http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-09-03

สรกล อดุลยานนท์: พลอยซุ่มยิง

.
อีกบทความ - “ มาร์ค ” งานเข้า-ยกระดับคดี 98 ศพ
และ - บทบรรณาธิการ ข่าวสด  “ สัญชาติบ่าง ”


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พลอยซุ่มยิง
โดย สรกล อดุลยานนท์ คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12
ในมติชน ออนไลน์  วันเสาร์ที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 14:54:53 น.
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555 )


สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ 2 ข่าว
ข่าวแรก เป็นเรื่อง ดาราสาวŽ กับ ภาษีŽ 
เมื่อ พลอย-เฌอมาลย์Ž ทะเลาะกับบริษัทแอพซาลูท ฟอร์ ยู บริษัทจัดงานอีเวนต์ เรื่องการทำงานเดินแบบ 
พอใช้อารมณ์ใส่กัน เรื่องราวก็บานปลายกลายเป็นเรื่องภาษีŽ 
พลอยŽ บอกว่า บริษัทออแกไนซ์จ่ายค่าตัวไม่ครบ เพราะแทนที่จะจ่าย 150,000 ถ้วน แต่กลับมีการหักภาษีด้วย
บริษัทออแกไนซ์ก็เลยออกมาแฉว่า พลอยŽ ใช้บัตรประชาชนคนอื่นมารับเงินแทน 
เช็คŽ สั่งจ่าย พลอยŽ แต่ใบกำกับภาษีกลับเป็นชื่อคนอื่น 
คุ้ยไปคุ้ยมาจึงรู้ว่าเป็นชื่อของพ่อคนขับรถ พลอยŽ
เรื่องที่ไม่ควรเป็นเรื่องก็กลายเป็นเรื่อง

แม้ พลอยŽ จะออกมาขอโทษ และมีการแก้ไขใบกำกับภาษีใหม่ให้เป็นชื่อ พลอยŽ แต่เหตุผลที่ทนายความอ้างว่าเป็นเรื่องความผิดพลาดของการส่งบัตรประชาชน 
จาก พลอยŽ ดาราสาวที่เดินแบบ เป็นพ่อของคนขับรถ 
ฟังแล้วต้องคิดว่านี่คือ เรื่องจริงŽ หรือ ละครŽ


อีกข่าวหนึ่ง เป็นเรื่อง 2 สิบเอก พลซุ่มยิงหรือมือสไนเปอร์ไปให้การกับดีเอสไอ  
ทั้งคู่เป็นชุดแม่นปืนบนตึกสนามมวยลุมพินี ในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2553 
คนหนึ่งเล็งปืนเอ็ม 16 จากยอดตึก ลั่นไก 
อีกคนบอกว่า ล้มแล้ว อย่าซ้ำŽ 
แต่เมื่ออีกคนยิงซ้ำอีกนัด 
คนที่เตือนต้องยกมือห้าม และตบไหล่

หลังจากคลิปนี้หลุดออกมา พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ.ต้องรีบออกมาแถลงเพราะมีผลต่อจิตวิทยาการเมืองมาก 
เนื่องจากเป็นหลักฐานยืนยันว่าทหารใช้กระสุนจริงยิงประชาชน  
วันนั้นไม่มีใครนึกว่าทหารจะใช้ กระสุนยางŽ ยิง 
พ.อ.สรรเสริญก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่ กระสุนจริงŽ แต่เลือกเล่าเรื่องใหม่ในมุมว่าทำไมจึงต้องยิง 
และทำไมจึงต้องซ้ำ 
เขายืนยันว่าที่มีการยิงซ้ำ เพราะมือยิงมองผ่านกล้องแล้วพบว่า เป้าหมายŽ กำลังหยิบระเบิดมาขว้างใส่อีกครั้ง 
จึง ซ้ำŽ

แต่ใครจะไปนึกว่าวันนี้ 2 สิบเอกจะให้การกับดีเอสไอว่าการยิงครั้งนี้เป็นการใช้ กระสุนยางŽ 
ไม่ใช่ กระสุนจริงŽ 
ที่ซ้ำก็ซ้ำด้วย กระสุนยางŽ  


คำถามที่เกิดขึ้นหลังจากฟังคำให้การของ 2 สิบเอก คล้ายกับคำถามตอนที่อ่านข่าวเรื่อง พลอยŽ กับ ภาษีŽ 
นี่คือ เรื่องจริงŽ หรือ ละครŽ 

2 ข่าวนี้ ถือเป็นการทดสอบ ไอคิวŽ ของคนไทยยิ่งกว่าข้อสอบโอเน็ต 
เพียงแต่ข่าวหนึ่งเป็นเรื่องของ ดาราŽ และ ภาษีŽ 
อีกข่าวหนึ่งเป็นเรื่องของ ชายชาติทหารŽกับ ชีวิตคนŽ



+++

"มาร์ค"งานเข้า-ยกระดับคดี 98 ศพ
คอลัมน์ การเมือง ข่าวสด ในข่าวสดออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 02 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:44 น.


งานเข้าติดกัน 2 งานซ้อน สำหรับคู่หูคีย์แมนแห่งพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
เริ่มตั้งแต่ถูกพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ชุดของ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข เรียกตัวไปให้การคดีสลายการชุมนุมเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 เป็นเหตุให้มีคนตาย 98 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน 
นายอภิสิทธิ์ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี ใช้เวลาให้ปากคำนาน 7 ชั่วโมง
นายสุเทพ อดีตรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ใช้เวลานาน 12 ชั่วโมง
ในการตอบข้อซักถามของพนัก งานสอบสวนที่ตั้งไว้ 40 คำถาม เพื่อนำไปสู่คำตอบว่าใครคือ "ผู้สั่งการ" แท้จริงในเหตุการณ์นองเลือดเมื่อกว่า 2 ปีก่อน
แล้วก็ยังไม่ทันหายเหนื่อยจากการเข้าให้ปากคำต่อดีเอสไอ
ทั้ง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ก็ยังต้องไปขึ้นเบิกความเป็นพยานต่อศาล ในคดีไต่สวนชันสูตรพลิกศพนายพัน คำกอง แท็กซี่เสื้อแดงซึ่งถูกยิงเสียชีวิตย่านราชปรารภ 
1 ใน 98 ศพพฤษภาเลือด


คดีชันสูตรพลิกศพนายพัน คำกอง เป็น 1 ใน 22 คดีร่วมกับ อาทิ
คดี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม คดีลุงชาญณรงค์ พลศรีลา คดี ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรือ น้องอีซา คดีพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ คดีนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น คดีนายฟาบิโอ โปเลงกี ช่างภาพชาวอิตาลี ฯลฯ เป็นต้น 
ที่อยู่ในชั้นไต่สวนของศาล 

อย่างไรก็ตามในการเข้าให้ปากคำต่อพนัก งานสอบสวนดีเอสไอ 
ทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ถือว่าได้เตรียมตัวมาดี การให้ข้อมูลแต่ละเหตุการณ์เป็นไปอย่างรอบคอบรัดกุม แม้จะต้องเผชิญกับคำถามไล่ต้อนมากกว่า 40 คำถาม 
แต่ก็ไม่ได้หลุดปากเพลี่ยงพล้ำใดๆ 
โดยเฉพาะนายสุเทพ ที่นำแฟ้มเอกสารหนากว่า 300 หน้าเข้าชี้แจงต่อพนักงานสอบสวน ล้วนเป็นเอกสารคำสั่งของ ศอฉ.ในขณะนั้น และบันทึกการประชุมแต่ละครั้ง  
ยืนยันว่าตนเองในฐานะ ผอ.ศอฉ. เป็นคน เซ็นลงนามทั้งหมด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายอภิสิทธิ์ที่เพียงแต่เข้าร่วมประชุมรับฟังรายงานเป็นบางครั้งคราวเท่านั้น 

หลายช่วงหลายตอนนายสุเทพยังกล่าวย้ำถึง "ชายชุดดำ" กลุ่มคนลึกลับที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม และเป็นคนใช้อาวุธยิงประชาชน
ไม่ใช่ฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ 
เกือบทั้งหมดในคำให้การของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ จึงเป็นข้อมูลเก่าที่ประชาชนในสังคมได้ยินได้ฟังมาตลอด 2 ปีหลังเกิดเหตุการณ์ 
เพียงแต่ครั้งนี้พนักงานสอบสวนจดบันทึกไว้อย่างละเอียด ทั้งยังบันทึกภาพวิดีโอระหว่างการให้ถ้อยคำไว้ทุกขั้นตอน 
ถ้อยคำที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนจะมีผลผูกพันไปถึงคดีอื่นๆ ที่จะตามมาในอนาคต จึงไม่แปลกที่ทั้ง 2 คนจะพิถีพิถันมากเป็นพิเศษ

ข่าวจากห้องสอบสวนแจ้งว่า 7 ชั่วโมงของนายอภิสิทธิ์ แบ่งเป็นการให้ปากคำตอบข้อซักถามราว 3 ชั่วโมง อีก 4 ชั่วโมง เป็นการตรวจทานคำให้การอย่างละเอียดก่อนลงชื่อรับรองความถูกต้อง 
ต้องจับตาดูต่อไปว่าคำให้การของ "อภิสิทธิ์- สุเทพ" จะส่งผลต่อรูปคดีอย่างไร 
การที่นายสุเทพยืนยันว่านายอภิสิทธิ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำสั่งใดๆ ของศอฉ. จะช่วยกันนายอภิสิทธิ์พ้นจากความรับผิดชอบในฐานะนายกรัฐ มนตรีขณะนั้น ได้หรือไม่
ยังเป็นเรื่องน่าสงสัย


นอกจากอภิสิทธิ์-สุเทพ ที่สังคมเฝ้าจับตาไม่แพ้กัน คือการเข้าให้ปากคำของส.อ.คชารัตน์ เนียมรอด และส.อ.ศฤงคาร ทวีชีพ 2 พลแม่นปืนที่มีภาพปรากฏอยู่ในคลิปย่านบ่อนไก่เมื่อเดือนพ.ค.2553 
ทั้ง 2 คนถูกแยกสอบ แต่ให้การตรงกันว่าได้ใช้ปืนเอ็ม 16 ยิงจริง แต่เป็นการยิงขู่และใช้"กระสุนซ้อม" ส่วนกล้องที่ติดกับปืนก็เป็นแค่กล้อง"บีบีกัน" 
ผู้ถูกสอบปากคำจะให้การอย่างไรก็แล้วแต่ ถือว่าเป็นสิทธิ์ 
แต่ในสายตาผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนมองแวบเดียวก็ดูออกว่ากระสุนที่ยิงออกไปนั้น เป็นกระสุนซ้อมหรือกระสุนจริง 
นอกจากนี้คลิปภาพการเล็งปืนยิง ประกอบเสียง "ล้มแล้วๆ" ที่พลแม่นปืนคนหนึ่งร้องบอกอีกคนหนึ่ง ยังเป็นหลักฐานชัดเจน
ยิ่งกว่าคำอธิบายใดๆ

เช่นเดียวกับคำเบิกความต่อศาลของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพในคดีนายพัน คำกอง ที่อ้างตรงกันว่าไม่เคยมีคำสั่งให้"สลายการชุมนุม"แม้แต่ครั้งเดียว 
มีแต่การ "ขอคืนพื้นที่" และ "กระชับวงล้อม" ที่ไม่ใช่การใช้กำลังกระทำการอันเป็นอันตรายใดๆ ต่อผู้ชุมนุม ก่อนวกกลับมาลงที่ผู้ก่อการร้ายและชายชุดดำว่า เป็นต้นเหตุการตาย 98 ศพ 
คำให้การของอภิสิทธิ์-สุเทพ สอดคล้องหรือสวนทางกับภาพเหตุการณ์ในขณะนั้นที่ถูกตีแผ่ไปทั่วโลกอย่างไร เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องใช้วิจารณญาณเอาเอง

นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพถือเป็นพยานสำคัญ 2 ปากสุดท้ายในกรณีนายพัน คำกอง 
ก่อนศาลจะนัดฟังคำสั่งในวันที่ 17 ก.ย.นี้ว่า การตายของแท็กซี่เสื้อแดงรายนี้ เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ ตามพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอและตำรวจท้องที่เกิดเหตุ รวบรวมทำสำนวนส่งให้อัยการสั่งฟ้องหรือไม่  
เมื่อผลคำสั่งเป็นอย่างไรแล้วจะเข้าสู่กระบวนการหาตัวคนสั่งการอยู่เบื้องหลังความตายดังกล่าว มาดำเนินคดีลงโทษทางอาญาต่อไป

เป็นอย่างนี้ไปจนกว่าจะครบ 22 คดี 22 ศพในเบื้องต้น
และอาจจะมีตามมาอีกในส่วนของ 76 ศพที่เหลือ ยังไม่นับรวมกับอีกเกือบ 2,000 คนที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งเริ่มมีการทยอยเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่ออดีตนายกฯ และอดีตผอ.ศอฉ. บ้างแล้ว 
ข้อหาพยายามฆ่า

ถ้าดูจากยอดภูเขาน้ำแข็งที่เริ่มโผล่มาให้เห็น เชื่อว่าลึกลงไปจากนี้ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ต้องใช้เวลาอีกยาวนานในการเดินเข้า-ออกศาลอาญา
แต่จะในฐานะพยานเหมือนที่ผ่านมา หรือจะยกระดับฐานะเป็นอย่างอื่น

เป็นฉากต่อไปที่ต้องติดตามด้วยความลุ้นระทึก



+++

สัญชาติบ่าง
บทบรรณาธิการ ข่าวสด ในข่าวสดออนไลน์ วันจันทร์ที่ 03 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:07 น.


ความขัดแย้งส่วนบุคคลระหว่างพล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ลงเอยด้วยคำสั่งย้ายฝ่ายหลังให้พ้นจากตำแหน่งประจำไป ?ช่วยราชการ? นั้น 
ถูกคนบางกลุ่มพยายามขยายปัญหาให้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ

ไม่ว่าจะด้วยการ 'จินตนาการ' ว่าหลังจากนี้จะต้องมีการเข้ามาจัดวางตำแหน่งในการโยกย้ายแต่งตั้งนายทหาร ไปจนกระทั่งถึงการปลดหรือเปลี่ยนแปลงตัวผู้บัญชาการเหล่าทัพ 
และบางส่วนในจำนวนนั้นถึงขั้นสนับสนุนหรือส่งเสริม 'เป็นนัย' ให้ฝ่ายกองทัพทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล 
อันเป็นความคิดที่อันตรายยิ่งต่อสังคม



เพราะไม่ว่าจะมีทหารบางส่วนในกองทัพคิดถึงเรื่องเหล่านี้อยู่หรือไม่ หรือเมื่อคิดแล้วสามารถลงมือกระทำได้จริงหรือไม่ 
แต่กระบวนการยุยงส่งเสริมให้ใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา ให้ล้มล้างระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ให้เพิกเฉยต่อมติของเสียงประชาชนส่วนใหญ่ สะท้อนให้เห็นถึงความล้าหลังทางความคิด ความเชื่อของคนกลุ่มนี้

ถ้าหากการปฏิวัติรัฐประหารสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง ประเทศไทยคงไม่เกิดการรัฐประหารหรือกบฏจำนวนนับสิบครั้งในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การใช้กลไกนอกเหนือระบอบประชาธิปไตย ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้เท่านั้น
กลับยังจะทำให้ปัญหารุนแรงและซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม




ถามว่ากลุ่มผู้ยุงยงหรือสนับสนุนให้ใช้วิธีการ ?นอกระบบ? เข้ามายึดอำนาจรัฐนั้นไม่รู้หรือว่า ความเสียหายที่ตามมาภายหลังการ ยึดอำนาจด้วยวิธีการไม่ถูกต้องร้ายแรงเพียงใด
คำตอบก็คือรู้  
แต่ทั้งที่รู้แล้ว ยังยืนยันในความเชื่อหรือวิธีการอันไม่ถูกต้องนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะสูญเสียประโยชน์ในระบอบการปกครองตามปกติ และยังไม่เห็นวิธีการตามระบอบที่จะพลิกฟื้นสถานภาพของตนเองได้
การสนับสนุนให้ใช้กระบวนการนอกระบบเข้ายึดอำนาจรัฐเพราะการสูญเสียผลประโยชน์ส่วนตัวเช่นนี้ 
โหดร้ายและเห็นแก่ตัวยิ่ง



.