอภิสิทธิ์ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร ไม่ได้เรียน รด. เหมือนชายไทยทั่วๆ ไป ได้เพียง 1 วัน 
น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ก็ออกมาแถลงว่า ขณะนี้ทีมกฎหมายส่วนตัวของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป. และทีมกฎหมายของพรรค กำลังพิจารณาดำเนินคดีกับ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารของนายอภิสิทธิ์  
เป็นคดีในลักษณะเดียวกันกับที่นายอภิสิทธิ์ ฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มาแล้วนั่นเอง 
ดูเหมือนเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องดังกล่าวกำลังถูกขยายผล ส่งผลกระทบชิ่งต่อสถานการณ์ทางการเมืองสำหรับทั้งฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ และต่อพรรคเพื่อไทย ตลอดจนตัวนายพานทองแท้ และ พ.ต.ท.ทักษิณ เองด้วย


ปฏิเสธไม่ได้ว่า จุดเริ่มจากกรณีดังกล่าวเกิดจากกระแสความสนใจของคนทั่วไปและสื่อมวลชนต่อ "สถานะ" ของนายพานทองแท้ที่เขาใช้พื้นที่ของเฟซบุ๊ก สื่อสารกับกลุ่มแฟนคลับ และคนอีกกลุ่มใหญ่ที่ติดตามข้อมูลความเคลื่อนไหวของเขาและ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นบิดา 
นอกจากจะใช้เป็นเครื่องมือตอบโต้ประเด็นโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ หรือรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้เป็นสื่อกลางจัดกิจกรรมพาผู้โชคดีบินลัดฟ้าไปพบปะกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ฮ่องกงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาแล้ว 
ยังกลายเป็นพื้นที่เปิดประเด็นเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารของนายอภิสิทธิ์ อย่างแหลมคม ด้วยภาษา ท่าที และข้อมูลที่พานทองแท้ เลือกนำมาเปิดเผย

"แฟนเพจ หลายท่านคอมเมนต์มา อยากให้ผมเขียนเรื่อง "หนีทหาร" ครับ"!!!  
และทิ้งปมด้วยคำคมกระตุ้นให้แฟนคลับ แฟนเพจ สนใจอยากติดตามมากยิ่งขึ้นด้วยข้อความในลักษณะนี้ 
บอกโชคดีที่พ่อ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) สอนตั้งแต่เล็กจนโต ว่า ลูกผู้ชายไทยทุกคน โตขึ้นจะต้องรับใช้ชาติด้วยการเกณฑ์ทหาร หรือไม่ก็ต้องเรียน รด. ไม่ได้คิดที่จะใช้อภิสิทธิ์ใดๆ เพื่อที่จะหลบเลี่ยง พร้อมบอกว่า 
"ให้ผมเป็นสิบตรี พานทองแท้ฯ ผมว่าพ่อเเม่ผมยังจะภาคภูมิใจกว่า ที่ผมจะถูกคนตราหน้าว่าผมหนีทหาร"

น่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีกที่พานทองแท้ระบุว่า เขาได้ข้อมูลมาจาก "ลุงคนหนึ่ง" และข้อมูลชุดดังกล่าวก็ถูกนำมาโพสต์เป็น "หนีทหาร เดอะซีรี่ส์" อย่างต่อเนื่อง โดยมีการตั้งคำถามในหลายประเด็นเกี่ยวกับที่นายอภิสิทธิ์ เคยเข้ารับราชการทหารในช่วงสั้นๆ และเป็นเงื่อนไขที่ไม่ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร  
"ใช้วิธีไม่ไปเข้ารับการตรวจเลือก เพื่อไปเป็นทหารเกณฑ์ แต่ใช้วิธีไปเป็น นายร้อย กินเงินเดือนจากภาษีอากรของราษฎรอยู่เกือบปี แต่ลางานโดยอ้างว่า ไปเยี่ยมญาติและไปราชการที่ประเทศอังกฤษถึง 221 วัน" (ข้อความใน "หนีทหาร เดอะซีรี่ส์" ตอนที่ 1) 

ข้อมูลดังกล่าวอาจมิได้มุ่งหวังผลเชิงการเมืองเหมือนที่เคยถูก ส.ส.พรรคเพื่อไทยพยายามจะหยิบไปขยายผล แต่ก็ถูกจับตาว่า ถูกปล่อยออกมาในจังหวะที่พรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ กำลังเดินหน้าเปิดเกมรุกด้วยการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั่นเอง



จากแนวรบที่เข้มข้นด้วยโวหาร ลีลา ซึ่งถูกนำเสนอผ่านโซเชียลมีเดีย สำหรับนายอภิสิทธิ์เอง อาจไม่สะทกสะท้านเพราะผ่านการถกเถียง ชี้แจง อธิบายความในเรื่องดังกล่าวไปแล้วหลายรอบ หลายครั้ง 
แต่ก็ต้องยอมรับว่า การที่จะกระโดดลงไปชี้แจงหรือตอบโต้นายพานทองแท้ ด้วยตัวเองก็ดูจะเป็นการลงแรงในภารกิจที่อาจจะไม่คุ้มเหนื่อยสักเท่าไหร่นัก 
แต่จะปล่อยผ่านก็จะกลายเป็นปมที่ถูกนำมาใช้สำหรับการ "ดิสเครดิต" ผู้นำฝ่ายค้านที่กำลังจะต้องทำหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยเหมือนกัน  
ดังนั้น ทั้งนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ก็พอจะมองเกมนี้ออก และต้องตั้งการ์ดให้รัดกุมในการตอบโต้ ด้วยกลยุทธ์ ด้วยวิธีการที่เหมาะสม

ยิ่งสถานการณ์ทางการเมืองดูจะไม่ค่อยเป็นใจ เสียงสนับสนุนผ่านการเช็กโพลเบื้องต้นปรากฏว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ความคาดหวังจากกองเชียร์ แฟนคลับของประชาธิปัตย์หรือฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลก็จะเป็นแรงกดดันบีบเข้ามาอีกทางหนึ่ง 
การเลือกใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อลดดีกรีความรุนแรงของปมที่ถูกพานทองแท้ใช้ข้อมูลเชิงลับถล่มเข้าใส่ จึงเป็นทางออกที่น่าจะเหมาะสมที่สุด 
และหากจัดการแนวรบด้าน "สิบตรีโอ๊ค" ให้วางใจได้เสียก่อน การพุ่งสมาธิไปที่เกมอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงจะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองความคาดหวังที่กำลังเกิดขึ้นได้ในระดับหนึ่ง


อย่างไรก็ตาม แม้ในเชิงกลยุทธ์การขับเคลื่อนประเด็นที่พุ่งเข้าโจมตีหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านคือ นายอภิสิทธิ์ จะได้ผลดีในแง่หนึ่ง หรือหวังผลในเชิงดิสเครดิตด้านเดียวก็ตาม แต่ในมุมนักวิเคราะห์การเมืองก็ยังไม่เชื่อว่าจะเป็นประเด็นสำคัญหรือถึงขั้นเป็นจุดสลบของนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ 
ในทางกลับกัน กลยุทธ์การเปิดเกมผ่านเฟซบุ๊กและแฟนเพจของพานทองแท้ ในระยะยาวก็อาจต้องเพิ่มความรอบคอบและชั่งน้ำหนักให้ดี 
โดยเฉพาะการกระโดดลงไปเล่นในบทบาท "เปิดโปง" หรือ "ขุดคุ้ย" มุ่งโจมตี หรือเปิดสงครามเฉพาะบุคคลนั้น กระแสตอบรับในกลุ่มแฟนประจำอาจดูดี แต่ก็ต้องพิจารณามุมมอง หรือแนวร่วมในส่วนอื่นๆ ประกอบกัน 
แง่มุมดังกล่าว นักวิชาการคนดัง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็ออกมาตั้งข้อสังเกตกับบทบาทและแนวทางการขับเคลื่อนของพานทองแท้ อย่างน่าสนใจเช่นเดียวกัน 
การชกซ้ำ ย้ำแผลไปที่จุดเดิม ตัวบุคคลเดียว อาจได้ใจ ได้เสียงเฮจากกองเชียร์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้พลิกสถานการณ์มาเป็นฝ่ายคุมเกม คุมรูปมวยจนนำไปสู่ชัยชนะอย่างเด็ดขาดในบั้นปลาย

สงครามดิสเครดิตรอบนี้ ดุเดือดและมีสีสันจริงอยู่ แต่ก็ยังเป็นเพียงแนวปะทะส่วนหน้าเท่านั้น ถึงที่สุดแล้วยังมีสมรภูมิเดือดของแท้รออยู่ และสงครามยังไม่จบ ไม่สงบง่ายๆ แน่นอน



+++

โผทหารกลางไฟใต้ "บิ๊กตู่" แข็ง แรง ร้อน จับทาง "บิ๊กเจี๊ยบ" สร้างระบบ "โชว์วิชั่น" กับหมากเกมของ "ฉลามหรุ่น"
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1669 หน้า 15


การแต่งตั้งโยกย้ายทหารในปีนี้ ดูเหมือนจะเงียบเหงา ประการหนึ่งอาจเป็นเพราะสถานการณ์รุนแรงในภาคใต้ ถูกมองว่ารุนแรงที่สุด ตั้งแต่ปี 2547 ซึ่ง ทบ. ซึ่งเป็นหน่วยหลักที่ส่งกำลังทหาร 16 กองพัน หรือประมาณ 3 กองพล เกือบ 6 หมื่นนายลงไปนั้น ถูกวิจารณ์มากที่สุด 
โดยเฉพาะ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในฐานะ รอง ผอ.รมน. แม่ทัพใหญ่ในการสู้ศึกโจรใต้  
อีกทั้งอาจเป็นเพราะ บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ตัดไฟเสียแต่ต้นลม ด้วยการขจัดปัญหาการแย่งชิงตำแหน่งกันด้วยการนำ บิ๊กเล็ก พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผช.ผบ.ทบ. และ บิ๊กจิน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผช.ผบ.ทอ. เข้าให้ นายกรัฐมนตรี ดูตัว และแสดงวิสัยทัศน์ไปแล้ว ที่เป็นเสมือนการประกาศว่าที่ ปลัดกลาโหม และ ผบ.ทอ.คนใหม่ 
แต่ก็คาดกันว่า เมื่อบัญชีรายชื่อโยกย้ายส่งจากมือ ผบ.เหล่าทัพ ถึง รมว.กลาโหม เมื่อนั้นจะเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นในกองทัพเพราะจะรู้แล้วว่า ใครได้ใครหลุด
อีกทั้งกันยายน 2555 นี้ มีนายพลทั้ง 3 เหล่าทัพ บก.กองทัพไทยและกลาโหม เกษียณราชการ มากถึง 238 นาย ที่จะต้องมีการบรรจุทดแทนแบบเต็มๆ เพราะตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นตำแหน่งประจำ ก็ถือว่าเป็นตำแหน่ง เพราะมีเงินประจำตำแหน่ง มาตั้งแต่ยุค นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีควบ รมว.กลาโหม อนุมัติไว้ แม้จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มอีกปีละ 800 ล้านบาทก็ตาม
ยังไม่นับรวมพวกที่จะลาออกก่อนเกษียณ เพราะเป็นปีสุดท้ายที่จะได้ทั้งเงินและยศเพิ่มขึ้น

ประเพณีหรือ Tradition ทหารใหม่ ในเรื่องโชว์วิสัยทัศน์ อาจกำลังกลับมาอีกครั้งในยุคนี้ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. จึงได้ใช้ระบบการแสดงวิสัยทัศน์ของทหารระดับนายพลในกรุเพื่อพิจารณาลงตำแหน่งหลักในโผนี้  
เพราะในโค้งสุดท้ายของการจัดทำโผทหาร พล.อ.ธนะศักดิ์ เรียก พันเอกพิเศษ และนายพลในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ มาพูดคุยและสอบถามความคิดเห็นในด้านต่างๆ หลังจากที่ก่อนหน้านั้น จะต้องกรอกแบบฟอร์มและทำหนังสือถึงคณะกรรมการแจงประวัติการรับราชการและวิสัยทัศน์ ต่อการแก้ปัญหาด้านต่างๆ ไปแล้ว 
ที่ดูอลังการและน่าเกรงขาม และเป็นหลักก็ตรงที่ พล.อ.ธนะศักดิ์ เปิดห้องประชุมส่วนตัวที่ชั้น 6 พร้อมด้วย รอง ผบ.สส. ทั้ง 3 คน 3 เหล่า และ บิ๊กตี๋ พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร เสธ.ทหาร นั่งพร้อมหน้ากันทั้ง 5 จอมพล และทุ่มเทเวลาทั้งวัน แบ่งเป็นรอบเช้า รอบบ่าย ตลอดทั้งสัปดาห์ 6-10 สิงหาคมที่ พล.อ.ธนะศักดิ์ ก็พยายามที่ลดความเกร็ง ด้วยการพูดคุยสอบถามแบบพี่น้อง สบายๆ แค่คนละ 3-5 นาที แต่ ทั้งนายพัน และนายพล ในกรุมีเป็นร้อยคน 
นี่อาจเป็นเหตุผลให้ พล.อ.ธนะศักดิ์ ขอเลื่อนเวลาส่งโผโยกย้ายของทั้ง บก.สส. และ 3 เหล่าทัพ ให้ พล.อ.อ.สุกำพล จาก 15 สิงหาคม เป็น 21 สิงหาคม


แม้จะถูกมองว่า เป็นการ "สร้างภาพ" เพื่อให้การจัดโผโยกย้ายทหาร มีความชอบธรรม และอาจเป็น "ข้ออ้าง" ในการที่จะดัน "เด็กเส้น" หรือ "เด็กนาย" จากกรุมาลงตำแหน่งสำคัญ เพราะมีการถามเรื่องแนวคิดในการปรับปรุงกองทัพ และเปิดช่องให้แสดงความเห็นอะไรก็ได้ที่อยากพูดก็ตาม  
แต่รูปแบบที่ทั้ง 5 เสือป่า หรือ 5 อรหันต์ แห่ง บก.ทัพไทย มานั่งกันพร้อมหน้าและใช้เวลาทั้งวันหลายนั้น ก็ทำให้คณะกรรมการและระบบนี้ดูขลังขึ้นมาไม่น้อย 
แต่กระนั้น ก็มีการมองว่านี่อาจเป็นความชาญฉลาดของ พล.อ.ธนะศักดิ์ ในการสร้าง "เกราะ" ป้องกัน "เด็กฝาก" จากนักการเมือง ยิ่งในยุคที่ฝ่ายการเมืองแม้จะไม่แทรกแซงการโยกย้ายทหาร แต่ก็จะใช้ "ไม้นวม" ในการแทรกซึม มีรายการ "คุณขอมา" เพราะความสัมพันธ์อันดีของกองทัพกับรัฐบาล และระหว่าง ผบ.เหล่าทัพ กับ รมว.กลาโหม 
เพราะหากฝ่ายการเมืองฝากมา ทางกองทัพก็จะอ้างได้ว่า จะต้องผ่านระบบคณะกรรมการ 5 จอมพลนี้เสียก่อน แล้วจะเห็นเหตุผลที่เด็กฝากไม่อาจไปแทรกหรือตัดหน้านายทหารที่ผ่านระบบการสอบและแสดงวิสัยทัศน์ไปแล้วได้ 
เพราะมีรายงานว่า พล.อ.อ.สุกำพล มักจะหารือกับ พล.อ.ธนะศักดิ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่บ่อยๆ ในการวางตัวนายทหารที่ต้องข้ามห้วย และการวางตัวคนที่จะเติบโตในอนาคต

ความจริงระบบการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร โดยทั่วไปก็มีการใช้คณะกรรมการ 5 เสือของแต่ละเหล่าทัพอยู่แล้ว โดยเฉพาะของ ทร. ที่ บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. ก็มีการประชุมคณะกรรมการและเปิดช่องให้เสนอแนะ แต่แน่นอนว่าการตัดสินใจขั้นท้ายสุด ก็ต้องเป็นของ ผบ.เหล่าทัพ เช่นเดียวกับของ ทบ. และ ทอ. 
แต่ก็ดูจะไม่แข็งแกร่งเท่าฟอร์มสุดยิ่งใหญ่ของ บก.กองทัพไทย เพราะในส่วนของ ทอ. นั้น มีข่าวสะพัดว่า การที่ พล.อ.อ.สุกำพล รมว.กลาโหม ยอมที่จะให้ พล.อ.อ.ประจิน ขึ้นเป็น ผบ.ทอ.คนใหม่ ทั้งๆ ที่เดิม พล.อ.อ.สุกำพล ต้องการสกัดทายาทอำนาจ คมช. 
แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเพื่อนซี้ ตท.10 เล่น "ไม้นวม" ไม่แทรกกองทัพ พล.อ.อ.สุกำพล ก็จึงไม่แตะต้องโผทหาร ยึดตามที่ บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. เสนอมา 
โดยแลกกับการดัน บิ๊กอ๋า พล.อ.ต.สรทัต สุวรรณทัต น้องชายของ พล.อ.อ.สุกำพล กระโดดจาก ผู้ทรงคุณวุฒิ ทอ. ที่เพิ่งได้นายพลเมื่อโยกย้ายที่แล้ว มานั่งคุมกำลังในตำแหน่ง ผู้บังคับทหารอากาศดอนเมือง (ผบ.ดม.) เพราะถือเป็นการคืนความชอบธรรมให้ พล.อ.ต.สรทัต ซึ่งเป็น ตท.15 แต่ถูกดองในกรุมาตลอดหลังการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ตั้งแต่ยุคที่ บิ๊กต๋อย พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี เป็น ผบ.ทอ. จนมาถึง ยุค พล.อ.อ.อิทธพร 
ขณะที่ 5 เสืออากาศ นั้นน่าจะนิ่งแล้วที่ พล.อ.อ.ประจิน เป็น ผบ.ทอ.คนใหม่ พร้อมด้วยแผงอำนาจเพื่อน ตท.13 โดย บิ๊กเพิ่ม พล.อ.อ.เพิ่มเกียรติ ลวณมาลย์ จาก เสธ.ทอ. เป็น รอง ผบ.ทอ. บิ๊กแป๊ะ พล.อ.ท.อารยะ งามประมวล รอง เสธ.ทอ. และ พล.อ.อ.ชนะ อยู่สถาพร ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทอ. 
และ บิ๊กดำ พล.อ.อ.ทรงธรรม โชคคณาพิทักษ์ ผบ.คปอ. รุ่นน้อง ตท.14 ขึ้นเป็น เสธ.ทอ.



ในส่วนของ ทร. นั้น มี 3 จอมพลเรือ และอีก 7 พลเรือเอก ทั้งตำแหน่งหลักและผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ที่เกษียณราชการ เช่น บิ๊กหมวย พล.ร.อ.อภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ ประธานที่ปรึกษา ทร. บิ๊กเจี๊ยบ พล.ร.อ.วีระพล กิจสมบัติ รอง ผบ.ทร. พล.ร.อ.รุ่งรัตน์ บุญยะรัตพันธุ์ รองปลัดกลาโหม พล.ร.อ.ไพบูลย์ ช้อยเพ็ง รองเสนาธิการทหาร รวมทั้ง พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ลูกป๋า ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทร. 
ที่จะทำให้ บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. ได้พอหายใจคล่องขึ้นในการจัดทัพ เพื่อกระจายความเป็นธรรมให้ทั้งเพื่อนและน้อง
โดยคาดหมายว่า พล.ร.อ.ฆนัท ทองพูล ผบ.กองเรือยุทธการ (ผบ.กร.) จะขยับขึ้นครองอัตราจอมพล ประธานที่ปรึกษา ทร. บิ๊กห้าว พล.ร.อ.ดำรงศักดิ์ ห้าวเจริญ เสธ.ทร. จะขยับขึ้น รอง ผบ.ทร. ครองอัตราจอมพล ก่อนเกษียณในปี 2556 พร้อมกับ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ 
ที่ต้องวัดใจก็คือ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ จะกล้าส่ง บิ๊กต้อม พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง ผช.ผบ.ทร. เพื่อน ตท.13 ข้ามไปเป็น รองปลัดกลาโหม หรือไม่ เนื่องจาก พล.ร.อ.อมรเทพ คาดหวังที่จะเป็น ผบ.ทร. เพราะมีอายุราชการถึงปี 2557   
แต่ก็เชื่อกันว่า เพราะการจบจาก ร.ร.นายเรือเยอรมัน จะทำให้เขาไม่อาจแหวกม่านประเพณีทหารเรือ ขึ้นเป็น ผบ.ทร. ได้ 
ถ้าทำใจได้ พล.ร.อ.อมรเทพ เข้าไปเป็นรองปลัดกลาโหม เพื่อต่อคิวที่จะเป็นปลัดกลาโหม ต่อในปลายปี 2556 ก็ได้ หากปลัดกลาโหม คือ พล.อ.ทนงศักดิ์ ที่เกษียณราชการแต่หาก พล.ร.อ.อมรเทพ ยังเป็น ผช.ผบ.ทร. อยู่ ก็จะถือเป็นเต็งหนึ่ง ผบ.ทร. ไปเลย

โผ ทร. ปีนี้ จึงน่าจับตามองตรงที่ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ จะดันใครขึ้นมาเป็น พลเรือเอก บ้าง เพราะเชื่อกันว่า จะไม่ทำให้ใคร โดดเด่น หรือเป็นที่จับตาว่าจะเป็น ผบ.ทร. คนต่อไปแน่ เพราะจะยึดสูตร เหมือนปีที่แล้ว ตอนที่ บิ๊กติ๊ด พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ เป็น ผบ.ทร. ก็ไม่ได้วางใครจ่อไว้ใน ห้าฉลามทัพเรือ เพราะเกษียณพร้อมกัน และมีพลเรือเอกที่เป็นแคนดิเดต ที่จะขึ้นนั่ง ผบ.ทร. ได้มากถึง 8 คน มาแล้ว 
พล.ร.อ.สุรศักดิ์ จะต้องดัน พลเรือโท หลายคนขึ้นมาเป็น พลเรือเอก แต่แน่นอนว่า พลเรือเอก ที่อยู่ในตำแหน่งใน 5 ฉลาม จะต้องถูกจับตามองมากที่สุด ว่า ใครจะเป็น เสธ.ทร. และ ผช.ผบ.ทร. และ ผบ.กร. ซึ่งถือเป็นหน่วยกำลังรบของ ทร. ที่ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ต้องการวางระบบให้ ผบ.ทร. ขึ้นจาก ผบ.หน่วยกำลังรบ โดยตรง อย่าง ผบ.กร. นี้ 
คาดหมายกันว่า เพื่อน ตท.13 อย่าง บิ๊กเข้ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย และ บิ๊กหนุ่ย พล.ร.อ.พลวัฒน์ สิโรดม ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ และ บิ๊กเจี๊ยบ พล.ร.ท.จักรชัย ภู่เจริญยศ รอง เสธ.ทร. ที่เกษียณ 2557 น่าจะได้อยู่ในท็อปไฟว์ 
แต่กระแสที่ถูกปลุกออกใน ทร. เวลานี้คือ ความเหมาะสมของ ผบ.ทร. คนต่อไป ที่ควรจะมีอายุราชการ 2 ปีขึ้นไป เพราะแค่ปีเดียวก็จะเข้าอีหรอบที่ว่ายังไม่ได้ทำอะไรก็เกษียณ แบบที่เรียกว่า 6 เดือนแรกเดินสายแนะนำตัว และอีก 6 เดือนหลังก็เดินสายอำลา 
ประเด็นเรื่อง "ปีเดียว" นี้จะถือเป็นการตัด ตท.13 เพื่อนร่วมรุ่นของ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ออกไป แต่ทว่าเพราะ ตท.13 ยังเหลือกันอยู่อีกหลายคน ทั้งเกษียณ 2557 และ พล.ร.ท.ไกรสรณ์ จันทรสุวานิชย์ ผบ.รร.นายเรือ และ พล.ร.ท.ธนะรัตน์ อุบล ผช.เสธ.ทร.ฝ่ายยุทธการ ที่เกษียณ 2558 แต่ พล.ร.ท.ธนะรัตน์ จบ ร.ร.นายเรือญี่ปุ่น อาจจะเสียโอกาส

แต่ที่คาดกันว่าโยกย้ายนี้ต้องขึ้น พลเรือเอก และมีสิทธิ์ลุ้นกันต่อด้วยแน่ๆ เช่น แกนนำ ตท.14 เช่น บิ๊ก พล.ร.ท.พิจารณ์ ธีรเนตร เสธ.กองเรือยุทธการ และ บิ๊กน้อง พล.ร.ท.พจนา เผือกผ่อง ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายกิจการพลเรือน และ บิ๊กยุ้ย พล.ร.ท.ณรงค์พล ณ บางช้าง รอง เสธ.ทร. ที่เกษียณ 2559 แต่ทว่าจบนายเรือเยอรมัน ก็อาจเสียโอกาสเหมือน พล.ร.อ.อมรเทพ พี่ชาย 
รวมทั้งแกนนำ ตท.15 เช่น บิ๊กจุ๊ พล.ร.ท.ทวีวุฒิ พงศพิพัฒน์ (ตท.15) รอง เสธ.ทร. บิ๊กตัน พล.ร.ท.ชัยรัตน์ เจริญรักษ์ (ตท.15) ผบ.ฐานทัพเรือสัตหีบ ที่เกษียณ 2558 
โดยเฉพาะที่มีอายุราชการกันถึงปี 2559 อีกหลายคนทั้ง บิ๊กมิ้ม พล.ร.ท.ชุมพล วงศ์เวคิน ผบ.กองเรือภาค บิ๊กบัง พล.ร.ท.ธราธร ขจิตสุวรรณ ผบ.กองเรือภาค 3 บิ๊กเผือก พล.ร.ท.อนุทัย รัตตะรังสี หัวหน้าคณะนายทหารฝ่าย เสธ.หน้าห้อง ผบ.ทร.

ท่ามกลางการจับตามองว่า พล.ร.อ.สุรศักดิ์ จะเล่นเกมไหน และมีใครอยู่ในหัวใจ ระหว่างเพื่อน ตท.13 ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา กับน้องๆ ที่ช่วยงาน ทร. มาตลอด แต่ที่แน่ๆ สไตล์ของบิ๊กหรุ่นจะถนอมน้ำใจ นึกถึงหัวอกทุกคน จึงอาจจะยังไม่ทำอะไรให้เห็นชัดเจนในโยกย้ายครั้งนี้มากนัก



แต่ที่ฮ็อตที่สุดคือ ทบ. ที่ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. จัดทัพด้วยตัวเองแบบเต็มๆ เพราะ พล.อ.อ.สุกำพล กระซิบแล้วว่า จัดมาตามที่เห็นว่าเหมาะสม จะไม่แทรกแซงล้วงลูกใดๆ แม้แต่ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 คุมกำลังปฏิวัติ ที่จะดัน บิ๊กอู๊ด พล.ต.วลิต โรจนภักดี รองแม่ทัพภาคที่ 1 อดีต ผบ.พล.ร.2 รอ. บูรพาพยัคฆ์พันธุ์แท้ ที่เคยปราบเสื้อแดงมาก็ตาม 
แถมทั้งการที่ พล.อ.อ.สุกำพล ดึง พล.อ.ทนงศักดิ์ ผช.ผบ.ทบ. มาเป็นปลัดกลาโหม ก็ทำให้ ทบ. มีตำแหน่งว่างมากขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ ยิ่งจัดทัพได้สะดวกขึ้น แม้ว่าจะทำให้ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม ลำบากใจอยู่บ้างตรงที่ต้องยอมให้เป็นอำนาจของ รมว.กลาโหม และแม้ว่า พล.อ.ทนงศักดิ์ จะเป็นเพื่อน ตท.11 ก็ตาม 
ในส่วนของ ทบ. บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ที่พลาดเก้าอี้ปลัดกลาโหม ก็ต้องมานั่งเป็น รอง ผบ.ทบ. คอยอยู่ใกล้ๆ ช่วยเหลือ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อนรักต่อไป เพราะอย่างน้อย พล.อ.ทนงศักดิ์ ก็เป็นน้องชายของ พล.ท.พงษ์เอก อภิรักษ์โยธิน เพื่อน ตท.12 ของตนเอง แต่เข้าเรียนทีหลังน้อง และยังเป็นดองญาติกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยด้วย 
แต่ก็มีเสียงจากในกลาโหมว่า แม้จะให้นายกฯ ดูตัวแล้วแต่ก็ไม่แน่ เพราะดูเหมือน บิ๊กกี๋ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกลาโหม ที่ความเป็น ตท.14 และเกษียณปี 2558 กลายเป็นอุปสรรคนั้น ก็อาจจะไม่ยอมง่ายๆ อีกทั้ง พล.อ.เสถียร ก็ต้องการยึดหลักการ
ส่วน บิ๊กนมชง พล.ท.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รอง เสธ.ทบ. เพื่อน ตท.12 ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. หลังจากที่บิ๊กตู่คิดอยู่นานว่าจะให้เป็น เสธ.ทบ. แต่เนื่องจากโตมาในสายส่งกำลังบำรุงและต้องเป็น เลขาธิการ กอ.รมน. ด้วย จึงให้ บิ๊กโด่ง พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร (ตท.14) แม่ทัพภาคที่ 1 เป็น เสธ.ทบ. 
แต่ก็ต้องจับตา เพราะ ทั้งคู่เกษียณ 2558 เหมือนกัน อาจจะชิง ผบ.ทบ. ในปี 2557 แต่คนหนึ่งเหล่าช่าง อีกคนหนึ่งเป็นทหารเสือราชินี

รวมถึง บิ๊กอ๋อย พล.ท.จิระเดช โมกขะสมิต รอง เสธ.ทบ.(ตท.13) ที่มีข่าวแรงว่าขึ้น ผช.ผบ.ทบ. เนื่องจาก เสธ.บี้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล เสธ.ทบ. เพื่อน ตท.13 จะข้ามไปเป็น รอง ผบ.สส. แต่นั่นก็หมายถึงว่า พล.อ.ศิริชัย จะหลุดจากการชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ซึ่งอาจเพราะเขาโตมาในฝ่ายอำนวยการไม่ใช่คอมแมนด์ ตท.13 จึงส่ง พล.ท.จิระเดช มาเสียบแทน เพราะเป็นทหารมหาดเล็กฯ และเป็นวงศ์เทวัญ ที่จะมาแชร์อำนาจใน ทบ. เพื่อกระจายความเป็นธรรม 
จากเดิมที่จะให้ พล.อ.ศิริชัย ขึ้นเป็นประธานที่ปรึกษา ทบ. แต่การครองอัตราจอมพล จะทำให้ได้เปรียบในเรื่องอาวุโส ในการเป็น ผบ.ทบ. เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เกษียณปี 2557 ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ของ พล.ท.อุดมเดช จึงต้องยอมเสียสละออกนอก ทบ. แล้วให้ พล.อ.โปดก บุนนาค ตท.12 ผช.ผบ.ทบ. ขึ้น อัตราจอมพล ประธานที่ปรึกษา ทบ. แทน


การโยกย้ายทหารคราวนี้ อาจจะดุเดือดไม่มาก อาจเป็นเพราะไฟใต้ที่ลุกโชน แถมทั้งทหารถูกวิจารณ์ เรื่อง กลัว แหยง ไม่กล้า และ ไม่รู้เขารู้เรา จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ กดดันและอารมณ์เสีย ถึงขั้นด่าโจรใต้เป็น "อีแอบ หมาลอบกัด" และระเบิดอารมณ์ใส่นักข่าวขั้นลั่นว่า "ถ้าผมโกรธ ผมฆ่าทิ้งไปแล้ว" เลยทีเดียว  
ไหนจะต้องจัดโผทหารแบบต้องมีกลยุทธ์แล้ว ยังต้องใช้หัวคิดในเรื่องการดับไฟใต้ ภายใต้ "ยุทธการ 9529" อีก พล.อ.ประยุทธ์ จึงอารมณ์เสียหนัก จนทำให้บรรดานายทหารที่วิ่งเต้นต้องขยาดกันเป็นแถว 
แต่วิเคราะห์กันด้วยว่า การทำท่าทีขึงขัง เสียงดัง โกรธเกรี้ยวของ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อการปัญหาภาคใต้ที่ท้าว่า "ใครเก่งให้มาเป็น ผบ.ทบ. สิ" นั้น เป็นการสร้างอีก "เกราะ" หนึ่งในการป้องกันการเมืองล้วงลูกการโยกย้ายครั้งนี้ด้วยนั่นเอง

ทั้ง ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพ แต่ละคน จึงต้องสร้างเกราะที่แตกต่างกันไปตามสไตล์ อันเป็นอีกกลยุทธ์เมื่อการเมืองมาแบบนุ่มๆ ภายใต้ความสัมพันธ์ที่ดีเช่นนี้ รายการเด็กฝากหรือคุณขอมาจึงมักเกิดขึ้นเสมอ   



+++  

ลิสต์การบ้าน "ว่าที่ ผบ.ตร." จัดทัพ "นายพลเล็ก-ดับไฟใต้" ปรับองค์กรตำรวจสู่ "เออีซี"
คอลัมน์ โล่เงิน ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1669 หน้า 99


ทันทีที่มีความชัดเจนอย่างเป็นทางการ ว่า "บิ๊กอู๋" พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) แปะป้ายชื่อเตรียมขึ้นแท่นรับตำแหน่ง "ผู้นำตำรวจคนที่ 38" หลัง "ชนะใส" ในบิ๊กบอร์ด "คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.)" ครองเสียงเอกฉันท์ ขึ้นสู่เก้าอี้ ผบ.ตร. ที่สง่างามมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สีกากี 
ทว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการขึ้นสู่เก้าอี้ "นัมเบอร์วัน" แบบฉีกประเพณีสีกากี ที่ว่ามาก่อนจึงจะมีสิทธิ์ก่อน โดย "บิ๊กอู๋" ขึ้นเป็น ผบ.ตร. ได้ ทั้งที่มีความอาวุโสเป็นลำดับที่ 3 
แต่กระนั้นต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า ด้วยโปรไฟล์ "ครบเครื่อง" ผ่านชีวิตตำรวจอย่างโชกโชน ครอบคลุมขึ้นชื่อว่าเชี่ยวชาญทั้งงานบู๊ งานบุ๋น ไม่มีกลิ่นหึ่งของซีกฝ่ายการเมืองติดตัว ทำให้ "บิ๊กอู๋" ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร. ชนิดแทบไร้แรงเสียดทาน
แต่ขณะเดียวกัน การขึ้นเป็น ผบ.ตร. ของ พล.ต.อ.อดุลย์ เป็นการขึ้นท่ามกลางความคาดหวัง ว่า จะนำการเปลี่ยนแปลงที่ดี มาสู่ "องค์กรตำรวจ"
ทำให้ต้องจับตาการประกาศนโยบายใหม่ของ ผบ.ตร.อดุลย์ ว่าจะกำหนดธงนำ วางยุทธศาสตร์สำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างไร


การแต่งตั้งระดับนายพลใหญ่ ในล็อต รอง ผบ.ตร. ถึง ผู้บัญชาการ (ผบช.) ที่ผ่านมา แม้ในวงการสีกากีจะทราบดีว่า โผนายพลใหญ่ล็อตนี้นำเข้า แต่หากไล่สายเช็กรายชื่อก็จะพบว่า "บิ๊กอ๊อบ" พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. คนปัจจุบัน ให้สิทธิ ว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่ พอสมควร
"บิ๊กอู๋" มีโอกาสแสดงความคิดเห็น ผลักดันคนทำงานให้ได้รับการโปรโมตหลายตำแหน่ง 
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือการได้เลือกวางตัว "เดอะโก้" พล.ต.ต.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง รองผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (รอง ผบช.ศชต.) มือทำงานในการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาเป็นขุนพลด้านการข่าว 
ทั้งนี้ คนเคยทำงานร่วมกับบิ๊กอู๋จะทราบกันดีว่า บิ๊กสีกากีผู้นี้ให้ความสำคัญกับการข่าว ที่ต้อง แม่น มีระบบ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจของผู้นำอย่างมาก 
ดังนั้น การวางตัว พล.ต.ต.สฤษฎ์ชัย ในตำแหน่ง ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลคนใหม่ จึงบ่งชัดว่า "บิ๊กอู๋" ได้เลือกเอง


อย่างไรตาม เมื่อการแต่งตั้งนายพลสีกากีล็อตใหญ่ผ่านไป สิ่งที่เหล่าสีกากีกำลังโฟกัส คือการแต่งตั้งนายพลเล็กในระดับ รอง ผบช. ลงมาถึง ผู้บังคับการ (ผบก.) ที่ครั้งนี้มีตำแหน่งระดับ รอง ผบช.-ผบก. ว่างจากการเกษียณอายุราชการ 40 ตำแหน่ง
แบ่งเป็น ตำแหน่ง รอง ผบช. ว่างจากเกษียณ 17 ตำแหน่ง ได้แก่ รอง ผบช.ส. 1 ตำแหน่ง รอง ผบช.สตม. 3 ตำแหน่ง รอง ผบช.ภ.7 จำนวน 4 ตำแหน่ง รอง ผบช.ภ.5 จำนวน 2 ตำแหน่ง รอง ผบช.ภ.6 จำนวน 1 ตำแหน่ง รอง ผบช.ภ.8 จำนวน 1 ตำแหน่ง รอง ผบช.ศชต. 1 ตำแหน่ง รอง ผบช.ก. 2 ตำแหน่ง รอง ผบช.สงป. 1 ตำแหน่ง และ รอง สง.ก.ตร. 1 ตำแหน่ง 
ส่วนระดับ ผบก. ว่างจากเกษียณอายุราชการทั้งหมด 23 ตำแหน่ง ประกอบด้วย ผบก.ตป. ผบก.ยธ. ผบก.ภ.จว.ตราด ผบก.ประจำ.ภ.2 ผบก.ภ.จว.อำนาจเจริญ ผบก.ภ.จว.สุรินทร์ ผบก.ภ.จว.ยโสธร ผบก.ภ.จว.เชียงราย ผบก.ภ.จว.พิษณุโลก ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี ผบก.ภ.จว.พังงา ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ผบก.ภ.จว.กระบี่ ผบก.ภ.จว.ศฝร.ภ.8 ผบก.ภ.จว.สตูล ผบก.สส.ภ.9 ผบก.สศป.บช.ศ. ผบก.กฝ.ตชด. ผบก.ปส.1 ผบก.ศพฐ.3 ผบก.อก.สตม. ผบก.ตม.3 และ ผบก.ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจ 
ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมถึง รอง ผบช. ที่เลื่อนขึ้นเป็น ผบช. ไปแล้ว 22 ตำแหน่ง เปิดตำแหน่ง รอง ผบช. ในหลายหน่วยว่างลง ประกอบด้วย รอง ผบช.น. 2 ตำแหน่ง รอง ผบช.ก. 1 ตำแหน่ง รอง ผบช.ภ.4 จำนวน 2 ตำแหน่ง รอง ผบช.ศชต. 2 ตำแหน่ง รอง ผบช.รร.นรต. 1 ตำแหน่ง รอง ผบช.สกพ. 2 ตำแหน่ง รอง ผบช.ภ.5 จำนวน 1 ตำแหน่ง รอง ผบช.สทส. 1 ตำแหน่ง รอง ผบช.ภ.7 จำนวน 4 ตำแหน่ง รอง ผบช.สตม. 2 ตำแหน่ง รอง ผบช.สยศ.ตร. 1 ตำแหน่ง รอง ผบช.ภ.8 จำนวน 1 ตำแหน่ง รอง ผบช.ภ.6 จำนวน 1 ตำแหน่ง และ รอง จตร. (สบ7) 1 ตำแหน่ง

ส่วนเก้าอี้ ผบก. เมื่อบวกลบคูณหาร จะมีตำแหน่ง ผบก. ที่ว่างเพิ่มจากเลื่อนขึ้นเป็น รอง ผบช. อีก 39 ตำแหน่ง ทำให้แต่งตั้งครั้งนี้ เหล่า รอง ผบก. มีสิทธิ์ลุ้นคั่วเก้าอี้นายพล ถึง 62 ตำแหน่ง 
เช็กยอดเก้าอี้นายพลเล็กว่างครั้งนี้ มีจำนวนมากพอสมควร ถือเป็นภารกิจที่ท้าทาย พล.ต.อ.อดุลย์ ไม่น้อยทีเดียว หาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ พูดจริงทำจริงดังที่ว่า ขอสละสิทธิการพิจารณาแม้จะมีอำนาจเต็มโดยนิตินัย แต่ขอโอนมอบอำนาจทางพฤตินัยให้ ว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่ทำบัญชีแต่งตั้ง 
การจัดทำโผ ผบก. ในเวอร์ชั่น "บิ๊กอู๋" จึงเป็นเรื่องท้าทาย



เหตุเพราะหากการแต่งตั้งล็อตนายพลเล็กที่จะออกมาในอนาคตถูกครหา "โผทางไกลตามใจนายใหญ่" คาดการณ์ได้ว่า ในภารกิจแต่งตั้งวางขุมกำลัง บิ๊กอู๋จะไม่ใช่แค่เสมอตัว แต่อาจเข้าเนื้อเจ็บตัวด้วยซ้ำ 
ดังนั้น การวางบทบาท ใช้อำนาจ ในการพิจารณาแต่งตั้งนายพลเล็ก รวมไปถึงระดับ รอง ผบก. ถึงสารวัตร หากบิ๊กอู๋ "ไม่แข็ง" "ไม่ยืนหยัด" เสียบ้างก็มีสิทธิถูกวิจารณ์ 
นอกจากนี้ อีกภารกิจท้าท้าย ว่าที่ ผบ.ตร.อดุลย์ คือ การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชานแดนภาคใต้ ต้องอย่าลืมว่า ด้วยโปรไฟล์ ผ่านสมรภูมิใต้โชกโชน เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ บิ๊กอู๋ ขึ้นสู่เก้าอี้แบบไร้เสียงค้าน ดังนั้น การขึ้นเป็น ผบ.ตร. ย่อมถูกคาดหวังว่า ต้องมีพื้นฐาน "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา"  
ฉะนั้น การคุมทัพตำรวจดับไฟใต้ การบริหารกำลังพลตำรวจใต้ ที่กำลังประสบภาวะท้อและกำลังใจหดหายไม่น้อย อันเนื่องมาจากการบริหารงานบุคคล จึงเป็นงานแรกๆ ที่ ผบ.ตร. คนใหม่ต้องแก้ไข ท่ามกลางเปลวไฟชายแดนใต้กำลังลุกโชน

และอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่รอบิ๊กอู๋ คือ การนำพาทัพตำรวจทั้งกว่า 2 แสนนาย ปรับตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หรือ เออีซี ในปี 2558 ที่น่าจับตามองว่า "บิ๊กอู๋" จะเดินนำไปด้วยกลยุทธ์ใด ไม่ให้เสียยี่ห้อ ผู้บังคับบัญชาตำรวจที่บริหารงานอย่างมีระบบมากที่สุดคนหนึ่ง

เหล่านี้เป็นความท้าทาย และความเสี่ยง ของ ว่าที่ ผบ.ตร. ชื่อ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ต้องจับตาหลังวันที่ 1 ตุลาคม 2555



.