http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-09-04

หนุ่มเมืองจันท์: ต้อง “สู้”

.

ต้อง “สู้”
โดย หนุ่มเมืองจันท์ boycitychan@matichon.co.th www.facebook/boycitychanFC คอลัมน์ ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1672 หน้า 24


ไม่ได้เจอ "ตัน ภาสกรนที" มานาน
พอเจอกันวันก่อน คำแรกที่ผมทักทายคุณตันก็คือ "ทำตลาดเงินอัดฉีดเหรียญทองโอลิมปิกเสียอีกแล้ว" 
ครับ หลังจากที่ "ตัน" ทำตลาดการบริจาคเงินช่วยการกุศลพังทลายมาแล้วครั้งหนึ่ง 
เพราะบริจาคช่วยน้ำท่วมครั้งเดียว 30 ล้านบาท 
ทั้งที่คนอื่นๆ ช่วยกันไม่เกิน 10 ล้านบาท 
ครั้งนี้ "ตัน" ประกาศให้นักกีฬาไทยที่ได้เหรียญทองโอลิมปิก 10 ล้านบาท
ทั้งที่เอกชนรายอื่นให้สูงสุดแค่ 1 ล้านบาท

แถมพอ "แก้ว พงษ์ประยูร" แพ้ในรอบชิงชนะเลิศแบบน่าเกลียด 
"ตัน" ก็ยังให้ 10 ล้านบาทกับ "แก้ว" 
ด้วยเหตุผลว่าเป็น "เหรียญทองที่ห้อยอยู่ในหัวใจคนไทยทุกคน"
นอกจากนั้น "ตัน" ยังประกาศล่วงหน้าด้วยว่าโอลิมปิกครั้งหน้า ใครได้เหรียญทอง
เอาไปเลย 10 ล้านบาท
อัดฉีดล่วงหน้า 4 ปี

คิดเล่นๆ ว่าถ้าโอลิมปิกครั้งหน้านักกีฬาไทยได้สัก 20 เหรียญทอง
200 ล้านบาท
คาดว่าช่วงนั้นถ้า "ตัน" ใส่กางเกงขาสั้น หน้าแข้งข้างซ้ายของเขาคงราบเรียบ
ไม่มี "ขนหน้าแข้ง" ให้เห็นอย่างแน่นอน 



"ตัน" เล่าให้ฟังว่าอย่าคิดว่าเงินอัดฉีดล่วงหน้าไม่มีผล 
"โอ๊ค" พนักงานของ "อิชิตัน" ที่เป็นนักเทควันโด้ เพิ่งไปแข่งคัดตัว UTCC หรือนักกีฬาระดับมหาวิทยาลัยที่จะไปแข่งกีฬามหาวิทยาลัยโลก
เขาฝากบอกคุณตันด้วยว่าอีก 4 ปีจะมาเอาเงิน 10 ล้าน 
"โอ๊ค" เล่าว่ากระแสเงินอัดฉีด 10 ล้านบาทแรงมาก 
โดยเฉพาะในหมู่นักศึกษาที่เล่นกีฬา


"เทควันโด้" ที่เคยมีคนสมัครคัดตัวทีมชาติปีละไม่ถึง 500 คน
ปีนี้มีคนส่งใบสมัครทิ้งไว้แล้วทั้งที่ยังไม่เปิดรับสมัครสูงถึง 2,000 คน
แต่ละคนพูดเหมือนกันว่าจะเอาเงิน 10 ล้านจากคุณตันให้ได้
เป้าหมายชัดเจนมาก




แม้การบริหารงานของ "ตัน" จะเป็นแบบมืออาชีพ 
แต่การตัดสินใจจะเป็นแบบ "เถ้าแก่" 
เขาจึงสามารถตัดสินใจใช้เงินได้อย่างรวดเร็ว 
ไม่ต้องมีขั้นตอนเยอะ

ดูเทป "แก้ว" ชกซ้ำอีกครั้งแล้วรู้สึกว่า "แก้ว" ถูกปล้นชัยชนะ
เอาไปเลย 10 ล้าน 
เขาใช้ "ความรู้สึก" เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ 
เพราะเมื่อตั้งใจจะให้ "เหรียญทอง" 10 ล้านบาทอยู่แล้ว
การควักกระเป๋าจ่ายในวงเงินที่ตั้งใจอยู่แล้วกับคนที่สมควรจะได้
จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องตัดสินใจนาน

"ตัน" เคยบอกว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ คือ เขาทายใจผู้บริโภคถูกต้อง 
ผู้บริโภคชอบอะไร เขาทำในสิ่งนั้น  
เช่นเดียวกับครั้งนี้ เขารู้สึกเหมือนกับคนไทยส่วนใหญ่ 
และสิ่งที่เขาให้คือสิ่งที่คนไทยทุกคนอยากให้เหมือนกัน 
อยากให้รางวัลปลอบใจ "แก้ว" 
"คุณรู้ไหมว่าหลังจากดูแก้วชก ผมนึกถึงอะไร" เขาถาม
ผมส่ายหน้า

"ผมนึกถึง 2 เรื่อง" 
เรื่องแรก คือ คำที่แม่สอนเขาตั้งแต่เด็ก 
"ถ้าอยากชนะ ต้องอย่ากลัวแพ้" 
และ "ความพ่ายแพ้ คือ ทางผ่านของชัยชนะ" 
คุณแม่ของเขาต้องสู้กับชีวิตมาตลอด ลำบากมานานจนช่วงปลายชีวิตจึงเริ่มสบายเพราะลูกๆ มีฐานะดีขึ้น

"แก้ว" กลายเป็นผู้แพ้ที่ยิ่งใหญ่ในสายตาคนไทย 
เพราะเขาสู้อย่างเต็มที่ 
ไม่กลัวที่จะพ่ายแพ้ 
"ตัน" บอกว่าถ้าเราสู้แบบกล้าๆ กลัวๆ กลัวที่จะแพ้ คิดอยู่ในใจว่าคงแพ้แน่ๆ 
เราจะไม่มีทางจะชนะได้เลย 
แต่ถ้าเชื่อมั่นว่าเราจะชนะ และสู้เต็มที่ 
เราก็มีโอกาสที่จะชนะ



เรื่องที่สอง "ตัน" นึกถึงช่วงวัยหนุ่ม เขาไปหัดชกมวยที่ค่ายมวยในวัดแห่งหนึ่ง 
ตามระดับความห้าวของวัย 
วันหนึ่ง ขณะที่กำลังซ้อมชกลมอยู่ในค่าย มีพ่อแม่จูงลูกอายุประมาณ 7-8 ขวบมาหาหลวงพ่อ 
จะขอฝากให้ลูกชายหัดชกมวย 
เด็กน้อยท่าทางหงอๆ หลบอยู่ข้างหลังพ่อ 
แม่บอกหลวงพ่อว่าลูกชายอ่อนแอมาก อยากให้ฝึกมวยที่ค่าย 
"รบกวนหลวงพ่อช่วยฝึกให้เขารู้จักสู้คนบ้าง" 
คาดว่าเด็กน้อยคงถูกเพื่อนๆ รังแกเป็นประจำ แม่จึงอยากให้เขาเป็นเด็กชายที่แข็งแกร่ง ไม่กลัวใคร
และคิดว่าค่ายมวยแห่งนี้จะช่วยได้

เด็กน้อยเริ่มมาซ้อมที่ค่าย เป็นการฝึกซ้อมเหมือนเด็กทั่วไป 
ทั้งวิ่ง ทั้งชกมวย รวมทั้งเตะกระสอบทราย 
ผ่านไปแค่ 1 สัปดาห์ พ่อแม่ก็ตามมาดูลูกฝึกชกมวย
คงอยากเห็นผล 
วันนั้น เด็กน้อยลงซ้อมกับเพื่อน 
ไม่ถึงนาที เด็กคนนี้ก็ถูกเตะตัดขาล้มลง
อีกพักหนึ่งก็โดนจับทุ่ม 
ไม่กี่วินาทีก็ล้มอีก 
แต่เด็กน้อยก็ลุกขึ้นสู้ต่อ
ไม่ร้องไห้ ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว
แต่พักเดียวก็ล้มอีก

เห็นลูกสู้ไม่ได้ แม่ทนไม่ไหว บุกขึ้นเวที จูงมือเด็กน้อยลงมา 
"ไม่เอาแล้ว ฝึกมวยไม่เห็นช่วยอะไรเลย กลับบ้าน...กลับบ้าน" เธอโวยวายต่อหน้าหลวงพ่อแล้วพาลูกกลับไป 
"ตัน" บอกว่าเขายังจำคำของหลวงพ่อในวันนั้นได้เป็นอย่างดี 
"เขาลืมคำที่พูดในวันแรกกับหลวงพ่อ" หลวงพ่อบอก 
วันนั้นคุณแม่ของเด็กน้อยคนนี้บอกเองว่าอยากให้ลูกชายรู้จักสู้คน 
เธอไม่ได้สังเกตว่าวันนี้ลูกของเธอแม้จะถูกชกล้มกี่ครั้ง 
เขาก็ไม่ร้องไห้ 
และลุกขึ้นมาสู้ต่อ
ถ้าแม่เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ เขาจะรู้ว่าลูกชายของเขาไม่เหมือนเดิม 
และประสบความสำเร็จแล้วที่ลูกรู้จักสู้คน


"ชัยชนะ" หรือ "พ่ายแพ้" นั้นเป็นแค่บรรทัดสุดท้ายของการแข่งขัน
"ระหว่างทาง" สำคัญกว่า 
สู้หรือไม่สู้ 

ถ้าสู้เต็มที่แล้ว ต่อให้พ่ายแพ้
เขาก็ชนะใจคนดูทุกคน




.