http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-09-07

ดีแต่ค้าน, โรคกลัวน้ำ, ค้านแหลก, ม้ากลางศึก, อย่าจับหนูได้ไหมคะ ในคอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม

.
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม - ยิ่งให้การยิ่งเห็นคนสั่งการ โดย วงค์ ตาวัน
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม - ยิ่งแก้ยิ่งพัน โดย วงค์ ตาวัน


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ดีแต่ค้าน
โดย สมิงสามผลัด  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันศุกร์ที่ 07 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


พูดกันไปทั่วว่า รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น ทำอะไรก็โดนขัดแข้งขัดขา-โดนโจมตีไปเสียทุกเรื่อง 
โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ อย่างการป้องกันน้ำท่วมที่คนทั้งประเทศเฝ้าจับตา
ยังไม่วายโดนขัดขวาง

กว่าคณะกรรมการบริหารจัด การน้ำและอุทกภัย (กบอ.) จะลงมือซ้อมระบายน้ำฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก เพื่อทดสอบการระบายของคูคลองต่างๆ ได้สำเร็จ 
ก็โดนฝ่ายตรงข้ามโจมตี-ต่อต้านทุกวัน
หยิบประเด็นทั้งเรื่องน้ำทะเลหนุน-พายุเข้าขึ้นมาดิสเครดิต กันดื้อๆ

ทั้งที่ข้อเท็จจริงก็คือ การซักซ้อมระบายน้ำเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากทำช้ากว่านี้จะเข้าฤดูมรสุม หน้าน้ำหลาก อาจไม่ทันการณ์ 
จึงต้องซ้อมรีบปล่อยน้ำในช่วงนี้ ให้รู้ว่าจุดไหนบ้างยังบกพร่อง 
จุดไหนบ้างที่ยังไม่ขุดลอกคลอง !?
จะได้แก้ไขทันเวลา


จริงๆ ก็เข้าใจอยู่แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลย่อมค้านทุกเรื่องอยู่แล้ว
แต่หนนี้เป็นเรื่องใหญ่กระทบประชาชนมาก ลองไม่ค้านซักเรื่องคงไม่มีใครว่าอะไร 

อีกเรื่องที่ติติงรัฐบาลได้ตลอด ก็คือปัญหาไฟใต้
ทุกครั้งที่เกิดเหตุระเบิดใหญ่ๆ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็จะตกเป็นเป้าโดนถล่มไปด้วยทุกที 
โดนข้อหาไม่สนใจปัญหาไฟใต้บ้าง ไม่ใส่ใจบินไปดูบ้าง
หรือมัวแต่เสพสุขอยู่ในกรุง เทพฯ บ้าง 
โดยเอาภาพนายกฯ ปูร่วมงานเลี้ยงในกรุงเทพฯ ที่บังเอิญเป็นช่วงที่เกิดระเบิดที่ปักษ์ใต้ มาโชว์ดื้อๆ
ทั้งที่ข้อเท็จจริงก็คือมีรอง นายกฯ เลขาฯ สมช. ศอ.บต. ผบช.ศชต. และแม่ทัพภาค 4 บูรณาการแก้ปัญหาอยู่

มาล่าสุดนายกฯ นำคณะ 7 รมต. บินไปจ.นราธิวาส 
ประชุมติดตามสถานการณ์ความรุนแรง และเรื่องการเยียวยาเหยื่อไฟใต้ 
ก็ไม่วายโดนพวกหน้าเดิมๆ โจมตีอีกจนได้


หาว่านายกฯ ทำให้เจ้าหน้าที่เดือดร้อน ต้องวางกำลังเป็นพันนายอารักขา
ไม่ไปก็ค้าน พอไป ก็หาเรื่องค้านอีก




++

โรคกลัวน้ำ
โดย คาดเชือก คาถาพัน  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันพุธที่ 05 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


วันนี้คือกำหนดที่รัฐบาลจะทดลองผันน้ำเข้าคลองต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อจะตรวจสอบว่าระบบ เครื่องมือ และอุปกรณ์ที่ลงทุนสำหรับการจัดการน้ำท่วมในรอบปีที่ผ่านมามีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ 
หรือมีข้อบกพร่องมีจุดอ่อนที่จะต้องแก้ไขตรงไหน
จะได้เร่งดำเนินการแก้ไขปรับปรุงรองรับน้ำที่อาจจะทะลักเข้ามาจริง

แต่ปรากฏว่าหน่วยงานที่ออกมาคัดค้านเรื่องนี้เสียงหลงที่สุด ก็คือกรุงเทพมหานคร

อ้างเหตุผลว่าเดี๋ยวน้ำจะท่วมชาวบ้านสองฝั่งคลองบ้าง หรือกังวลอื่นๆ โดยไม่บอกสาเหตุบ้าง 
ซึ่งชวนให้สงสัยอยู่ ว่าจริงๆ แล้วกรุงเทพ มหานครกลัวอะไร
หรือเป็นโรคกลัวน้ำ?

ก็ถ้าลงมือปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างการรับจัดการน้ำการระบายน้ำมาตลอดปี ถ้าไม่ทดลองของจริงจะรู้หรือว่าที่ทำมานั้นใช้ได้หรือไม่ได้
ซื้อรถยังต้องมีลองรถ ซื้อเครื่องจักรยังต้องมีช่วงทดลองเดินเครื่อง 
นี่ระบบใหญ่โตมโหฬารเกี่ยวพันกับคนนับล้าน ไม่ให้ทดลองเลยว่าประสิทธิภาพเป็นอย่างไร 
แปลกละสิ 

และถ้าแค่ผันน้ำเข้ามาแค่ร้อยละ 20-30 ของที่คาดว่าอาจจะมาจริงแล้วยังรับไม่ได้ อาจจะต้องคิดกันใหม่ว่าควรจะย้ายเมืองหนีแล้วหรือไม่


ยิ่งเสียงแข็งหรือตั้งท่าค้านการทดลองปล่อยน้ำเข้าเขตกรุงเทพมหานครมากเท่าไหร่ คนก็ยิ่งตั้งข้อสงสัยมากขึ้นเท่านั้นว่ากรุงเทพมหานครกำลังปกปิดอะไรอยู่หรือไม่ 
งานในความรับผิดชอบที่ต้องดูทำครบถ้วนหรือเต็มที่แล้วหรือยัง 
ถ้าทำแล้ว นอกจากการติดป้ายโฆษณา ได้ทำอะไรให้ชาวบ้านอุ่นใจขึ้นมาบ้างว่าสามารถจัดการปัญหาหรือว่ารับมือน้ำได้จริง

ให้น้ำเข้ากรุงมาเถอะวันนี้ จะได้เห็นกันชัดๆ ว่าที่กลัวน้ำนั้น 
คือกลัวความจริงโผล่แพลมออกมา หรือไม่



++

ค้านแหลก
โดย สมิงสามผลัด  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันเสาร์ที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


จับตาอย่ากะพริบช่วง 2 เดือนข้างหน้านี้ 
น้ำจะท่วมหรือไม่ คงรู้กันเสียที 
เพราะต้องรอดูว่าจะมีพายุเข้าหรือไม่ในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค.นี้ 
ถ้าไม่มีพายุก็วางใจได้ว่าน้ำไม่ท่วม กทม.แน่
ต้องบอกว่าคนไทยทั้งประเทศเฝ้าดูด้วยใจระทึกว่าปีนี้จะเกิดมหาอุทกภัยอีกหรือเปล่า

แต่ดูจากการทำงานของรัฐบาลจะเห็นได้ชัดว่ามีการ เตรียมตัวและป้องกันอย่างดี 
อนุมัติงบ 1.2 แสนล้านบาทให้คณะกรรมการการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ใช้ในเตรียมการป้องกันอุทกภัยตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ 
จนกระบวนการต่างๆ เสร็จจนเกือบสมบูรณ์ก่อนถึงฤดูมรสุม 

น้ำท่วมกรุงเทพฯปีก่อนสร้างความเสียหายมหาศาล 
ฉะนั้น การป้องกันพื้นที่เมืองหลวง หัวใจของประเทศ จึงสำคัญอย่างยิ่ง 
กบอ.จึงต้องซ้อมการระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพฯฝั่งตะวันออกและตะวันตกในวันที่ 5 ก.ย. และ 7 ก.ย.นี้  
เพื่อทดสอบความพร้อมรับมือกับน้ำเหนือ ทดลองระบบระบายน้ำใหม่ที่มีระบบเซ็นเซอร์ติดตามการไหลของน้ำ การเปิดปิดประตูระบายน้ำอัตโนมัติ และตรวจสอบการขุดลอกคูคลองทั้งหมดในกรุงเทพฯ  
โดยจะปล่อยน้ำเข้าระบบแค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

หากลุล่วงด้วยดีก็แสดงว่าระบบใหม่เวิร์ก 
ถ้ามีปัญหาก็จะได้ปรับปรุงแก้ไขทันท่วงที 
แต่ก็แปลกใจที่เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ใช้โจมตีรัฐบาลว่าหากทดสอบปล่อยน้ำแล้วเกิดมีปัญหาก็ต้องรับผิดชอบ
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ก็ไม่เห็นด้วยกับการทดสอบ 

ความจริงแล้วการตักเตือนและเสนอแนะเป็นเรื่องดี 
หากปราศจากนัยยะทางการเมือง !?

โดยเฉพาะเรื่องน้ำท่วมเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งต้องร่วมมือกันป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน
ค้านมันซะทุกเรื่องแบบนี้มีแต่เสียกับเสีย



++

ม้ากลางศึก
โดย มันฯ มือเสือ  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันพฤหัสบดีที่ 06 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


ในการปรับเปลี่ยนโยกย้ายข้าราชการระดับสูงกระทรวงยุติธรรม 
ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบให้พ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ เลขาธิการป.ป.ท. ย้ายไปเป็นรองปลัดกระทรวง 
ซึ่งก็เหมือนกับกระทรวงอื่นๆ ที่หนีไม่พ้นข้อครหาว่ามีการเมืองเข้าไปครอบงำเพื่อผลักดันคนของตัวเองขึ้นมาเป็นมือไม้ทำงาน หรือเพื่อผลประโยชน์แอบแฝงใดก็ตาม 
ขณะเดียวกันก็เตะโด่งคนของฝ่ายตรงข้ามไปอยู่ตำแหน่งลอยๆ อย่างรองปลัด ผู้ตรวจราชการ เป็นต้น

สำหรับพ.ต.อ.ดุษฎีนั้น ถูกมองว่าสาเหตุที่โดนย้ายเนื่องจากออกมาเปิดเผยข้อมูลการทุจริตเบิกจ่ายเงินฟื้นฟูเยียวยาน้ำท่วมปี 2554 
จริงเท็จอย่างไรไม่กระจ่างชัด
แต่ พ.ต.อ.ดุษฎียืนยันเองว่าที่ถูกย้ายเพราะรมว.ยุติธรรมต้องการให้ไปช่วยงานปราบยาเสพติด ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง 


อย่างไรก็ตามผลจากการโยกย้ายครั้งนี้อาจกระทบต่อคดี 98 ศพทางอ้อม 
กล่าวคือผู้ที่ได้รับการคาดหมายจะมาแทน พ.ต.อ.ดุษฎีในตำแหน่งเลขาฯ ป.ป.ท. คือพ.ต.อ. ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ 
หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดี 98 ศพนั่นเอง 

ต้องยอมรับว่าคดี 98 ศพในยุคที่มีพ.ต.อ. ประเวศน์เป็นหัวหน้าชุดสอบสวนมีความคืบหน้ารวดเร็ว 
มีการเรียกพยานปากสำคัญ อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รวมถึงพลซุ่มยิง 2 นายมาให้การ 
และยังมีพยานคนอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างนัดหมาย เช่น นายปณิธาน วัฒนายากร พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด นายถวิล เปลี่ยนศรี เป็นต้น 
ขณะที่คดีชันสูตรพลิกศพนายพัน คำกอง แท็กซี่แดงซึ่งถูกยิงตายเมื่อพ.ค.2553 ก็มาถึงจุดที่ศาลนัดฟังคำสั่งวันที่ 17 ก.ย.นี้ว่า ตายโดยฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่

คดี 98 ศพขยับใกล้ความจริงทุกขณะ ในจังหวะที่พ.ต.อ.ประเวศน์อาจต้องย้ายไปอยู่ในตำแหน่งสูงขึ้น
ที่ต้องจับตาคือหากพ.ต.อ.ประเวศน์ไปแล้ว ใครจะมาเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน 98 ศพคนใหม่ 
จะมีผลต่อคดีอย่างไร หรือไม่



++

อย่าจับหนูได้ไหมคะ 
โดย จ่าบ้าน  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันจันทร์ที่ 03 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:16 น.


สองสามคดีที่นำขึ้นสู่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน มีคดียาเสพติดทั้งเสพเอง มีไว้ครอบครอง และจำหน่ายมากที่สุด รองลงมาคือคดีจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์เถื่อน ประเภทซีดี การก่อเหตุวิวาท และพกพาวุธ

พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 4 ?เด็ก? หมาย ความว่า บุคคลอายุยังไม่เกิน 15 ปีบริบูรณ์ 
?เยาวชน? หมายความว่า บุคคลอายุเกิน 15 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์
การที่เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ เมื่อกระทำความผิดจะไม่ต้องรับผิดตามการกระทำนั้น ส่วนเยาวชนอายุเกิน 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ เมื่อกระทำความผิดต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลเยาวชนและครอบครัว ซึ่งต้องมีโทษตามกฎหมาย และมีโอกาสได้รับการลงโทษตามวิธีพิจารณาคดี

คดีที่ว่ามาแต่ต้นเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน คือการจ้าง วาน ใช้เด็กและเยาวชนกระทำความผิด เช่น ให้จำหน่ายแผ่นซีดี โดยมีค่าจ้างให้เป็นรายครั้งหรือรายวัน วานให้เด็กและเยาวชนนำยาเสพติดไปส่ง หรือให้บุคคลนั้นบุคคลนี้ 
ทั้งสองกรณี เด็กและเยาวชนอาจมีความจำเป็นและต้องการค่าจ้างมาเป็นค่าใช้จ่าย เมื่อตำรวจตรวจจับได้ เด็กและเยาวชนต้องมีความผิดฐานกระทำการดังกล่าว เมื่อมานำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลเยาวชนและครอบครัว ผู้พิพากษาก็ต้องพิจารณาคดีไปตามคำฟ้อง ซึ่งส่วนใหญ่เด็กและเยาวชนจะรับสารภาพ


คดีดังกล่าว หากตำรวจจะใช้วิจารณญาณเพื่อให้ได้เข้าถึงผู้จ้างวานใช้ โดยกันเด็กและเยาวชนเป็นพยาน ตำรวจก็อาจจะจับกุมต้นตอได้ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ ยาเสพติด ดีกว่าจับเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี มาเพื่อส่งศาล เพราะจะไม่ได้รับการลงโทษ ส่วนที่อายุเกิน 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี โทษที่ได้รับก็ไม่มากนัก 
ส่วนกรณีทะเลาะวิวาท พกพาอาวุธ สมควรที่ตำรวจจะจับกุมมาเพื่อส่งตัวให้ผู้ปกครองไปลงโทษเอง หรือจับส่งสถานพินิจ เพื่อนำส่งอัยการนำคดีขึ้นสู่ศาล เพื่อศาลลงโทษให้ทั้งตัวเด็กหลาบจำ และผู้ปกครองจะได้ดูแลเอาใจใส่ลูกหลานของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น อย่างนี้จะดีกว่าไหมสารวัตร



+++

ยิ่งให้การยิ่งเห็นคนสั่งการ
โดย วงค์ ตาวัน  คอลัมน์ ชกไม่มีมุม 
ในข่าวสดออนไลน์  วันอังคารที่ 04 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


มีหลายคนที่ผ่านคดีปราบปรามประชาชนในอดีตบอกว่า การสอบสวนและไต่สวนคดี 98 ศพในขณะนี้ บรรยากาศคล้ายกับสมัยมีการดำเนินคดีกับจำเลยคดี 6 ตุลาคม 2519 อย่างมาก 
อาจจะต่างตรงที่ตัวผู้ถูกกล่าวหาและจำเลย เป็นคนละฟากกัน 
แต่เนื้อหาสาระในการคลี่คลายคดีไม่ต่างกัน! 
ที่ว่าตัวผู้ถูกกล่าวหาต่างกัน ก็คือ คดี 6 ตุลาคม 2519 นั้น ฝ่ายที่ถูกจับและตกเป็นจำเลยคือ บรรดาผู้นำนักศึกษา ผู้นำในการชุมนุม 
ฝ่ายที่ถูกเขาล้อมฆ่า ยังถูกจับกุมข้อหาร้ายแรงมากมาย คอมมิวนิสต์ กบฏ ล้มล้างสถาบัน

ส่วนเหตุการณ์ 98 ศพในวันนี้ ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาคือผู้นำศอฉ. ซึ่งเป็นฝ่ายสั่งปราบผู้ชุมนุม 
ส่วนที่ว่าเนื้อหาคล้ายกัน ก็เพราะเมื่อคดีเข้าสู่ขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม จะต้องมีการเบิกตัวผู้เกี่ยวข้องมาเบิกความ แล้วความจริงจะค่อยๆ ทยอยเปิดออกมาสู่สายตาประชาชน


คดี 6 ตุลาฯ นั้น แม้ว่าผู้นำนักศึกษาตกเป็นจำเลยแท้ๆ  
แต่ทนายฝ่ายจำเลย สามารถเรียกตัวเจ้าหน้าที่ในเหตุการณ์มาเบิกความต่อศาล 
การเบิกความนำไปสู่การเปิดตัวผู้สั่งการเป็นทอดๆ!!
สุดท้ายผู้มีอำนาจต้องตัดสินใจยุติคดี ก่อนที่ความลับในการสั่งปราบนักศึกษาประชาชนในธรรมศาสตร์ จะโดนตีแผ่




ส่วนคดี 98 ศพที่กำลังเข้มข้นในวันนี้ ยังไม่ถึงกับมีใครตกเป็นผู้ต้องหา
แต่จำเลยในสายตาประชาชนมีอยู่แล้ว


ขณะเดียวกัน ในขั้นตอนการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง
มีการเบิกตัวคนที่มีส่วนเกี่ยวพันกับปฏิบัติการทุกระดับมาให้การ 
เมื่อสื่อมวลชนนำมาถ่ายทอดสู่สาธารณะ ช่วยให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ความจริงอย่างแจ่มแจ้ง


อย่างเช่น ผู้มาให้ปากคำอาจจะเบิกความอ้างว่า ใช้แค่กระสุนซ้อม แค่ยิงขู่
นั่นก็ยิ่งทำให้ประชาชนได้รู้ความจริง เพราะทุกคนมีสิทธิ์ดูคลิปเหตุการณ์นั้น แล้วจะรู้ได้ทันทีว่าเบิกความจริงหรือไม่ 
ถ้าเบิกความไม่จริง ก็แปลได้ว่าเหตุการณ์จริงนั้น ตรงกันข้าม 


นอกจากเนื้อหาคำเบิกความช่วยให้สังคมกระจ่างแล้ว 
ยังจะนำไปสู่การเปิดตัวผู้สั่งการเป็นลำดับชั้น
สุดท้ายผู้สั่งการสูงสุด ย่อมหนีไม่พ้นความรับผิดชอบต่อ 98 ศพ! 



+++

ยิ่งแก้ยิ่งพัน
โดย วงค์ ตาวัน  คอลัมน์ ชกไม่มีมุม 
ในข่าวสดออนไลน์  วันจันทร์ที่ 03 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:19 น.


กลายเป็นเรื่องเฮฮากันไปทั้งเมือง เมื่อ 2 พลซุ่มยิงบริเวณสนามมวยลุมพินี ส.อ.คชารัตน์ เนียมรอด และส.อ.ศฤงคาร ทวีชีพ เข้าให้การในฐานะพยานต่อพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ถึงปฏิบัติการเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 หนึ่งในคลิป 98 ศพที่ลือลั่น 
เพราะคำกล่าวอ้างที่ว่า เพียงแค่ยิงขู่ ด้วยกระสุนซ้อม ไม่มีหัวกระสุนจริง และมีแค่กล้องส่องปืนบีบีกัน 

คงพยายามให้การเพื่อให้ดูนิ่มนวลไปเสียทุกอย่าง 
หวังปฏิเสธข้อกล่าวหากระทำการเกินกว่าเหตุจนทำให้ประชาชนเสียชีวิต 
แต่เป็นคำกล่าวอ้างที่ขัดแย้งกับความจริงแทบทุกประการ
จนประชาชนคนฟังข่าว มองเป็นคำพูดจาด้วยมุขตลกขบขัน !

ทั้งนี้เพราะมีคลิปที่สามารถคลิกเข้าไปดูในยูทูบได้ เป็นตัวเปรียบเทียบ
เห็นภาพเคลื่อนไหวและเสียงของสิบเอกทั้งสองนายอย่างชัดเจน
ยิ่งถ้าเป็นผู้เชี่ยวชำนาญด้านอาวุธสักหน่อย 
ยังเห็นได้ว่า กระสุนจริงกับกระสุนซ้อมนั้น เสียงลั่นปัง ต่างกันเช่นไร การสะบัดของปืนก็แตกต่างกัน


ส่วนชาวบ้านอย่างเราๆ ท่านๆ 
แค่ได้ยินคำว่า ?ล้มแล้วๆ? ย่อมรู้ได้ว่า คงไม่มีใครล้มด้วยกระสุนซ้อม!? 
มิหนำซ้ำยังร้องเตือนว่าอย่ายิงซ้ำ ซึ่งคนเล็งยิงก็ยังลั่นไกซ้ำ จนต้องเอื้อมมือไปห้าม 
การยิงขู่ คงไม่มีการเล็งยิงซ้ำอย่างแน่นอน 
ยิงขู่จนล้ม แล้วยิงขู่ซ้ำ... ยิ่งฟังก็ยิ่งขัดกับความจริง



แต่นี่เป็นเพียงข้อสงสัยในสายตาประชาชน สุดท้ายยังต้องมีการพิสูจน์พยานหลักฐานอีกหลายประการ จึงจะชี้ได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร 
ภาพคดีโดยรวม ยังต้องสอบเจ้าหน้าที่อีกหลายนาย เพราะมีอีกหลายจุด ยิงกันกว่าเดือน 
โดยธรรมชาติของการสอบสวนคดี หากคำให้การมีการปรุงแต่ง มักจะมีข้อพิรุธมีความขัดแย้งกันเอง
เช่น ตอนออกคำสั่งก็อ้างว่าให้ใช้ปืนจริง ใช้พลซุ่มยิง ใช้หน่วยสไนเปอร์ได้


อย่างนี้แปลว่า ไม่มีผู้ก่อการร้ายไม่มีชายชุดดำสิ!



.