http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-09-26

เธอไม่รักเด็ก! โดย ทราย เจริญปุระ

.

เธอไม่รักเด็ก !
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1675 หน้า 80


โดยเนื้อแท้แล้วฉันเป็นคนเฉยๆ กับเด็ก
เฉยๆ แบบที่เราเห็นคนทั่วๆ ไปนั่นล่ะ 
ไม่รู้สึกว่าอยากวิ่งเข้าไปอุ้ม ไปคุย ไปหยิกแก้ม ไปทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่แต่อย่างใด 

และแค่เป็นคนแบบนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะโดนข้อครหาว่า "ไม่รักเด็ก"
ก็...จะบอกยังไงดี 
ถ้าแบบนี้จะเรียกว่าไม่รัก ฉันไม่รักก็ได้ 
ก็เด็กที่ไหนไม่รู้ ลูกฉันหลานฉันก็ไม่ใช่ 
จะไปทำท่ารักสุดสวาทมันก็กระไรอยู่

ลองเปรียบเทียบเด็กเป็นอย่างอื่นสิ  
เช่น ฉันเป็นคนรักเสาไฟ ฉันเป็นคนรักคนขายลอตเตอรี่ ฉันเป็นคนรักผู้ชาย  
ขืน การรักทั้งสามอย่างนี้แล้วทุกครั้งที่เห็นผ่านสายตาเข้ามาใกล้ๆ เป็นต้องทำเสียงหวานแล้ววิ่งไปกอดรัด คงได้รับสายตาหวาดผวาจากคนรอบตัวแน่ๆ 
แล้วฉันก็คิดแบบนี้กับเด็กนั่นล่ะ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน


พอฉันมาทำพิธีกรรายการเด็ก ฉันจึงสนุกกับเด็ก แต่ไม่ใช่สนุกอย่างกรี๊ดกร๊าด เอื้อเอ็นดู 
ฉันสนุกอย่างคนที่ได้เห็นอะไรแปลกๆ จินตนาการที่กว้างไกลไปกว่าสิ่งที่ฉันคิดได้ 
แต่ก็โดนล้ออยู่เรื่อยล่ะว่าเวลาทำรายการแล้วจะไหวเหรอ ในเมื่อเธอไม่รักเด็ก

เลยอาศัยคอลัมน์นี้อธิบายเสียเลย

ว่าไม่ใช่ไม่รัก ถ้ารักนั้นหมายถึงการตามใจและเห็นเด็กทำอะไรเป็นดีไปเสียหมดล่ะไม่ใช่แน่ๆ  
รายการของฉันนั้นมีกติกาอยู่ว่าเราจะให้หนังสือโจทย์ไปหนึ่งเล่มแล้วให้เด็กอ่าน ก่อนจะเอาเรื่องราวในหนังสือมาตั้งเป็นคำถาม 
เมื่อเด็กเลือกคำตอบแล้วเราก็จะคุยกับเด็กต่อว่า ที่เลือกคำตอบนี้เพราะอะไร 
ทำรายการมานาน ฉันเห็นว่ามีเด็กยังไม่ถึงสิบคนที่ให้คำอธิบายถึงคำตอบได้ว่าทำไม เพราะอะไร ตามความเข้าใจของตัวเอง 
ร้อยละเก้าสิบจะตอบว่า "เพราะหนังสือบอกมา" "อ่านจากหนังสือ" แล้วก็เงียบนิ่งเป็นหอยกาบไม่สามารถขยายต่อได้อีก

ปัญหาก็คือบางทีเราก็มีน้องที่ขยายเหตุผลในการเลือกตอบไปตามจินตนาการของเขาเอง  
และทันทีที่น้องเริ่มตอบว่าเพราะอะไรเขาจึงเลือกคำตอบนี้ 
เขาก็จะได้รับเสียงกระซิบกระซาบ หรือการผลัก หรือทำเสียงกระฟัดกระเฟียดใส่จากเพื่อนรอบๆ


น่าเสียใจว่าบางที, แม้คนส่วนใหญ่จะตอบผิด แต่ชนกลุ่มน้อยซึ่งพอโดนเสียงล้อเลียนเข้าบ่อยๆ ก็เลยเป๋ๆ 
แล้วเดินตามพวกไปอย่างเซื่องซึม 
และไม่ยอมตอบอะไรอีกเลย 

เห็นแล้วก็เซ็งใจแทน


เหมือนความเชื่อว่า "เด็กซนคือเด็กฉลาด" นั่นล่ะ 
ฉันล่ะอยากต่อท้ายให้ด้วยจริงๆ ว่า" แต่เด็กฉลาดไม่จำเป็นต้องซนก็ได้" 
เพราะเดี๋ยวนี้ความ "ซน" ที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ยิ้มแย้มปลื้มปริ่มในตัวลูกนั้น มันร่ำๆ เฉียดใกล้กับความก้าวร้าวรุนแรงเข้าไปทุกที

ไม่ได้หมายความว่าฉันชอบเด็กหัวอ่อนจะได้ควบคุมง่าย 
แต่การเถียงผู้ใหญ่แล้วยิ้มเยาะหรือการล้อเลียนเพื่อนแรงๆ นั้นฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะฉลาดตรงไหน  
หรือพ่อแม่อาจเห็นว่ามันฉลาดก็ได้กระมังถึงไม่ได้ห้ามปราม 

เด็กเงียบๆ และออกจะอ่อนโยนบางคนจึงโดนเพื่อนรุมเรียกกันแบบเสียงดังฟังชัดว่า
"เพี้ยน" "โง่" หรือ "ตุ๊ด" ให้ฉันได้ตกอกตกใจบ่อยๆ




บ้านฉันมีหนังสือเกี่ยวกับเด็กอยู่เล่มหนึ่ง 
ก็ไม่รู้ว่าใครเอามาให้หรือแม่ฉันซื้อมาอ่าน 
เพราะแม่ฉันมีวิธีเลี้ยงลูกอันเด็ดขาดชัดเจนยิ่งนัก  
แถมเป็นวิธีเฉพาะตัวที่ไม่อาจมีใครลอกเลียนได้ง่ายๆ 

ฉันเลยคิดว่าแม่น่าจะคิดของแม่เอาเองมากกว่าทำตามตำราเลี้ยงลูกเล่มใด  
แต่ถ้าจะใกล้เคียงก็คงเป็นเล่มที่ฉันค้นเจอนี่แหละ 
เพราะเล่มนี้ไม่ได้ "สั่ง" ให้คุณเลี้ยงลูกอย่างไร  
แต่ "บอก" ว่าเด็กนั้นเป็นอย่างไรในช่วงอายุต่างๆ



ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าวิธีที่แม่เลี้ยงลูกนั้นถูกหรือไม่ 
แต่เท่าที่จำได้ ฉันก็ไม่เคยล้อเลียนเพื่อน เพียงเพื่อจะได้แสดงความเหนือกว่าหรอกนะ

และแน่นอนว่า "เด็กในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า" 
ฉันก็ชักจะกลัวขึ้นมาจริงๆ ว่าเด็กแบบที่ฉันเห็น 
และความชื่นชมของพ่อแม่ที่มีต่อเด็กเหล่านั้น จะหล่อหลอมให้เขาเป็นอย่างไรต่อไป 

มันอาจเป็นแค่พฤติกรรมเด็กๆ วันหนึ่งเขาอาจจะลืมมันไป

แต่มันก็ทำให้เห็นว่าคนเรานั้นพร้อมจะทำร้ายคนอื่นแค่ไหน เพียงเพื่อจะได้เป็นอะไรซักอย่างในสังคมน้อยๆ สังคมหนึ่ง



.